ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 330 ตระกูลสวีโกรธแค้น

บทที่ 330 ตระกูลสวีโกรธแค้น

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

ท่าเรือขนส่งแม่น้ำตี้หวาง รถขับเข้ามาเป็นกลุ่มๆ บอดี้การ์ดชุดสูทเดินลงจากรถนับไม่ถ้วน ยืนกันเป็นแถว คนวัยกลางคนบุคลิกไม่ธรรมดาเดินลงจากรถ ค่อยๆเดินไปริมแม่น้ำ

คนที่มีอำนาจในตระกูลสวีต่างรีบมา ปิดกั้นท่าเรือจากภายนอกทันที

ชายวัยกลางคนอายุประมาณห้าสิบคนหนึ่ง มองดูเศษซากหักพังของเรือที่ลอยอยู่บนแม่น้ำ สูดหายใจเข้า สีหน้าเคร่งเครียด

“นี่ นี่มัน ใครกันแน่ กล้าลงมือกับตระกูลสวีขนาดนี้” ชายวัยกลางคนพูดเสียงเย็นชา สีหน้าเคร่งขรึม สายตาอาฆาต

ตัดทางหากิน เหมือนฆ่าพ่อแม่ ที่สำคัญเป็นเรือสินค้าร้อยลำ นี่มัน จะต้องตายกันไปข้างหนึ่งกับตระกูลสวี

วิธีการแบบนี้ คนที่ทำเรื่องแบบนี้ รนหาที่ตายชัดๆ

ยกเว้น คนคนนั้นมีความสามารถที่จะสู้กับตระกูลสวีได้

“พี่ใหญ่ ตระกูลสวีของเราถึงจะมีศัตรู แต่เป็นเพียงการแข่งขันทางธุรกิจ เรื่องผลประโยชน์ ผมคิดไม่ตก ไปมีเรื่องบาดหมางไว้กับใคร เข้ามาก็ตัดขาดหนทางทำมาหากินของตระกูลสวี” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ระหว่างที่ทั้งสองพูด คนอื่นที่อยู่รอบข้างต่างเงียบไม่พูด สีหน้าเต็มไปด้วยความตะลึง มองดูเศษซากที่ลอยอยู่บนแม่น้ำ

ทุกคนในที่นี่ล้วนเป็นผู้มีอำนาจรุ่นที่สองของตระกูลสวี พอได้รับข่าว ก็รีบวางงานในมือ รีบมาที่ท่าเรือทันที

สวีฉางเฟิง ก็อยู่ในนี้ด้วย เขามองภาพตรงหน้าด้วยสายตาตะลึง ในใจรู้สึกไม่ค่อยดี

สวีฉางเฟิงเดาในใจ อยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็กลั้นไว้ พี่ใหญ่เขาสวีไป๋เห้อ คนที่เป็นผู้นำสูงสุดของตระกูลสวีอยู่ เขายังไม่มีสิทธิ์พูด

“ปิดข่าวนี้ก่อน เรื่องนี้ พวกเธอทุกคนอย่าเพิ่งเอาไปประกาศให้ข้างนอกรู้ บอกกับภายนอกว่า เป็นการทำงานขัดข้อง อุบัติเหตุน้ำมันระเบิด ธุรกิจขนส่งทางเรือของตระกูลสวี ยังคงทำงานปกติ” สวีไป๋เห้อสงบสติอารมณ์ พูดเสียงเรียบ

“ครับ”

ทุกคนต่างตอบเป็นเสียงเดียวกัน ไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ

ในสถานการณ์เร่งด่วนแบบนี้ สวีไป๋เห้อซึ่งเป็นหัวหน้าของตระกูล มีอำนาจสูงสุด ที่จะตัดสินทุกอย่าง

“เรื่องนี้นายท่านรู้เรื่องแล้ว โมโหมาก บอกว่าต้องจัดการกับคนที่ทำเรื่องนี้ หั่นศพพันชิ้น เผาเป็นขี้เถ้า”

พูดไป สวีไป๋เห้อมองไปทุกคนในนี้ด้วยสายตาเย็นชา พูดว่า “พวกนายกลับไปคิดดู ช่วงนี้ ไปมีเรื่องกับผู้มีอำนาจคนไหนไหม?”

ผู้มีอำนาจของตระกูลวีทุกคน สีหน้าแปลกใจ ต่างก็ครุ่นคิด

ระดับพวกเขาเหล่านี้ เป็นไปได้ยังไงที่จะไม่มีศัตรู? แต่ในใจก็คิดไม่ออก ใครที่จะโหดขนาดนี้

อีกอย่าง ตระกูลสวีครั้งนี้เสียหายรุนแรง ระเบิดสินค้าเป็นหมื่นล้าน ตัดขาดทรัพยากรธุรกิจ ผลกระทบร้ายแรง แม้กระทั่งนายท่านก็โมโหรุนแรง ไม่มีใครกล้ายืนออกมาหาเรื่องใส่ตัวตอนนี้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เป็นอันสงบแน่

“ท่านครับ ผม ผมหาสิ่งนี้เจอในออฟฟิศควบคุมเรือในบริษัทครับ” ขณะที่บรรยากาศตื่นเต้น บอดี้การ์ดชุดสูทคนหนึ่งเดินมา ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“ท่านครับ ยังมี แล้วก็ลูกน้องที่ผมให้เฝ้าท่าเรือ ตาย ตายหมดแล้ว…..” บอดี้การ์ดชุดสูทพูดด้วยเหงื่อท่วมหัว

สวีไป๋เห้อขมวดคิ้ว หยิบกระดาษนั้นมาดู หรี่ตาทันที

“ตาต่อตา ฟันต่อฟัน เลือดต้องชำระด้วยเลือด ทำฉันหนึ่งคืบ เอาคืนร้อยเท่า”

ลงชื่อ ฉีหยิ่น

ตัวหนังสือบนกระดาษคมชัดเฉียบขาด เหมือนดั่งมีดที่มีชีวิต ดูจนสวีไป๋เห้อใจเต้นแรง

“ฉีหยิ่น? คนที่กลับสู่ตี้จิงคนนี้ ฉีหยิ่นแห่งตระกูลฉีที่ฆ่าล้างตระกูลเหวิน?” สวีไป๋เห้อสีหน้าเคร่งเครียด กำลังคิดอะไรบางอย่าง

พูดไป สายตาสวีไป๋เห้อก็เย็นชา เงยหน้ามองคนทุกในตระกูลสวี พูดอย่างเย็นชา “พวกเธอทุกคน ใคร? ไปหาเรื่องฉีหยิ่นแห่งตี้จิง?”

คำพูดนี้ออกไป สีหน้าสวีฉางเฟิงซีดไปทันที

ไม่คิดว่า จะเป็นฝีมือของฉีหยิ่น?

ผ่านไปแค่เท่าไหร่เอง? แค่เมื่อคืน เขากับเหยียนหลงเพิ่งส่งคนไปทุบโรงแรมจงเทียน วันนี้ก็ลงมือแล้ว?

นี่เพียงแค่จัดการกับลูกน้องของฉีหยิ่นหยูจื๋อเฉิงกับถังฮุยเท่านั้นเหรอ? ทำไมเรื่องใหญ่โตขนาดนี้?

สวีฉางเฟิงพบว่า ตัวเองดูถูกความโหดเหี้ยมของฉีหยิ่นเกินไป

แค่จัดการลูกน้องของฉีหยิ่นเท่านั้น แม้แต่พูดคุยเจรจา แจ้งเตือนก็ไม่มีแม้แต่น้อย แค่ลงมือ ก็ระเบิดขุมทรัพย์รากฐานของตระกูลสวี พฤติกรรมนี้บ้าคลั่งเกินไปไหม?

“คือ คือผม พี่ใหญ่ เมื่อคืนผมสั่งคนไปทุบโรงแรมจงเทียน” สวีฉางเฟิงพูดด้วยเสียงสั่น

คนที่อยู่ในสถานการณ์ตอนนี้เป็นคนมีอำนาจในตระกูลสวี ไม่มีคนที่อำนาจต่ำกว่าเขา เรื่องนี้ปิดปังไม่ได้แน่ สู้พูดออกมาดีกว่า

คำพูดสวีฉางเฟิงออกไป ทันใดนั้น คนของตระกูลสวีทุกคนหันมามองทันที ทำให้สวีฉางเฟิงกดดันอย่างรุนแรง

“แกไปทุบโรงแรมจงเทียน?” สวีไป๋เห้อสีหน้าเคร่งเครียด “โรงแรมจงเทียนเป็นของหยูจื๋อเฉิง เพราะเรื่องอะไร? ถึงต้องไปทำลายธุรกิจของหยูจื๋อเฉิง?”

สวีไป๋เห้อรู้สึกสงสัย เขารู้จักคนชื่อหยูจื๋อเฉิง เป็นตัวแทนของฉีหยิ่นในตี้จิง ตัวฉีหยิ่นเองลึกลับมาก ไม่เคยแสดงตัวให้เห็น

ถ้าลำพังแค่ทุบโรงแรมจงเทียน ธุรกิจสถานบันเทิงในนามของหยูจื๋อเฉิง ฉีหยิ่นก็แก้แค้นตระกูลสวีอย่างบ้าคลั่งแบบนี้ ไม่ทักทายแม้แต่น้อย? คนคนนี้ โหดเกินไป บ้าคลั่งเกินไปแล้ว

“ครั้งก่อน ลูกชายผมสวีชิงซงมีเรื่องกับถังฮุยลูกน้องของหยูจื๋อเฉิง ลงมือกับลูกน้องของถังฮุย หยูจื๋อเฉิงก็ยิงชิงซงบาดเจ็บ พี่ใหญ่ ผม ผมก็เลยทนไม่ได้ จึงให้เหยียนหลงไปจัดการ” สวีฉางเฟิงพูดตามความจริง ไม่กล้าปิดปัง

สวีไป๋เห้อครุ่นคิด สีหน้าเคร่งเครียด

“สวีฉางเฟิง เรื่องนี้ ปัญหาที่แกสร้างขึ้นมา แกกล้าไปหาเรื่องฉีหยิ่น งั้นก็ต้องกล้าที่ไปรับผิดชอบเรื่องทั้งหมด” สวีไป๋เห้อพูดเสียงเฉียบขาด “เรื่องนี้ ทุกคนจะไม่ใช้อำนาจช่วยแก แกหาวิธีแก้ปัญหาเอง”

“อีกอย่าง ทางด้านนายท่าน แกก็ไปอธิบายเอง”

“พี่ใหญ่ ผม…….” สวีฉางเฟิงสีหน้าไม่ดีจนสุดขีด ในใจรู้ดีว่าก่อเรื่องใหญ่โตแล้ว

ฉีหยิ่นฝีมือโหดขนาดนี้ ไม่มีใครคิดถึง ไม่กล้ามีใครไปรับมือ

ในใจสวีฉางเฟิงรู้ดี ครั้งแรกที่ลองมือกับฉีหยิ่น เขาก็แพ้อย่างย่อยยับ ถูกขุดอย่างหมดจด

ฝีมือทั้งสองคน มันคนละชั้นอย่างสิ้นดี ระดับฉีหยิ่นนี่มันระดับไหนกัน?

นี่มันเป็นการเตือนสำหรับตระกูลฉีทั้งตระกูล เป็นการกดดัน การแจ้งเตือน

ถ้าตัวเขารับไม่ไหว ตระกูลสวีก็อาจจะตัดสวีฉางเฟิงทิ้ง จากนี้ไปก็จะถูกตัดทิ้งจากตระกูล……..

“พี่ใหญ่ พี่ต้องช่วยผมนะ เรื่องนี้ ล้วนเป็นฉีหยิ่นทั้งนั้นที่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่” สวีฉางเฟิงสีหน้าหวาดกลัว พูดขอร้อง “ฉีหยิ่นระเบิดท่าเรือของตระกูลสวีทิ้ง พฤติกรรมอวดดีขนาดนี้ หรือว่าตระกูลสวีของเราจะให้เขารังแกแบบนี้เหรอ จะปล่อยไปแบบนี้เหรอ?”

ผู้มีอำนาจตระกูลสวีทั้งหมดที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างก็มองสวีฉางเฟิงด้วยสีหน้าแววตาที่เย็นชา

ตระกูลสวีเกิดเรื่องใหญ่ ถ้าเป็นเหตุการณ์ที่สวีฉางเฟิงก่อขึ้นมาเอง พวกเขาไม่ยอมไปช่วยแบกรับด้วย เพราะว่า ภายในตระกูลยังแข่งขันแย่งชิงกันเอง และการแย่งชิงผลประโยชน์

“ฉีหยิ่นทำรุนแรงขนาดนี้ ตระกูลสวีของเราไม่ปล่อยไว้แน่” สวีไป๋เห้อสีหน้าเย็นชา พูด “แต่ว่า เรื่องราวใหญ่โต ฉันก็ไม่กล้าตัดสินใจ กลับวิลล่าตงหลิงก่อน กลับไปรายงานนายท่านก่อน ประชุมผู้นำตระกูลทั้งหมด ดูว่านายท่านจะพูดยังไง”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน