ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 308 กล้าไม่เชื่อฟังฆ่าทิ้งหมด

บทที่ 308 กล้าไม่เชื่อฟังฆ่าทิ้งหมด

ปัง

หลินอิ่งขยับตัว ยกเท้าขึ้น เสียงลมระเบิดกลางอากาศ เท้าฟาดไปที่ไหล่ของเจียงกู่จือ ทำเอาเขากระเด็นไปไกลยี่สิบเมตร แล้วล้มลงที่พื้นอย่างแรง กระอักเลือดไม่หยุด

“เอือกอ๊าก……”

เจียงกู่จือนอนกลิ้งอยู่บนพื้น อาเจียนเป็นเลือด ร่างกายกระตุกเหมือนโดนไฟช็อก เสียงกระดูกดังคักคัก ท่าทางดูซมซาน

เขารู้สึกได้แค่ เหมือนมีกระแสไฟส่งมาจากหัวไหล่ ไหลไปทั่วร่าง ทำให้กระดูกทั่วร่างแตกกระจาย คิดไม่ถึงเลยว่ามันเป็นวิชาที่น่ากลัวแค่ไหน

คราวนี้ ปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้แห่งเสฉวนเจียงกู่จือท่านนี้ ถูกทำลายวิชาและพิการแล้ว

ก่อนหน้านี้หลินอิ่งแค่ทำลายวิชากำลังภายในของเขา แต่ตอนนี้หักกระดูกทั่วร่าง แม้แต่ลุกขึ้นเดินยังลำบาก ครึ่งชีวิตที่เหลือก็ได้แค่นอนอยู่บนเตียง

“หลิน หลินอิ่ง แก แกกล้าทำกับปรมาจารย์อย่างฉัน เค่กเค่ก” เจียงกู่จือพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจ ตัวสั่นทั้งร่าง สายตาโหดเหี้ยมโมโห

เป็นคนฝึกศิลปะการต่อสู้มาทั้งชีวิต กลับถูกคนทำลายกระดูกทั่วร่าง เท่าไหร่ดูถูกการฝึกซ้อมมาทั้งชีวิตของเขา ความเจ็บปวดแบบนี้ ทรมานยิ่งกว่าตายอีก

“นี่ ปรมาจารย์เจียงกู่จือถูกทำพิการไปแล้ว?”

“ปรมาจารย์เจียงกู่จือชื่อเสียงโด่งดัง ถูกทำลายในเสี้ยววินาที สู้ไม่ได้แม้กระทั่งเด็กยี่สิบต้นๆ ไม่น่าเชื่อจริงๆ”

ผู้นำระดับสูงตระกูลนิ่งที่นั่งอยู่ มีหลายคนสายตาตะลึง สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เจียงกู่จือเป็นหัวหน้าทหารลับของตระกูลนิ่ง พวกเขาเหล่านี้ต่างก็คุ้นเคยกันดี ปกติพวกเขาเหล่านี้ต่างก็เคารพนับถือ

คนสูงส่งขนาดนี้ ปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้ฝีมือดีขนาดนี้ ถูกเด็กเมื่อวานซืนอย่างหลินอิ่งหมัดถีบสองสามครั้งก็พิการไปแล้ว นี่มันช่างน่าเสียดาย

ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง พวกเขาก็ไม่กล้าเชื่อ ว่านี่เป็นความจริง

“หลินอิ่ง แกรู้ไหมว่าเบื้องหลังฉันคือใคร? แกรู้ไหม แกทำผิดร้ายแรงขนาดไหน?” เจียงกู่จือสีหน้าบูดเบี้ยว พูดอย่างเลือดเย็น

เจียงกู่จือไม่เคยคาดคิด ว่าหลินอิ่งจะมีวิชาการต่อสู้น่ากลัวขนาดนี้ วิชาการต่อสู้ของเขา สู้กับเด็กหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ กลับรับมือไม่ได้ กลับพ่ายแพ้ไม่มีชิ้นดี เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง

“ฉันเป็นคนสำนักชิงฮัว คนอื่นอาจไม่รู้ว่าสำนักชิงฮัวคืออะไร แต่แกฝึกศิลปะการต่อสู้ถึงระดับนี้ ต้องเคยได้ยินชื่อเสียงสำนักชิงฮัวแน่ หลังจากวันนี้ แก รวมทั้งญาติมิตรทั้งหมดของแก ต้องถูกตามล่าจากสำนักชิงฮัวแน่ รอตายเถอะ” เจียงกู่จือพูดเสียงเย็นชา ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น

“ขู่ผม?” หลินอิ่งสายตาเย็นชาโหดเหี้ยม มองไปทางเจียงกู่จือ

ซั๊ว

ทันใดนั้น ร่างหลินอิ่งพุ่งเข้าไป มือจับคอของเจียงกู่จือไว้ทันที หมุนมือ เสียงดังคั๊ก สีหน้าบูดเบี้ยวของเจียงกู่จือนิ่งไปทันที แววตาสลัว หมดลมหายใจ

หลินอิ่งปล่อยมือสีหน้าเรียบเฉย ปล่อยร่างเจียงกู่จือล้มลงกับพื้น ตาปิดลงอย่างไม่พอใจ

ชีวิตนี้หลินอิ่งเกลียดที่สุด ก็คือเอาครอบครัวของเขามาข่มขู่

ตอนแรกเห็นแก่ที่เจียงกู่จืออายุเยอะแล้ว แค่ทำลายวิชา แค่นั้นก็พอ คิดไม่ถึง ชีวิตสุนัขแก่ตัวนี้ยังมีความคิดเลวร้ายแบบนี้

สำหรับอะไรสำนักชิงฮัวนั่น? เหอะ ตัวเองเป็นถึงประมุขแก๊งมังกร มีศัตรูทั่วทุกสารทิศ ในวงการลึกลับ มีคนมากมายที่อยากฆ่าเขา นับไม่ถ้วน ดึงศัตรูออกมากองกำลังหนึ่ง ก็ใหญ่โตกว่าสำนักชิงฮัวอะไรนั่นสิบเท่า สำนักชิงฮัวคือตัวอะไร?

“โอหัง หลินอิ่ง แกกล้าฆ่าคนในห้องโถงตระกูลนิ่ง? กล้าฆ่าแขกพิเศษของตระกูลนิ่ง” นิ่งจองเสิ้งตะโกนต่อว่า จ้องหน้าหลินอิ่งอย่างโมโห
“หลินอิ่ง แกมันอวดดียโสโอหัง คิดว่าตระกูลนิ่งของเราทำอะไรแกไม่ได้ใช่ไหม?”

“พี่รอง มันทำเกินไปแล้ว พี่ต้องสั่งคนจัดการมัน”

ผู้นำระดับสูงตระกูลนิ่ง ต่างก็มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าโมโหไม่พอใจ

เห็นได้ชัดว่า พฤติกรรมของหลินอิ่งเหยียบเส้นของพวกเขาแล้ว

ไม่พูดถึงฐานะผู้อาวุโสของหลินอิ่ง หัวหน้าตระกูลอย่างนิ่งจองเต้าไม่เหมือนกัน ถึงหลินอิ่งจะเป็นผู้อาวุโสตระกูลนิ่ง แต่ฆ่าเจียงกู่จือในห้องโถงตระกูลนิ่ง ความผิดรุนแรงยกโทษไม่ได้

ต้องรู้ว่า เจียงกู่จือเป็นหัวหน้าทหารลับของตระกูลนิ่ง เป็นนักสู้มือหนึ่งของตระกูลนิ่ง ยอดฝีมือสูงส่ง และมีความสัมพันธ์มากมายในมณฑลเสฉวน เป็นตัวช่วยคนสำคัญ ถูกหลินอิ่งที่มาจากข้างนอกจัดการไปแบบนี้ จะทนได้ยังไง?

นิ่งจองเต้านั่งบนเก้าอี้ มองหลินอิ่งสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อเจียงกู่จือถูกฆ่าแล้ว สีหน้าของเขากลับดูใจเย็นลง

“หลินอิ่ง แกรู้ไหมว่าปรมาจารย์เจียงกู่จือลูกศิษย์ทั่วทุกมุมโลก ฐานะเบื้องหลังแน่นหนาในเมืองเสฉวน มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับตระกูลนิ่งเราแค่ไหน? แกเพิ่งมาตระกูลนิ่ง กล้า……” นิ่งจองเต้าพูดเสียงเคร่งขรึม น้ำเสียงไม่พอใจและมีแววข่มขู่

“เสียงดัง”

หลินอิ่งพูดเย็นชา ขยับตัว ร่างก็พุ่งออกไปแล้ว สะบัดมือตบไปอย่างแรง ที่หน้าของนิ่งจองเต้า ทำให้เขากระเด็นไปพร้อมเก้าอี้ ตีลังกาล้มลงไปกับพื้นอย่างแรง
“แกกล้าลงมือกับฉันในตระกูลนิ่ง” นิ่งจองเต้าลุกขึ้นจากพื้น สีหน้าโมโห จ้องหลินอิ่งอย่างโมโห หน้าข้างหนึ่งถูกตบจนแดงแสบร้อน บวมขึ้นมา ดูแล้วน่าตลก

“ไม่รู้ที่ต่ำที่สูง แม้แต่พี่หกยังกล้าตบ?”

“ฉันเข้าใจแล้ว หลินอิ่งคนนี้มันตั้งใจมาสร้างเรื่องที่ตระกูลนิ่งเราชัดๆ”

“วันนี้ไม่จะตัวมันไว้ ตระกูลนิ่งของเรายังมีศักดิ์ศรีอะไร?”

จากที่หลินอิ่งตบหน้านิ่งจงเสิ้งจนกระเด็น ผู้นำทุกคนต่างก็พากันโมโห จ่างคนเริ่มต่อว่าหลินอิ่งด้วยความโมโห

หลินอิ่งกวาดสายตามองไป ฟังจนเหลืออด

เขาสะบัดมือไปดึงเก้าอี้ไม้ตัวหนึ่ง ยกเท้าขึ้นถีบเก้าอี้ออกไป เสียงดังกึกก้อง เก้าอี้หมุนกลางอากาศ พุ่งไปข้างหน้าเหมือนรถแข่ง

เสียงดังแพร๊งพรั้ง ผู้นำตระกูลที่นั่งเรียงกันเป็นแถว ต่างก็ถูกเก้าอี้ฟากหน้าจนหน้าดำหน้าเขียวบวมกันไปตามๆกัน ร้องโอดโอยเสียงดัง

“มีใครกล้าไม่เชื่อฟังอีก ผมจะฆ่าทิ้งตรงนี้ให้อย่างหมดจด” หลินอิ่งพูดเสียงเย็นชา

คำพูดออกไป ทุกคนในห้องต่างหัวใจเต้นแรง สายตาที่มองหลินอิ่งก็เปลี่ยนเป็นเกรงกลัว

ตอนนี้บนตัวหลินอิ่งมีแรงอาฆาต ทำให้พวกเขารู้สึกหนาวสั่นไปทั้งตัว

พวกเขาไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว กลัวจะทำให้หลินอิ่งโกรธ

เพราะว่า หลินอิ่งแม้แต่ปรมาจารย์ศิลปะการต่อสู้อย่างเจียงกู่จือ ยังถูกหลินอิ่งบีบตายเหมือนมดเลย คนอย่างพวกเขาจะไปทนมือทนเท้าได้ยังไง? ถึงแม้พวกเขาจะมีเงินมีอำนาจแค่ไหน ตอนนี้ต่อหน้าหลินอิ่ง ก็ต่อต้านอะไรไม่ได้

เวลานี้ ผู้นำตระกูลนิ่งที่ล้มไปบนพื้น ต่างก็ก้มหน้าไม่กล้าพูด ฝืนกลั้นไว้

หลินอิ่งมองไปทางนิ่งจองเต้า พูดว่า “นิ่งไท่จี๋อยู่ไหน? ให้เขาออกมาพูด”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท