ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 321 ลากตัวออกไปตบจนปากแตก

บทที่ 321 ลากตัวออกไปตบจนปากแตก

“พี่จื่อจู๋พูดไม่ผิด แกมันไอ้ไร้น้ำยา ไร้ยางอายกล้าไปประจบคุณหนูกงซุน ครั้งนี้มาร่วมงานเลี้ยงใหญ่ของตระกูลนิ่ง คิดจะทำอะไรอีก? อยากประจบคุณหนูตระกูลเศรษฐีเพื่อเกาะผู้หญิงกิน? หรือไม่ก็ไปเป็นแมงดาเกาะเศรษฐีคนไหน แล้วตามมาเบิกหูเบิกตา?” โจยู่ถานพูดจาเสียดสี ดูถูกหลินอิ่งจากใจ

“ฉันว่านะ หลินอิ่ง ไอ้หมาไร้น้ำยาอย่างแก ครั้งที่แล้วที่เมืองชิงหยูนก็ให้บอดี้การ์ดมาลงมือกับพวกเรา แล้วไปซ่อนที่ไหน? ฉันจะจัดการกับแก แกกลับทำเป็นหายตัวไป ตกใจจนกลัวเหรอ?” โจตงพูดและหัวเราะเย็นชา

“คิดไม่ถึง จะได้ตัวแกที่ตี้จิง ครั้งนี้ ฉันจะดูซิว่าแกจะหนีไปไหนได้อีก” โจตงสายตาโหดเหี้ยม “พี่จู๋ ไอ้ไร้น้ำยาคนนี้แหละ ต้องรบกวนพี่ใช้ความสัมพันธ์หน่อย จัดการสั่งสอนมันหน่อย”

พูดจบ โจตงก็ทำหน้าได้ใจ ท่าทางเหนือชั้นกว่า

เขาติดตามกงซุนจื่อจู๋คุณชายใหญ่แห่งตระกูลกงซุนท่านนี้มาร่วมงานเลี้ยงของตระกูลนิ่ง ฐานะตำแหน่งก็ต้องสูงกว่าหลินอิ่งอยู่แล้ว

กับหลินอิ่งที่เป็นเพียงลูกเขยไร้น้ำยาเท่านั้น ไม่มีสิทธิ์ร่วมงานเลี้ยงใหญ่โตแบบนี้ด้วยซ้ำ ต้องใช้วิธีที่ตกต่ำเพื่อเข้ามาแน่นอน

ส่วนกงซุนจื่อจู๋นั้นเป็นถึงตัวแทนของตระกูลกงซุนแห่งตี้จิง มาเพื่อร่วมงานของตระกูลนิ่ง แค่บอกกับคนของตระกูลนิ่งหน่อยเดียว ก็มีคนมาโยนหลินอิ่งออกจากงานแน่

รอถึงตอนนั้น ค่อยให้กงซุนจื่อจู๋ช่วย ในดินแดนตี้จิงแห่งนี้ จะสั่งสอนหลินอิ่งยังไง ก็สั่งสอนจัดการได้อย่างง่ายดาย กับไอ้ไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่งนี่ เป็นตัวอะไรในตี้จิงแห่งนี้? ไม่มีแม้แต่ความสามารถในการต่อสู้กลับ

“เรื่องเล็ก กับคนไร้น้ำยาไร้ยางอายแบบนี้ ฉันจะจัดการมันยังไงก็ได้ทั้งนั้น” กงซุนจื่อจู๋พูดอย่างสบายใจ ไม่มีลูกเขยไร้น้ำยาที่มาจากต่างจังหวัดแบบนี้อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

หลินอิ่งสีหน้านิ่งเฉย มองกงซุนจื่อจู๋ไปทีหนึ่ง

“คุณเป็นคนของตระกูลกงซุน?”

เขาคิดไม่ถึง ตระกูลนิ่งจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ จะได้เจอกับไอ้หน้าโง่ของตระกูลโจสองคนนี้ อีกอย่างยังประจบคนของตระกูลกงซุนมาด้วย

ยังคิดว่า ประจบคนรุ่นหลังของตระกูลกงซุนคนหนึ่ง ก็ได้เกาะองค์พระแล้วหรือ?

“พวกนายสองคน นึกว่าเกาะตระกูลกงซุน ก็มาอวดดีกับฉันได้เหรอ?” หลินอิ่งหัวเราะ “ลืมแล้วใช่ไหม ที่เมืองชิงหยูน ถูกคนลากตัวออกจากงานยังไง?”

พูดถึงเรื่องที่ถูกโยนออกจากงาน โจยู่ถานกับโจตงสีหน้าแดงก่ำ ทั้งอายทั้งโกรธ

“แก แกมันไอ้ไร้น้ำยายังกล้าอวดดีเหรอ?” โจยู่ถานพูดอย่างโมโห รู้สึกว่าถูกไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งดูถูก ในใจก็รู้สึกโมโห

“แกยังกล้าพูดเรื่องนี้เหรอ? ยังมีหน้ามาพูด? แกมันไอ้คนไร้ยางอาย ครั้งที่แล้วหลังจากกลับไปแล้ว ฉันก็หาแกทั่วเมืองชิงหยูน ก็หาไม่เจอ ไม่ใช่กลัวจนฉี่ลาดกางเกง? แล้วไปซ่อนตัวเหรอ?” โจตงถามอย่างโมโห

เท่าที่เขาดูแล้ว หลินอิ่งก็เป็นเพียงไอ้ไร้น้ำยาที่ไร้ยางอายคนหนึ่ง ก็ทำได้เพียงพูดจาอวดดี หลังจากเกิดเรื่องพาคนไปหาเขา แต่ไม่รู้ไปซ่อนตัวไว้ไหน

ยังกล้ามาพูดอวดดีตรงนี้ คิดว่าอยู่ในงานของตระกูลนิ่ง ดังนั้น เลยคิดว่าตัวเองทำอะไรเขาไม่ได้?

“แกคิดว่า ฉันทำอะไรแกไม่ได้เหรอ?” โจตงพูดเสียงเย็นชา “ตอนอยู่เมืองชิงหยูน ได้ไร้น้ำยาอย่างแกก็ไปเกาะตระกูลหวาง มีคุณหนูใหญ่ของตระกูลหวางคอยคุ้มหัวแก ก็คิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า”

“แกก็ไม่รู้จักดูบ้าง ที่นี่คือตี้จิง กับแค่ความสัมพันธ์เล็กน้อยในเมืองชิงหยูนของแก จะทำอะไรได้? ไม่มีประโยชน์แม้แต่นิดเดียว” โจตงพูดอย่างสีหน้ามั่นใจ “คนที่ยืนข้างฉันคนนี้ ก็คือคุณชายของตระกูลกงซุนแห่งตี้จิง กงซุนจื่อจู๋”

หลินอิ่งส่ายหัว ยิ้มเย็นชาที่มุมปาก

“ทำไม? ว่าแกแล้วไม่พอใจหรือไง? ไอ้ไร้น้ำยาไม่รู้จักเจียมตัว” กงซุนจื่อจู๋ต่อว่าเสียงเย็นชา

สำหรับลูกเขยไร้น้ำยาที่มาจากเมืองตงไห่อย่างหลินอิ่งแบบนี้ เห็นคุณชายตระกูลกงซุนแห่งตี้จิงอย่างเขาแล้ว ทำไมถึงยังมีท่าทางแบบนี้?

สำหรับฐานะของเขาแล้ว ควรต้องเรียกเขาว่าคุณชายกงซุนอย่างเคารพ แล้วรีบเข้ามาประจบ แบบนี้ถึงจะถูก

“หลินอิ่ง ก่อนหน้านี้แกก็ตั้งหน้าตั้งตาคอยประจบคุณหนูกงซุนชิวอวี่ของตระกูลกงซุนไม่ใช้เหรอ? ถ้าอย่างนั้นแกก็ต้องรู้ว่าตระกูลกงซุนเป็นตระกูลยังไงในตี้จิง” โจยู่ถานพูดและยิ้มอย่างเย็นชา “และคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านายคนนี้ กงซุนจื่อจู๋ ก็คือคนที่กงซุนชิวอวี่ต้องเรียกว่าพี่ชาย”

“ตอนนี้ แกรู้ว่าไอ้หมาไร้น้ำยาอย่างแก กำลังพูดกับคนระดับไหนแล้วใช่ไหม?” โจยู่ถานพูดจาเสียดสี

พวกเขาดูถูกหลินอิ่งแต่แรกแล้ว ยังอยากหาเรื่องหลินอิ่ง ยิ่งไม่ต้องพูดว่าตอนนี้มีกงซุนจื่อจู๋คอยหนุนหลังอยู่ ยิ่งมั่นใจเต็มที่

กงซุนจื่อจู๋สายตามีแววแห่งความได้ใจ ยังคงรักษารอยยิ้ม สำหรับคำพูดยกย่องแบบนี้ รู้สึกพอใจอย่างยิ่ง

“หลินอิ่ง ได้ยินว่าครั้งที่แล้วแกให้บอดี้การ์ดจัดการกับโจตงสองพี่น้อง กล้ามากนัก แม้แต่เพื่อนฉันแกยังกล้าทำ? ตอนนี้ แกก้มหัวขอโทษเดี๋ยวนี้ จากนั้น ก็ไสหัวออกไปจากที่นี่ดีๆ” กงซุนจื่อจู๋พูดด้วยน้ำเสียงโอหังอย่างคนที่อยู่เหนือกว่า

หลินอิ่งกำลังจะส่งสายตาให้ฮาเดสลงมือ จัดการกับแมลงวันกวนใจคนนี้

ทันใดนั้น อูหยางก็พอบอดี้การ์ดสองคนเดินมา เห็นพวกหลินอิ่งพอดี จึงเข้ามาทักทาย

อูหยางเป็นพ่อบ้านคนสนิทของนิ่งซวน เมื่อนิ่งซวนขึ้นตำแหน่งผู้ถืออำนาจของตระกูลนิ่งแล้ว ตำแหน่งในตระกูลนิ่งก็สูงขึ้น งานเลี้ยงขึ้นตำแหน่งครั้งนี้ เขาเป็นคนคอยช่วยเหลือนิ่งซวนในการจัดงาน ทำหน้าที่ดูแลงานทั้งหมด

“ประธานหลิน ทางนี้ มีเรื่องอะไรให้ช่วยไหมครับ? สั่งผมได้ตลอดนะครับ” อูหยางพูดอย่างเคารพ

กงซุนจื่อจู๋ขมวดคิ้วแน่น สีหน้าไม่พอใจ เปิดปากพูดต่อว่า “แกเป็นใครกัน? ไม่เห็นหรือว่าฉันกำลังพูดอยู่ กล้าเข้ามาพูดแทรก?”

“ผมเป็นคนรับผิดชอบดูแลงานขึ้นตำแหน่งของตระกูลนิ่งในครั้งนี้ อูหยาง” อูหยางมองกงซุนจื่อจู๋สายตาเย็นชา “คุณชายท่านนี้ ขอให้ท่านหุบปาก รักษาความสงบ อย่ารบกวนผมรายงานเรื่องงานกับประธานหลิน เข้าใจไหม?”

“นี่มัน หมายความว่ายังไง?” กงซุนจื่อจู๋สีหน้าลังเล ฟังความหมายในคำพูดของอูหยางไม่เข้าใจ

ก่อนมาร่วมงานตระกูลนิ่ง เขาได้ยินว่าคนดูแลงานทั้งหมดคืออูหยาง เป็นคนสนิทของนิ่งซวน

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฐานะตำแหน่งของนิ่งซวน ยังห่างกับเขาอีกไกล เลขาของนิ่งซวนกล้าพูดแบบนี้กับเขา เขาต้องเข้าไปตบหน้าแน่นอน

แต่วันนี้ไม่เหมือนกันแล้ว นิ่งซวนก็ไม่รู้ไปได้โชคมาจากไหน แค่หันตัวก็กลายเป็นผู้ถืออำนาจของตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงไปแล้ว ทะยานขึ้นฟ้าทันที อำนาจเงินทองไม่เหมือนสมัยก่อนแล้ว แม้กระทั่งคุณชายตระกูลกงซุนอย่างเขา ก็ไม่กล้าหาเรื่องนิ่งซวน

หลินอิ่งมองไปที่อูหยาง พูดเสียงเรียบ “อูหยาง มาพอดีเลย ลากตัวไอ้ปากเหม็นสองคนนี้ออกไป ตบจนปากแตก”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท