ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 325 สาวงามตี้จิงหาถึงที่

บทที่ 325 สาวงามตี้จิงหาถึงที่

คู่หมั้น?

หลินอิ่งขมวดคิ้ว นี่มันค่อนข้างแปลก

ยิ่งเป็นเรื่องน่าแปลกใจขนาดนี้ ถ้าเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งบอกว่าตัวเองเป็นคู่หมั้นของเขา ถูซานคงไล่ออกไปตั้งนานแล้ว เกรงว่าคนที่มาก็คงไม่ธรรมดา

“ผมรู้แล้ว” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ วางสาย แล้วเดินเข้าอาคารซิงเฉิง

อีกด้านหนึ่ง ถูซานวางสาย เดินกลับไปที่ออฟฟิศประธาน

เก้าอี้ประธานในออฟฟิศ มีหญิงสาวหน้าตาสวยงามคนหนึ่งนั่งอยู่ รูปร่างสูง สวมชุดกระโปรงสีเขียว เผยรูปร่างอันสวยงามเข้ารูป หน้าตาสวยงาม ดวงตาสดใส บุคลิกเย็นชา ให้ความรู้สึกในแบบสาวโบราณ

ข้างกายสาวสวย มีบอดี้การ์ดสาวหน้าตาเย็นชาในชุดดำสองคน บุคลิกท่าทางเคร่งขรึม

“โทรหาหลินอิ่งแล้ว? เขาว่ายังไง?” สาวสวยเปิดปากถามเสียงเรียบ ระหว่างพูดก็มีบุคลิกความเป็นผู้นำเหนือกว่า

ถูซานเหงื่อท่วมหัว พูดว่า “คุณหนูจ้าว ท่านอิ่งน่าจะยุ่งอยู่ ไม่ได้รับโทรศัพท์”

หลินอิ่งไม่ได้สั่งอะไรไว้ เขาไม่กล้าพูดอะไรไปเรื่อย และไม่กล้าถาม

ปกติก็มีคุณหนูตระกูลมหาเศรษฐีในตี้จิงมากมาย อยากมา ทั่วไปแล้วก็ถูกเขาไล่กลับหมด

แต่คนที่มาในวันนี้ เขาถูซานไม่กล้าทำอะไรจริงๆ

คนนี้เป็นไข่มุกในกำมือของตระกูลจ้าวแห่งตี้จิง จ้าวหลินเอ๋อร์ ได้รับความรักความห่วงใยจากนายท่านจ้าว พ่อก็เป็นลูกชายคนโตของนายท่านจ้าว ควบคุมอำนาจของตระกูลจ้าว

ฐานะของหญิงสาวคนนี้ ถือว่าสูงสุดในตี้จิงแน่นอน ในตี้จิง จ้าวหลินเอ๋อร์มีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้คนต่างเรียกว่าสาวงามแห่งตี้จิง ความสามารถเกินคนธรรมดา ความงามไม่แพ้ใคร

โดยเฉพาะ จ้าวหลินเอ๋อร์ยังเรียกตัวเองว่าเป็นคู่หมั้นของท่านหลิน เกี่ยวข้องกับเรื่องส่วนตัวของท่านอิ่ง เขาถูซานไม่กล้าพูดอะไรไปเรื่อย จึงได้แค่พูดกล่อมอย่างดี

“ไร้น้ำยา” จ้าวหลินเอ๋อร์ต่อว่าถูซานอย่างเย็นชา “เรื่องแค่นี้ก็ทำไม่ได้? ฉีหยิ่นทำไมถึงมีลูกน้องไร้น้ำยาอย่างแก?”

“นี่……คุณหนูจ้าว ด้วยตำแหน่งของผมแล้ว จะไปรู้ว่าท่านอิ่งอยู่ไหนได้ยังไง ไม่รู้ว่าอยู่ไหนจริงๆ ไม่อย่างนั้น รอท่านอิ่งมีคำสั่งมา ผมจะรายงานท่านทันที” ถูซานพูดอย่างจริงจัง

จ้าวหลินเอ๋อร์ตาสวยเป็นประกาย พูดว่า “แล้วลูกพี่แกหยูจื๋อเฉิงละ? ช่วงนี้อยู่ไหน ทำไมต้องหลบหน้าฉัน?”

“หัวหน้าหยูกำลังจัดการเรื่องสำคัญอยู่ ผมก็ไม่ได้เจอหัวหน้าหยูมาสักพักแล้ว” ถูซานพูดตามความจริง

“เหอะ” จ้าวหลินเอ๋อร์ทำเสียงเย็นชา “นี่กำลังช่วยหัวหน้าแกกับท่านอิ่งโกหกเหรอ? คิดว่าฉันหลอกง่ายเหรอ?”

“หัวหน้าแกหยูจื๋อเฉิงซ่อนตัวก็แล้วไป พวกแกลูกน้องฉีหยิ่นแต่ละคน ต่างก็บอกฉันว่า ฉีหยิ่นไม่อยู่ตี้จิง?” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าโมโห “แต่ว่า ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันที่จงเทียนซิงเฉิง โครงการสตาร์ไลท์นั้น ใครเป็นคนทุ่มเงินทำ? ไม่ใช่ฉีหยิ่น หรือว่าลำพังคุณถูซานมีทรัพย์สินมากขนาดนี้?”

ถูซานเหงื่อท่วมหัว ในใจรู้ดีว่าเรื่องที่ท่านอิ่งมาตี้จิง ปิดจ้างหลินเอ๋อร์ไม่อยู่แล้ว ผู้หญิงคนนี้คอยสังเกตท่านอิ่งที่ตี้จิงตลอดเวลา สังเกตความเคลื่อนไหวของตระกูลฉี บวกกับอำนาจอันใหญ่โตของเขา ข่าวคราวรอบรู้อย่างดี

ความเป็นจริง หลายเดือนก่อนตอนที่ถูซานติดตามอยู่ข้างกายหยูจื๋อเฉิงเพื่อจัดการเรื่อง ก็เคยเจอกับจ้าวหลินเอ๋อร์แล้ว

ตอนนั้น จ้าวหลินเอ๋อร์เข้าไปหา แม้แต่หัวหน้าหยูยังต้อนรับอย่างระมัดระวัง ต้อนรับอย่างดี ไม่เคยพูดถึงตำแหน่งของท่านอิ่งเลย พูดเพียงแค่ว่าไม่อยู่ตี้จิง

จากนั้นไปสืบ จ้าวหลินเอ๋อร์กับท่านอิ่งมีเรื่องบางอย่างอยู่จริง เคยมีสัญญาหมั้นหมายกันจริง

ได้ยินว่า หัวหน้าหยูเคยไปถามนายท่านฉี ครั้งในอดีต นายท่านฉีเวิ่นติ่งเคยคุยเรื่องสัญญาหมั้นหมายของท่านอิ่งกับนายท่านจ้าว ต่อมาเพราะว่าท่านอิ่งออกจากตี้จิงไปแต่เด็ก เรื่องนี้จึงไม่ได้คุยกันต่อ

“ช่างเถอะ ฉันโทรหาฉีหยิ่นเอง ถามเขาเองว่าหมายความว่ายังไง” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดเสียงเย็นชา สีหน้าไม่พอใจ

เธอเป็นสาวงามที่มีชื่อเสียงที่สุดในตี้จิง ชายหนุ่มตระกูลใหญ่โตที่อยากตามจีบเธอเข้าแถวกันยาวเหยียด ปรากฏว่า มาหาฉีหยิ่นครั้งแล้วครั้งเล่า กลับถูกขวางไว้นอกประตู

ไม่รู้ว่าฉีหยิ่นเล่นลึกลับอะไร มีกิจการใหญ่โตอย่างตระกูลฉี แต่ไม่เคยเผยโฉมหน้าในแวดวงสังคมตี้จิงเลย แม้แต่ลูกน้องที่คอยช่วยเขาดูแลกิจการ ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง

ที่น่าโมโหที่สุดก็คือ ยังบอกว่าฉีหยิ่นไม่อยู่ตี้จิง ปรากฏว่า ให้ลูกน้องทำโครงการสตาร์ไลท์ราคามหาศาลในจงเทียนซิงเฉิง ยังทำเรื่องจุดไฟเผาในตี้จิง ทำเรื่องจนครึกครื้นไปทั่วเมือง นี่ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าฉีหยิ่นทำโครงการนี้ให้ผู้หญิงไม่ใช่เหรอ?

คิดถึงจุดนี้ จ้าวหลินเอ๋อร์ก็รู้สึกโมโห ไม่พอใจอย่างยิ่ง รู้สึกว่าฉีหยิ่นสวมเขาให้เธอ

ถึงแม้ว่าเธอกับฉีหยิ่นจะเคยเจอกันแค่ตอนเด็ก ไม่ได้เจอกันมาสิบกว่าปี แต่ไม่ว่ายังไงก็มีสัญญาหมั้นหมายจากนายท่านผู้มีอำนาจทั้งสอง จะให้ฉีหยิ่นทำอะไรตามใจชอบอยู่ข้างนอกแบบนี้ได้ยังไง?

หรือยังมีผู้หญิงคนไหนในประเทศหลุงที่สมบูรณ์แบบและสูงส่งกว่าจ้าวหลินเอ๋อร์อีก? ทำให้ฉีหยิ่นไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย?

“คุณหนูจ้าว นี่มัน ผมเอาเบอร์ให้คุณไม่ได้จริงๆ มือถือผมก็เป็นเบอร์ลับ” ถูซานสีหน้าลำบากใจ พูดอย่างลำบากใจ

“จับมันไว้” จ้าวหลินเอ๋อร์โบกมือ พูดอย่างเอือมระอา

เสียงดังฮวั๊ก บอดี้การ์ดสองคนข้างกายเธอก็ลงมือแล้ว ซ้ายคนขาวคน เข้าไปจับตัวถูซานไว้ กดตัวไว้บนโต๊ะ

จากนั้น บอดี้การ์ดสาวคนหนึ่งก็หยิบปืนออกมาจ่อไว้บนหัวของถูซาน บอดี้การ์ดอีกคนก็ค้นมือถือออกมาจากกระเป๋าของเขา ยื่นให้จ้าวหลินเอ๋อร์

“คุณ จ้าว คุณหนูจ้าว คุณทำแบบนี้เกินไปแล้ว” ถูซานพูดเสียงเคร่งเครียด รู้สึกอึดอัด “ถ้าทำให้ท่านอิ่งโกรธ ทางคุณก็อธิบายไม่ได้”

“หุบปากเดี๋ยวนี้” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างไม่พอใจ “แกเป็นแค่ลูกน้องคนหนึ่งของฉีหยิ่นเท่านั้น ฉันเป็นอะไรกับเขา แกจะไม่รู้เลยเหรอ? ยังกล้าเอาฉีหยิ่นมาขู่ฉันอีก? รนหาที่ตายเหรอ?”

ถูซานสีหน้าเอือมระอา อยากพูดแต่ไม่กล้าพูด อดกลั้นเอาไว้ คิดในใจ ท่านอิ่งอยากพาคุณนายหลินมาจงเทียนซิงเฉิง ไม่รู้ว่าสมองจ้าวหลินเอ๋อร์คนนี้คิดอะไรอยู่

แน่นอน เขาไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้จ้าวหลินเอ๋อร์ฟัง ถ้าให้เธอรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณนายหลิน ทำให้คุณหนูจ้าวคนนี้โกรธขึ้นมา ด้วยนิสัยของจ้าวหลินเอ๋อร์แล้ว คาดว่าเขาต้องหัวแตกทันทีแน่

เสียงติ๊ดดังขึ้นสองครั้ง กดโทรออก

“ถูซาน โทรมาอีกทำไม?” ในโทรศัพท์นั้นเป็นเสียงของหลินอิ่ง

ได้ยินน้ำเสียงแล้ว จ้าวหลินเอ๋อร์ก็รู้สึกไม่พอใจอย่างยิ่ง ต้องเป็นฉีหยิ่นแน่นอน ผู้ชายคนนี้เคยได้รับโทรศัพท์ของฉีหยิ่นแล้ว รู้ว่าเธอมาหาเขา ยังกล้าไม่ใส่ใจเธออีก?

“ฉีหยิ่น ตอนนี้คุณอยู่ไหน?” จ้าวหลินเอ๋อร์ถามอย่างเย็นชา

“เธอคือใคร?” หลินอิ่งถามเสียงเรียบ

จ้าวหลินเอ๋อร์ขมวดคิ้ว โมโหจนตัวสั่น พูดด้วยความโกรธ “ฉัน ฉันคือ……ภรรยาของคุณ”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท