ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 329 คำสั่งของคุณจี้

บทที่ 329 คำสั่งของคุณจี้

“ฮาฮา พี่หลิว เชิญนั่ง” สวีฉางเฟิงร้อนรับอย่างดีใจ รอผู้อาวุโสชุดจีนนั่งแล้ว ก็แนะนำให้เหยียนหลงรู้จัก

“น้องเหยียนหลง ท่านนี้คือหลิวสฺยงมาจากเมืองก่าง พี่หลิว คนสนิทของนายท่านจี้”

“พี่หลิว” เหยียนหลงทักทายอย่างเคารพ ถามด้วยสีหน้าสงสัย “นายท่านจี้? คือท่านนั้นแห่งเมืองก่าง?”

“ถูกต้อง น้องเหยียนหลง ก็คือนายท่านจี้แห่งเมืองก่าง คนเรียกกันว่าเจ้าหัวจี้” สวีฉางเฟิงพูดสีหน้าหนักแน่น “ไอ้หยูจื๋อเฉิงนั่น รนหาที่ตายไปสร้างความขุ่นเคืองกับนายท่านจี้ ครั้งนี้ นายท่านจี้สนับสนุนฉันอย่างเต็มที่”

“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง” เหยียนหลงพยักหน้า รู้สึกโล่งใจ “มีนายท่านจี้คอยสนับสนุนอยู่ข้างหลัง จัดการหยูจื๋อเฉิงก็ไม่ใช่ปัญหาแล้ว”

เหยียนหลงคิดตกแล้ว ทำไมสวีฉางเฟิงถึงกล้าไปหาเรื่องหยูจื๋อเฉิง ไปเปิดสงคราม ที่แท้ก็มีคนใหญ่โตอย่างจี้ฉงซานคอยหนุนหลังนี่เอง

ต้องรู้ว่า จี้ฉงซานเป็นนักธุรกิจในตำนานที่ทุกคนในประเทศหลุงต่างรู้จักกัน ไม่ได้เป็นเพียงมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองก่าง ในวงการชาวหลุงที่ต่างประเทศก็มีตำแหน่งสูงส่ง ถูกเรียกว่ามหาเศรษฐีอันดับหนึ่งชาวหลุง

คนนี้ร่ำรวยกว่าประเทศคู่ต่อสู้ มีฐานธุรกิจหลายสิบปีในเมืองก่าง อำนาจใหญ่โต คู่ควรกับชื่อที่เรียกกันว่าฮ่องเต้แห่งเมืองก่าง

โดยเฉพาะ จี้ฉงซานเป็นคนกว้างขวาง ความสัมพันธ์รอบด้านในตี้จิงใหญ่โตกว้างขวาง เครือค่ายอำนาจใหญ่โต

อย่างสวีฉางเฟิงซึ่งเป็นผู้ครองอำนาจหนึ่งในตระกูลสวี ต่อหน้าจี้ฉงซานก็ต่ำกว่าระดับหนึ่ง ความสามารถทุกด้านไม่อาจเปรียบเทียบได้ จี้ฉงซานนั้นสามารถพูดคุยกับหัวหน้าตระกูลใหญ่ในประเทศหลุงได้โดยตรง

“น้องเหยียนหลงพูดเกรงใจแล้ว ฉันก็ได้ยินชื่อเสียงเหยียนหลงแห่งตี้จิงที่เมืองก่างมานานแล้ว” หลิวสฺยงพูดอย่างเกรงใจ เทเหล้าให้เหยียนหลง

เหยียนหลงรักษารอยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าชอบใจมาก ดื่มหมดแก้วทันที

“ไม่ทราบว่า นายท่านจี้มีคำสั่งอะไรอีกไหม?” เหยียนหลงถามอย่างจริงจัง

หลิวสฺยงยิ้ม พูดว่า “นายท่านจี้ บอกแค่ว่าให้ท่านสองคนบีบจนฉีหยิ่นออกหน้า ไม่เพียงแค่นี้ แน่นอน ส่วนดีนั้น ทางด้านนายท่านจี้ให้ไม่น้อยแน่”

“พี่หลิว รายละเอียดควรทำยังไง ขอคำแนะนำด้วย” สวีฉางเฟิงพูดสีหน้าหนักแน่น ท่าทางจริงจัง

ปกติจี้ฉงซานเป็นคนมือหนัก ต้องให้พวกเขาไม่น้อยแน่

ถึงแม้ไม่มีให้ แค่เรื่องที่หยูจื๋อเฉิงยิงลูกชายเขาสวีชิงซง ทำให้เขาเสียหน้า วันนี้มีโอกาสนี้ ก็จะใช้อำนาจของจี้ฉงซานอย่างไม่ลังเลแน่นอน เพื่อจัดการกับหยูจื๋อเฉิงพร้อมกัน

โดยเฉพาะ ครั้งนี้สามารถสานสัมพันธ์กับจี้ฉงซาน ได้รู้จักกับผู้มีอำนาจคนนี้ หนทางภายหน้ากว้างขวางแน่

ต้องรู้ว่า ตำแหน่งที่นั่งของสวีฉางเฟิงในคนรุ่นที่สอง ยังอยู่แค่ระดับห้าหก อยากควบคุมอำนาจสูงสุดของตระกูลสวีค่อนข้างยาก

ถ้าหากสามารถร่วมมือและมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับจี้ฉงซานได้ อย่างนี้ ก็มีแรงสนับสนุนที่ใหญ่โตนี้ ตำแหน่งในตระกูลสวีของเขา ก็ต้องสูงขึ้นเป็นธรรมชาติ

“สำหรับรายละเอียด เหอะเหอะ อาจจะค่อนข้างยุ่งยาก แต่ว่า สำหรับอำนาจของน้องเหยียนหลงในตี้จิงแล้ว ก็ยังคงจัดการได้……” หลิวสฺยงพูดจาลึกลับ

เป็นไปตามนั้น ทั้งสามคนพูดคุยกันเรื่อยๆ พูดถึงแผนการที่จะบีบตัวฉีหยิ่นให้แสดงตัวยังไง…….

……

วันถัดมา

หลินอิ่งกับฮาเดสขับรถ มาถึงท่าเรือขนส่งแม่น้ำตี้หวาง

แม่น้ำตี้หวาง แม่น้ำเป็นดั่งชื่อ สายน้ำไหลเชี่ยว เกลือกกลั้ว กระฉับกระเฉง เหมือนดั่งจิตวิญญาณจักรพรรดิที่ห้อมล้อมภูเขาและแม่น้ำลำธาร สมดังชื่อที่เรียกว่าตี้เจียง

สถานที่ใกล้เคียงท่าเรือขนส่ง บนดาดฟ้าอาคารโรงงานแห่งหนึ่ง หลินอิ่งมือกอดอก แววตาเฉียบคม มองดูแม่น้ำที่ไหลเชี่ยว

ข้างกายเขา มีฮาเดสและถังฮุยยืนอยู่

“จัดเตรียมเรียบร้อยหรือยัง?” หลินอิ่งถามเสียงเรียบ

ถังฮุยพูดอย่างเคารพ “ท่านอิ่ง จัดเตรียมตามคำสั่งท่านทุกอย่าง เรียบร้อยหมดแล้วครับ แค่รอคำสั่งท่าน ขุมทรัพย์ของตระกูลสวี ก็จะกลายเป็นขี้เถ้าทันที”

หลินอิ่งพยักหน้า “ดีมาก”

สามารถจัดการงานใหญ่ขนาดนี้ในชั่วค่ำคืน ก็ดูออกว่า ถังฮุยที่เป็นหัวหน้าโลกใต้ดินแห่งตี้จิง ก็ถือว่ามีความสามารถจริง ไม่ใช่ชื่อเสียงจอมปลอม

หลินอิ่งมองไป เวลานี้ ท่าเรือขนส่งอันใหญ่โตเวลานี้เงียบสงบ เป็นฤดูที่ธุรกิจเงียบเหงา ไม่ใช่เวลาของการขนส่งสินค้า มีเพียงคนงานส่วนน้อยที่ขับรถขนสินค้า

ส่วนที่ห่างออกไปสิบกิโลเมตร บนแม่น้ำตี้หวาง มีเรือสินค้าสีเงินขนาดใหญ่จอดอยู่เต็ม ขนตู้สินค้าที่ปิดแน่น จำนวนนับร้อย เลขที่เขียนไว้ต่างเริ่มต้นด้วยX เป็นเครื่องหมายเรือของตระกูลสวี

“ท่านอิ่ง สินค้าชุดนี้ แบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งเป็นเหมืองแร่หิน อัญมณีทองคำพวกนี้ ตระกูลสวีตั้งใจจะส่งออกไปต่างประเทศ อีกส่วนหนึ่ง เป็นสินค้ามีค่าที่นำเข้าจากต่างประเทศ” ถังฮุยพูดอย่างจริงจัง “วันนี้ก่อนทำงาน คนบนเรือสินค้า ผมจัดคนให้พาออกไปมอมเหล้าทั้งหมด”

หลินอิ่งพยักหน้า เขาจะเอาคืนตระกูลสวี ไม่อยากให้คนบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง

ถังฮุยทำงานรอบคอบ ไม่เสียดายที่สร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นเองจากการติดตามหยูจื๋อเฉิน เริ่มต้นจากพื้นฐานขึ้นมาถึงวันนี้

“ระเบิดเลย” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“ครับ” ถังฮุยพยักหน้า หยิบมือถือขึ้นมาโทร

“อีกสิบวินาที ระเบิดเลย” ถังฮุยออกคำสั่งสีหน้าหนักแน่น

หลินอิ่งหมุนตัว ไม่ดูวิวของแม่น้ำตี้หวางแล้ว

ถังฮุยกับฮาเดสก้มหน้า หมุนตัวเดินตามหลินอิ่ง

โคร่งบึ้มบึ้ม

ในวินาทีที่หลินอิ่งหมุนตัว บนแม่น้ำตี้หวางก็มีเสียงสะเทือนระเบิดดังอย่างกะทันหัน คลื่นไฟโหมกระหน่ำกระทบท้องฟ้า ภาพอลังการมาก

เรือสินค้าแต่ละลำถูกระเบิดอย่างย่อยยับ ทุกอย่างกลายเป็นเศษซากไปหมด ลอยอยู่บนแม่น้ำ

หลังจากระเบิดกล่องสินค้าโลหะจำนวนมากบนเรือ อัญมณีทองคำจำนวนนับไม่ถ้วนไหลลงในแม่น้ำตี้หวาง เปล่งประกายแสงสี ดูน่าทึ่ง ราวกับขุมสมบัติทองคำ……

ระเบิดรอบนี้ ระเบิดสินค้าจำนวนเงินพันล้าน ยิ่งเป็นการกระทบต่อธุรกิจตระกูลสวีเสียหายหมื่นล้าน ถึงจะเป็นตระกูลสวีที่มีธุรกิจใหญ่โต ก็เสียหายอย่างใหญ่หลวง อาการสาหัส

ภาพในแม่น้ำตี้หวางนี้ ถูกผู้คนที่เดินผ่านถ่ายภาพ กลายเป็นภาพในตำนานระดับโลกไปเลย ถูกโพสต์ลงในอินเทอร์เน็ตสร้างความฮือฮา ไปทั่วประเทศหลุง ทำให้ทุกคนต่างคาดเดากัน ว่านี่มันเรื่องอะไรกัน?

คนที่พอรู้เรื่องสังคมในตี้จิง ต่างก็รู้ว่านี่เป็นธุรกิจของตระกูลสวีแห่งตี้จิง เป็นขุมทรัพย์ที่สร้างรายได้ไม่หยุดของตระกูลสวี ถูกคนระเบิดทิ้งแบบนี้? เป็นใครที่ไหนใจกล้าขนาดนี้?

ตามนั้น นี่ไม่ทำให้ตี้จิงต้องพลิกแผ่นดินเลยหรือ? ต่อจากนี้ เกรงว่าตระกูลสวีจะทำให้ท้องฟ้าตี้จิงเปลี่ยนสี คลื่นน้ำซัดแรงเป็นแน่

ส่วนหลินอิ่ง กลับไม่หันไปมองแม้แต่น้อย เดินจากไปอย่างเรียบเฉยสบายใจ….

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท