ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 328 เล่นเป็นเพื่อนตระกูลสวีให้ใหญ่หน่อย

บทที่ 328 เล่นเป็นเพื่อนตระกูลสวีให้ใหญ่หน่อย

โรงแรมจงเทียน

ปกติธุรกิจดีมาก โรงแรมที่คนเข้าออกมากมาย ตอนนี้ถูกเคลียร์คนออกหมดแล้ว เงียบสงบไม่มีคน ปิดประตูไม่รับแขก

ห้องโถงรับแขกที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ถูกทุกอย่างเละเทะทุกจุด กระจก ไฟ คริสทัล แตกกระจายเต็มพื้น สภาพย่ำแย่

ไม่เพียงแค่ห้องโถงใหญ่ แม้แต่เขตห้องอาหารจีน อาหารตะวันตก เขตแข่งบอล ห้องแข่งเกม ร้านกาแฟ ห้องคาราโอเกะ ห้องพักสิบกว่าชั้น ล้วนถูกทุบจนดูไม่ได้ กำแพงก็เป็นรูเป็นหลุม บนพื้นยังมีปลอกกระสุน

ไม่พูดเรื่องอื่น เพียงแค่ซ่อมแซมโรงแรมใหม่ ซ่อมแซมความเสียหายเหล่านี้ ก็ต้องใช้เงินร้อยล้าน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าถูกทุบโรงแรมครั้งนี้ จะมีผลกระทบด้านลบต่อชื่อเสียงโรงแรมอีก

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย มีฮาเดสกับถังฮุยอยู่เป็นเพื่อน เดินดูแต่ละเขตในโรงแรม

สุดท้าย กลับไปที่ออฟฟิศประธานในโรงแรม หลินอิ่งนั่งลงบนเก้าอี้ประธาน ถังฮุยยกน้ำชามาให้

“ท่านอิ่ง ผมไร้ความสามารถ จัดการเรื่องไม่ได้ ยินยอมรับโทษครับ” ถังฮุยพูดอย่างหวาดกลัว สีหน้าตื่นเต้น สายตาโมโห

ครั้งนี้เหยียนหลงฉวยโอกาสตอนเขาไม่อยู่ พาคนมาทุบโรงแรมเละเทะจนสภาพเสียหายแบบนี้

แม้แต่กิจการของท่านอิ่งยังกล้าทุบ อยากตายแล้ว

หลินอิ่งดื่มชาไปคำหนึ่ง ถามว่า “เหยียนหลงกับสวีฉางเฟิง ตอนนี้อยู่ไหน?”

“ท่านอิ่ง ผมส่งคนไปหาเหยียนหลงที่เขตเหยียนหวงทันที แต่พบว่า เหยียนหลงซ่อนตัวแล้ว ไม่ได้อยู่ที่โรงแรมเหยียนซื่อที่เขาอยู่ประจำการแล้ว” ถังฮุยพูดอย่างเคารพ “ผมให้คนไปสืบต่อ ได้ข่าวมาว่า วันนี้เหยียนหลงพาคนไปที่วิลล่าตงหลิงของตระกูลสวีแล้ว”

“ผมคิดว่า เหยียนหลงกลัวผมไปแก้แค้น คงเตรียมตัวอย่างดี พาลูกน้องติดตามตัวมากมาย ตอนนี้เขามีที่พึ่งอย่างตระกูลสวีคอยหนุนหลัง ยิ่งอวดดีมาก” ถังฮุยพูด “ส่วนสวีฉางเฟิง เขาเป็นผู้ครองอำนาจของตระกูลสวีอยู่แล้ว ปกติก็จะอยู่ที่วิลล่าตงหลิง จะทำอะไรเขาไม่ใช่เรื่องง่าย”

“เหอะ ตระกูลสวี” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา

เขากับตระกูลสวีแห่งตี้จิงไม่ค่อยไปมาหาสู่กัน ครั้งที่แล้วที่เขตเหยียนหวงต่อยสวีชิงซงคุณชายทั้งสี่แห่งตี้จิง แค่ตีหมาขวางทางเท่านั้น คิดไม่ถึง ตระกูลสวียังกล้ากลับมากัดเขา

“ท่านอิ่ง สวีฉางเฟิงพูดแล้ว บอกว่าผมไปทำร้ายลูกชายเขา ให้ผมกับหัวหน้าหยูเข้าไปตระกูลสวีเพื่อขอโทษด้วยตัวเอง ยังบอกว่าถ้าไม่ใช่เห็นแกหน้าฉีหยิ่น ทำพวกผมสองคนพิการไปนานแล้ว” ถังฮุยพูดด้วยความโกรธ

“ขอให้โอกาสผมอีกครั้ง คืนนี้ผมจะพาคนไปเขตเหยียนหวง ทุบโรงแรมเหยียนซื่อของเหยียนหลง” ถังฮุยพูดอย่างจริงจัง ทนไม่ไหวที่จะเอาคืน

เขาถังฮุยไม่ว่ายังไงก็ออกมาจากโลกแห่งความมืด ในโลกแห่งความมืดมีกฎระเบียบของโลกแห่งความมืด

ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

เหยียนหลงกับสวีฉางเฟิงใช้วิธีเปิดสงครามแบบนี้ ไม่ทนแน่นอน ไม่อย่างนั้น จากนี้ไปเขาก็ไม่ต้องอยู่ในโลกใต้ดินแล้ว

“ถ้าตระกูลสวีจะเล่นแบบนี้ ก็เล่นเป็นเพื่อนพวกเขาให้ใหญ่ไปเลย” หลินอิ่งพูดด้วยเสียงเรียบเฉย

“คืนนี้เตรียมตัวให้ดี พรุ่งนี้ ไประเบิดท่าเรือตี้เจียงของตระกูลสวี”

“ระเบิดท่าเรือตระกูลสวี?” ถังฮุยสีหน้าตะลึง คิดไม่ถึงว่าท่านอิ่งขึ้นมาก็ทำการใหญ่โตขนาดนี้

“พรุ่งนี้ ผมต้องการให้บนแม่น้ำตี้หวาง ไม่เห็นเรือของตระกูลสวีแม้แต่ลำเดียว” หลินอิ่งพูดด้วยเสียงเย็นชา

ตระกูลสวีกล้าหาเรื่องก่อน ไม่ทำรุนแรงหน่อยให้พวกเขาดู พวกเขาจะไม่รู้จักอะไรเรียกว่าฉีหยิ่นแห่งตี้จิง

ถังฮุยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พูดอย่างจริงจัง “ได้ครับ ท่านอิ่ง ผมจะรีบกลับไปเตรียมตัว ต้องทำอย่างดีแน่นอน”

เขาคิดไม่ถึงเลย ท่านอิ่งที่ดูเรียบง่าย เมื่อเอาจริงแล้ว จะทำหนักขนาดนี้

ต้องรู้ว่า ตระกูลสวีแห่งตี้จิงเป็นตระกูลระดับสูงในประเทศหลุง ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในนั้นก็คือ ธุรกิจทางน้ำ ธุรกิจการขนส่งทางเรือทำได้อย่างราบรื่น จนตัดขาดทั้งหมด

บนท่าเรือขนส่งแม่น้ำตี้หวาง ตระกูลสวีอย่างน้อยมีเรือจอดอยู่ร้อยกว่าลำ ขนแต่ของมีค่าราคาแพง สิ่งของหายากราคาแพงในท้องตลาด จนพูดได้ว่า เป็นเรือแต่ละลำที่บรรจุทองคำเงินทอง เป็นทรัพย์สินที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดมหาศาลได้ตลอดเวลา

เรือร้อยกว่าลำของตระกูลสวี อย่างน้อยราคาอยู่เป็นเงินจำนวนตัวเลขสิบหลัก

ระเบิดรอบนี้ คือการระเบิดขุมทรัพย์ของตระกูลสวีแห่งตี้จิงเลย

ท่านอิ่งบอกว่าระเบิดเรือ เรื่องนี้ก็ไม่เหมือนกันแล้ว

ตอนแรกเป็นเพียงเรื่องบาดหมางระหว่างเขาถังฮุยกับตระกูลสวี การกระทบกันของอำนาจใต้ดิน

พอระเบิดเรือแล้ว ก็เหมือนระเบิดฉีกท้องฟ้าตี้จิงแห่งนี้แล้ว เท่ากับเป็นการแข่งขันแย่งชิงอย่างรุนแรงระหว่างตระกูลฉีแห่งตี้จิง

และตระกูลสวีทั้งสองตระกูลใหญ่

ถังฮุยรู้สึกได้กลิ่น เลือดนองทั้งเมืองตี้จิงลอยมาแล้ว

…….

ในเวลาเดียวกัน วิลล่าตงหลิง ภูเขาตงหลิง เขตเหยียนหวงตี้จิง

ภายในคฤหาสน์อันสวยหรูแห่งหนึ่ง จัดงานเลี้ยงแห่งชัยชนะ ชายวัยกลางคนสองคนนั่งอยู่

ก็คือเหยียนหลงและสวีฉางเฟิง สวีฉางเฟิงดูแล้วบุคลิกสง่างาม สายตาโหดเหี้ยมในวัยกลางคน

เหยียนหลงยกเหล้าเคารพ พูดว่า “พี่เฟิง พวกเราทุบโรงแรมจงเทียนแบบนี้ จะรุนแรงไปไหม หยูจื๋อเฉิงต้องหาวิธีแก้แค้นแน่นอน”

“น้องเหยียนหลง ไม่ต้องเป็นห่วง ช่างแม่มัน ตัวหยูจื๋อเฉิงคนเดียว สุนัขรับใช้ตระกูลฉีเท่านั้น ลูกชายฉันแค่รังแกลูกน้องมันคนเดียว ชื่ออะไรนะ หลินอิ่ง? มันก็ใช้อำนาจตระกูลฉีกล้าจัดการกับน้อง ยังกล้าใช้ปืนยิงลูกชายฉัน? ไม่สั่งสอนมันหน่อย อีกหน่อยฉันจะอยู่ตี้จิงต่อยังไง?” สวีฉางเฟิงพูดเสียงเย็นชา

สวีฉางเฟิงดื่มเหล้าไปคำหนึ่ง พูดอย่างเชื่องช้า “ฉันให้นายไปทุบโรงแรมจงเทียน หยูจื๋อเฉิงจะทำอะไรได้? ไปเชิญฉีหยิ่นคนนั้นมาออกหน้าแทน?”

“ใช่ ผมกังวลฉีหยิ่น คนคนนี้โหดเกินไป แม้แต่ตระกูลเหวิน บอกฆ่าล้างก็ฆ่าไปทั่วค่ำคืน” เหยียนหลงพูดอย่างครุ่นคิด

“เหอะ ไอ้ฉีหยิ่นคนนี้ก็ไม่รู้ไปผุดออกมาจากไหน คาดว่าข้างหลังคงมีคนหนุน นายเชื่อหรือว่าเขาฆ่าล้างตระกูลเหวินเพียงคนเดียว?” สวีฉางเฟิงพูดอย่างใจเย็น “ฉีหยิ่นฉันไม่รู้จัก ถือว่าเป็นคนรุ่นหลัง พ่อเขาฉีเหอถู ก็เคยไปมาหาสู่บ้าง ในอดีตฉีเหอถูอยู่ในตี้จิงก็ไม่ได้มีบารมีอะไรขนาดนี้ ลูกน้องยังกล้ายิงลูกชายฉัน?”

“วางใจเถอะ ถึงแม้ฉีหยิ่นออกหน้าแทน นับรุ่นแล้ว ก็ต้องเรียกฉันว่าอา พ่อเขายังเคยดื่มเหล้ากับฉันบ่อยๆ ให้คนที่เป็นหลานอย่างเขา ส่งลูกน้องมาขอโทษที่ตระกูลสวีจะเป็นไรไป? เขาจะไปไว้หน้าฉันเลยเหรอ?” สวีฉางเฟิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ

เหยียนหลงพยักหน้า กรอกเหล้าเข้าไป ในใจรู้สึกไม่ค่อยดี ถ้าไม่ใช่อยู่เรือลำเดียวกับตระกูลสวี เขาก็ไม่ยอมเล่นไม้แข็ง กับหยูจื๋อเฉิง

“น้องเหยียนหลง อย่าคิดว่าฉันทำอะไรไม่มีเป้าหมาย ทำเรื่องอะไรที่ควบคุมไม่ได้” สวีฉางเฟิงพูดจาลึกลับ “จะบอกอะไรให้ ฉันกำลังช่วยผู้ใหญ่ท่านหนึ่งจัดการเรื่องอยู่ ได้รับคำสั่งมา ไม่อย่างนั้น ฉันก็ไม่กล้าหาเรื่องกับตระกูลฉี…….”

“ฮาฮา น้องฉางเฟิง งานนี้จัดการได้ดีมาก คุณจี้พอใจมาก ชื่นชมนาย ตอนนี้ ก็รอทางหยูจื๋อเฉิงโต้กลับ”

เวลานี้เอง เสียงหัวเราะก็ดังขึ้น เห็นเพียงผู้อาวุโสในชุดโบราณสีเขียวเดินมาจากประตู อายุประมาณห้าสิบ

“น้องฉางเฟิง ทางด้านคุณจี้ มีคำพูดฝากให้ฉันมาพูดกับนาย” ผู้อาวุโสชุดโบราณนั่งลง พูดด้วยรอยยิ้ม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท