ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 313 พวกลูกหลานอกตัญญู

บทที่ 313 พวกลูกหลานอกตัญญู

“ที่ผมมาตี้จิง มันเป็นเพียงเรื่องบังเอิญเท่านั้น” หลินอิ่งพูดอย่างช้าๆ “อย่างไรก็ตาม หลังจากได้ยินจากนิ่งซวนบอกว่ามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในตระกูลนิ่ง ผมถึงมาที่นี่เที่ยวหนึ่ง”

นิ่งไท่จี๋พยักหน้า โค้งคำนับให้หลินอิ่งสองครั้ง และกล่าวด้วยความจริงใจว่า “ในครั้งนี้ ต้องขอบคุณประมุขแก๊งที่ลงมือช่วย การนมัสการครั้งแรกของข้าน้อยนิ่ง ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้พลีชีพรุ่นอาวุโสแห่งประเทศหลุง ขอบคุณประมุขแก๊งที่สังหารนิ่งจองเต้าเหล่าผู้นำผู้ทรยศประเทศเช่นนี้ กำจัดคนเลวให้กับประเทศชาติ!การนมัสการครั้งที่สอง ขอบคุณประมุขแก๊งที่ช่วยตระกูลนิ่งรอดชีวิตจากความตาย ไม่เช่นนั้นหากปล่อยให้นิ่งจองเต้านำตระกูลนิ่งไปสู่การก่อกบฏที่วิปริต และตระกูลนิ่งก็จะตกอยู่ในจุดจบที่ไม่สามารถกู้คืนได้ ผลที่จะตามมานั้นไม่สามารถคาดคิดได้เลย”

ความขอบคุณของนิ่งไท่จี๋ที่มีต่อหลินอิ่ง มาจากก้นบึ้งของหัวใจจริง

ถ้าไม่ใช่หลินอิ่งมาที่ตระกูลนิ่งและฆ่านิ่งจองเต้าทิ้ง แล้วปล่อยให้นิ่งจองเต้าดำเนินกิจกรรมทรยศประเทศต่อไป มันจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้คนนับไม่ถ้วนในประเทศหลุง

ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีผู้ก่อตั้งอาณาจักรประเทศหลุงรุ่นเก่า นิ่งไท่จี๋มีความรักอย่างลึกซึ้ง ต่อประเทศแห่งนี้ ชาตินี้ แผ่นดินนี้ และก็ทนดูไม่ได้ที่จะมีใครมาเป็นหนอนทำลายของประเทศนี้!

ตลอดชีวิตของเขา เขาได้เห็นประเทศหลุงตั้งแต่ยุคสงครามต่อเนื่อง จนถึงความรุ่งเรืองและความแข็งแกร่งทีละขั้นตอน ในหมู่พวกเขา มีทหารนับไม่ถ้วนที่เสียสละชีวิต และสาดเลือดร้อน และทำงานหนักมาหลายชั่วอายุคน ถึงจะมีวันนี้ได้ เขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรที่บ่อนทำลายความมั่นคงของประเทศ!

ยิ่งไปกว่านั้น พฤติกรรมที่ทรยศต่อประเทศของนิ่งจองเต้า กำลังนำตระกูลนิ่งไปสู่ความพินาศ ในไม่ช้าก็เร็ว ตระกูลนิ่งจะได้รับการติดต่อจากรัฐบาลและสำนักข่าวกรองทางทหาร และถูกกวาดล้างอย่างสมบูรณ์

แม้ว่าเขานิ่งไท่จี๋ยังหลงเหลือหน้าตาอยู่ในเวทีการเมืองของประเทศหลุงอีกมากมาย แต่ว่า เขาก็จะไม่สามารถรักษาความซื่อสัตย์ในตอนวัยชราของเขาได้ ชื่อเสียงตระกูลนิ่งก็จะออกห่างจากเวทีประเทศหลุง และหายไปอย่างสมบูรณ์ในประวัติศาสตร์ และก็จะเหม็นอับจนไม่สามารถเข้าใกล้ได้ และไม่มีวันหวนกลับคืนมาได้ตลอดกาล

“นิ่งจองเต้าผู้ทรยศประเทศแบบนี้ ทุกคนสามารถลงโทษได้ ผม ก็แค่ทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น” หลินอิ่งกล่าว

ผู้ทรยศประเทศอย่างนิ่งจองเต้า เขารู้จักคนหนึ่งก็จะฆ่าทิ้งคนหนึ่งอย่างแน่นอน มีกี่คนก็กำจัดทิ้งกี่คน และจะไม่มีวันใจอ่อนแม้แต่น้อย

“ประมุขแก๊งมีความชอบธรรมสูง” นิ่งไท่จี๋กล่าวอย่างเคร่งเครียด

ท่าทางของหลินอิ่ง ทำให้นิ่งไท่จี๋ชื่นชมอย่างมาก เขาไม่ได้ต่อยไปกว่าอาจารย์ของหลินอิ่งเลย และก็สมชื่อกับการเป็นประมุขแก๊งแห่งแก๊งมังกร ที่สามารถแบกรับชื่อเสียงของแก๊งมังกรหลายพันปี!

หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง นิ่งไท่จี๋ก็พูดว่า “ประมุขแก๊ง ไม่รู้ว่านิ่งจองเสิ้งและนิ่งจองเป่า ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”

หลินอิ่งพูดอย่างเฉยเมยว่า “ผมจะไว้ชีวิตทั้งสองไว้ชั่วคราว”

นิ่งไท่จี๋พยักหน้า และพูดว่า “คนสองคนนี้ ช่วยคนร้ายทำเรื่องร้าย ข้า จะไม่มีวันปล่อยลูกชายสองคนที่ดื้อรั้นนี้ไปอย่างแน่นอน!”

“เพียงแต่น่าเสียดาย ที่ข้าไม่รอบคอบพอ จึงให้นิ่งจองเต้ายึดอำนาจ และก่อกบฏครั้งใหญ่เช่นนี้ขึ้นมา และมันเป็นความผิดของผมเอง ที่ปล่อยให้รุ่นหลังจำนวนมากมายของตระกูลนิ่งได้รับการชำระล้างโดยไอ้ลูกชายทรยศนี้” นิ่งไท่จี๋ถอนหายใจ สายตาของเขามืดลง

หลินอิ่งไม่ได้พูดอะไรมาก เขารู้ดีถึงอารมณ์ของนิ่งไท่จี๋ในเวลานี้ อายุมากกว่า 80 ปีแล้ว ยังมีคนเสียชาติเกิดเหมือนดั่งนิ่งจองเต้าอยู่ในกลุ่มลูกหลานในตระกูล และทางตระกูลก็มีการเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง มีลูกหลานจำนวนมากเสียชีวิตไป แรงกระทบแบบนี้ มันเป็นเรื่องยากที่รับได้ในเวลาอันสั้นๆ

หลังจากเงียบไปนาน หลินอิ่งกล่าวว่า “นายท่านนิ่ง คุณรู้ที่มาของบุคคลลึกลับที่อยู่เบื้องหลังนิ่งจองเต้าหรือไม่? ตามคำพูดก่อนตายที่เขาพูดนั้น นามแฝงเรียกว่า “กงจิ่ว”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ นิ่งไท่จี๋ก็ดูเคร่งขรึม คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “นิ่งจองเต้าถูกคนอื่นหลอกใช้จริงๆ หรือพูดอีกอย่างก็คือ กลายเป็นหุ่นเชิดของพลังลึกลับนั้นไปแล้ว”

“หลังจากที่ข้าสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติกับนิ่งจองเต้า ก็เคยส่งคนไปตรวจสอบ แต่ทุกคนที่ส่งไปนั้นไม่มีข่าวเลย” นิ่งไท่จี๋พูดอย่างช้าๆ “ข้อมูลที่ผมได้รับมันน้อยมาก ผมรู้แค่ว่า พลังลึกลับที่อยู่เบื่องหลังของนิ่งจองเต้านั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น”

“มันเป็นแบบนี้จริงๆ” หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย มันเหมือนกับสิ่งที่เขาคาดเดาได้ก่อนหน้านี้ เบื้องหลังของนิ่งจองเต้าเป็นกองกำลังของญี่ปุ่นในต่างแดนที่กำลังก่อเรื่องอยู่จริงๆ

เพียงแต่ พลังนี้มีความแข็งแกร่งมหาศาลอย่างที่คาดไม่ถึง

จะต้องรู้ว่า นิ่งไท่จี๋มีภูมิหลังทางทหาร และบุคลากรที่สามารถระดมพลได้ด้วยตนเอง ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสืบสวนข่าวกรองทางทหาร และพวกเขาไม่พบเบาะแสใดๆ เกี่ยวกับกงจิ่วเลย

ยิ่งกว่านั้น ภายใต้กงจิ่วไม่ปรากฏตัว

“คนลึกลับที่อยู่เบื้องหลังนิ่งจองเต้า ยังมอบกลุ่มคนยอดฝีมือให้กับนิ่งจองเต้า และให้การสนับสนุนในทุกๆ ด้าน ไม่เช่นนั้น ข้าก็จะไม่ถูกกักบริเวณอยู่ในบ้านอย่างง่ายดายหรอก” นิ่งไท่จี๋กล่าว “น่าเสียดาย ที่ข้ารู้สึกอ่อนแรงอยู่ในใจในตอนนี้ และไม่มีแรงพอที่จะไปค้นหาองค์กรญี่ปุ่นที่ตั้งใจทำลายประเทศหลุงแล้ว เฮ้”

ถ้าให้อายุของนิ่งไท่จี๋อ่อนลงประมาณ 20 ปี ถึงแม้เขาจะสละชีวิตของเขาเอง ก็จะต้องค้นหากองกำลังลึกลับที่สร้างปัญหาให้กับตระกูลนิ่งออกมาให้ได้อย่างแน่นอน!

“นายท่านนิ่งไม่ต้องห่วง ผมจะดึงกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังของนิ่งจองเต้าออกมาให้ได้อย่างแน่นอน” หลินอิ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม

องค์กรลึกลับนี้ ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายอยู่ในประเทศหลุงเท่านั้น แต่ยังเห็นได้ชัดเจนว่าการกระทำของตระกูลนิ่งในครั้งเจาะจงมาที่ตัวเองอีกด้วย และเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดในทุกด้าน จะต้องดึงตัวออกมาให้ได้อย่างแน่นอน!

“มีประมุขแก๊งเป็นผู้ออกหน้า เรื่องนี้ก็จะสำเร็จแน่นอน และข้าก็ไม่มีอะไรที่จะต้องห่วงแล้ว” นิ่งไท่จี๋กล่าวด้วยความชื่นชม

เขาเชื่อว่า ด้วยความสามารถของหลินอิ่ง มันเป็นไปได้อย่างแน่นอนที่จะทำเช่นนี้ มันเป็นเพียงเรื่องของเวลาเท่านั้น

“ประมุขแก๊ง เชิญเข้าไปนั่งที่ห้องโถงคฤหาสน์นิ่งซื่อ” นิ่งไท่จี๋กล่าวอย่างเคร่งเครียด และส่งคำเชิญออกไป

หลินอิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง และก็พยักหน้า

เป็นเช่นนี้แล้ว นิ่งไท่จี๋ก็เดินออกจากห้องใต้หลังคาอย่างช้าๆ และหลินอิ่งก็เดินตามอยู่ข้างๆ

เมื่อเดินออกจากห้องใต้หลังคา นิ่งจองเสิ้งและนิ่งจองเป่ายังคงอยู่ข้างนอก มองไปที่นิ่งไท่จี๋ด้วยสีหน้ากังวลใจอย่างมาก

ทั้งสองคนทำได้แค่หยุดอยู่กับที่เดิม ตอนนี้พวกเขาจบแล้ว และได้รุกรานหลินอิ่ง เรื่องมันมาถึงจุดนี้แล้ว มันก็สายเกินไปแล้วที่จะทำอะไร ทำได้เพียงรอให้หลินอิ่งตัดสินใจชะตากรรมสุดท้ายของพวกเขา

“ไอ้ลูกหลานอกตัญญูสองคน!” นิ่งไท่จี๋ตะคอกอย่างเย็นชา และมองไปที่นิ่งจองเป่าทั้งสองด้วยความเกลียดชังที่ไม่เอาไหน “เจ้าสัตว์ร้ายทั้งสอง ยังมีหน้าอยู่ในโลกนี้ได้อย่างไร?”

“นายท่าน พวกเราตาบอดไปเอง และเสียสติไปกับความโลภในชั่วขณะ จนทำผิดพลาดไปอย่างร้ายแรง นายท่าน คุณต้องไม่ทิ้งพวกเราไปนะ!” นิ่งจองเป่าร้องไห้ อ้อนวอน

“คุณพ่อ! พวกเราถูกนิ่งจองเต้าหลอกใช้จริง การกักบริเวณคุณก็ไม่ใช่ความคิดของพวกเรา คุณต้องช่วยพูดกับผู้อาวุโสหลินให้พวกเราด้วย ปล่อยชีวิตของพวกเราสองคนไปเถอะ!” นิ่งจองเสิ้งก็ขอร้องเช่นกัน

“เห้อ พวกคุณสองคนอายุปานนี้แล้ว ยังไม่รู้ยางอายเลยจริงๆ!” นิ่งไท่จี๋พูดอย่างเย็นชา “ชีวิตของพวกคุณสองคน ผมมอบให้ผู้อาวุโสหลินไปแล้ว ถ้าเขาต้องการให้พวกคุณตาย พวกคุณก็จะต้องตาย!”

“คุณพ่อ พวกเรา……”

นิ่งจองเป่าและนิ่งจองเสิ้งดูละอายใจ และในหัวใจของพวกเขาหวาดกลัวมาก อายุของพวกเขาก็สี่ห้าสิบปีแล้ว ถูกนายท่านตำหนิอยู่ต่อหน้าหลินอิ่งเช่นนี้ ยังไม่รู้ว่ามันน่าอายแค่ไหน เพียงแต่ว่า พวกเขาสองคนไม่ได้สนใจเรื่องหน้าตาแล้ว หวังเพียงว่าจะมีชีวิตต่อไป

กระหน่ำ!

นิ่งจองเป่าและนิ่งจองเสิ้งหันหน้าไปทางหลินอิ่ง และคุกเข่าในเวลาเดียวกัน หน้าผากของพวกเขากดทับกับพื้น และเคาะหัวขึ้นมาโดยตรง

“ผู้อาวุโสหลิน ขอร้องท่าน เห็นแก่นายท่าน ปล่อยชีวิตพวกเราไปเถอะ”

“ผู้อาวุโสหลิน เราไม่กล้าขออะไรทั้งนั้น เราแค่ขอให้ผู้อาวุโสหลินปล่อยชีวิตพวกเรา พวกผมยินดีส่งมอบทุกอย่างที่มีอยู่ในมือ!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท