ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 337 จางฉีโม่โกรธแล้ว

บทที่ 337 จางฉีโม่โกรธแล้ว

“คุณพูดว่าอะไรนะ? ลู่จิ้ง คุณดูอะไรผิดไปหรือเปล่า? พี่เขยของคุณไม่ใช่คนแบบนั้น” จางฉีโม่ พูดอย่างเคร่งขรึมทางโทรศัพท์

จางฉีโม่ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ทำไมจู่ๆ ลู่จิ้งถึงพูดถึงหลินอิ่งในทางด้านไม่ดี?

เธอรู้จักนิสัยหลินอิ่งเป็นอย่างดี และมักจะเฉยเมยและเป็นกันเอง และคงไม่ทำอะไรที่ผิดๆ หรอก

อย่าว่าแต่จะไปรังแกเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างลู่จิ้งเลย

จางฉีโม่ได้เห็นมันด้วยตาของเธอเอง และแม้คุณชายใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ในตี้จิง หลินอิ่งยังไม่อยากจะลงมือเองเลย เพราะกลัวว่ามือของเขาจะสกปรก จะไปรังแกลู่จิ้งได้อย่างไร?

“พี่สาว ดูเหมือนว่าคุณจะถูกความไร้ยางอายของหลินอิ่งหลอกไปแล้ว คุณไม่เห็นเลย พฤติกรรมของหลินอิ่งในวันนี้มันไร้ยางอายขนาดไหน” ลู่จิ้งยังคงพูดเป่ายั่วยุให้ลุกเป็นไฟ

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่? คุณเล่ามาให้ฉันอย่างละเอียด” จางฉีโม่พูดอย่างเคร่งขรึม

“หื้อๆ!” ลู่จิ้งพูดด้วยน้ำเสียงร้องไห้ “พี่สาว หลังจากที่หลินอิ่งมาถึงที่พับหงเหรินก่วนในวันนี้ โดยอาศัยความสัมพันธ์ของคุณ และร่วมมือกับหลี่เฟยผู้เป็นเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังของพับหงเหรินก่วนจงใจแกล้งฉัน และทำให้ฉันขายหน้าอยู่ต่อหน้าเพื่อนร่วมชั้น”

“เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังหลี่เฟยงั้นเหรอ?” จางฉีโม่สับสนเมื่อได้ยินเช่นนี้ เธอไม่รู้จักกับคนที่ชื่อว่าหลี่เฟยด้วยซ้ำ

หลังจากคิดดูแล้ว อาจเป็นความสัมพันธ์ระหว่างหลินอิ่งที่อยู่ในตี้จิง เพราะยังไง พลังและอำนาจของหลินอิ่งในตี้จิงก็ใหญ่จนน่ากลัว

“ใช่ หลี่เฟยคนนั้น ต้องเป็นเพื่อนที่รู้จักกับพี่สาวคุณใช่ไหม? ดูเหมือนว่าเขาจะให้ความเคารพต่อหลินอิ่งมาก” ลู่จิ้งพูด “หลินอิ่งทำให้ฉันขายหน้าไม่ว่า สิ่งสำคัญคือ เขาทำให้พี่สาวอับอายขายหน้าไปด้วย!”

“คุณไม่รู้เรื่องเลย พี่ฉีโม่ หลินอิ่งยังสนิทสนมกับผู้หญิงที่สวยมากคนหนึ่งที่บอกเองว่ามีนามจ้าว อยู่ต่อหน้าฉันอีกด้วย นอกจากนี้ ผู้หญิงคนนั้นยังกล่าวอย่างเปิดเผยว่าหลินอิ่งคือผู้ชายของเธอด้วย!” ลู่จิ้งพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า “สิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดคือ ฉันก็แค่พูดว่าพี่สาวคุณถึงเป็นภรรยาของหลินอิ่ง ผู้หญิงคนนั้นก็ตบหน้าฉันไปหลายที แล้วยังบอกด้วยว่าพี่สาวกับฉันเป็นสาวบ้านนอกที่มาจากชนบท!”

“ผู้หญิงอะไร? มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ? ยังตบตีคุณด้วยงั้นเหรอ? ” จางฉีโม่ถามด้วยความสงสัย รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเล็กน้อย

“ใช่! พี่ฉีโม่ คุณจะปล่อยให้หลินอิ่งหยิ่งผยองต่อไปแบบนี้ไม่ได้แล้ว ดูเหมือนเขาจะไม่เกรงกลัวอะไรเลยทีเดียว เขามาที่ตี้จิงกับพี่สาวเพื่อมาทำธุระ และแล้วเขาก็ออกไปหาผู้หญิงอยู่ข้างนอก” ลู่จิ้งพูดอย่างยั่วยุ กลัวว่าเรื่องมันจะเล็กเกินไป

จางฉีโม่ดูลังเล แม้ว่าน้องสาวลูกพี่ลูกน้องของเธอลู่จิ้งจะไม่ได้เจอลู่จิ้งมาหลายปีแล้ว แต่เธอก็จำได้ว่า ลู่จิ้งมีผลการเรียนดีเยี่ยมตอนที่เธอยังเรียนอยู่ จากนั้นเธอก็สามารถสอบเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งในตี้จิงได้ เป็นเด็กผู้หญิงที่มีบุคลิกและการเรียนรู้ที่ดีเยี่ยม เคารพต่อพี่สาวคนนี้ของเธอมาโดยตลอด

อาจมีความเข้าใจผิดบางอย่างในสิ่งที่ลู่จิ้งกล่าว

อย่างไรก็ตาม ที่ลู่จิ้งกล่าวว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งมีนามว่าจ้าว คงไม่ใช่เธอสร้างมันขึ้นมาเองใช่ไหม?

“เอาล่ะ ลู่จิ้ง ฉันทำงานอยู่ในโรงงานชานเมือง ไม่สะดวกที่จะคุย รอให้ฉันกลับไปที่เมืองหลวง คุณมาหาฉัน และพูดถึงเรื่องนี้กันหน่อย” จางฉีโม่พูดอย่างเคร่งขรึม

“พี่สาว คุณต้องช่วยแก้แค้นให้ฉันกับความอัปยศอันน่ารังเกียจนี้ และค้นตัวผู้หญิงที่หลินอิ่งเล่นด้วยอยู่ข้างนอกออกมา!” ลู่จิ้งพูดอย่างเจ็บปวด “พี่สาว ฉันไม่ได้โกหกเลยสักคำ คุณสามารถโทรหาหลินอิ่งมาคุยกันต่อหน้าต่อตาด้วยตนเองได้ตลอดเวลา!”

“โอเค คุณกลับไปโรงเรียนและไปโรงเรียนก่อน” จางฉีโม่กล่าวด้วยขมวดคิ้ว และวางสาย

หลังจากวางสาย จางฉีโม่นึกสงสัยเล็กน้อย เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ เมื่อได้ยินว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ข้างๆ หลินอิ่ง

เธอเชื่ออย่างแน่นอนว่าหลินอิ่งจะไม่มีทางไปรังแกลู่จิ้ง เพราะยังไง หลินอิ่งเป็นผู้ส่งคนไปช่วยในเรื่องของลู่จิ้งย้ายโรงเรียนเอง

อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงที่อยู่ข้างหลินอิ่งนั้นก็ไม่แน่ใจแล้ว

ในเรื่องนี้ มันกล่าวไม่ถูกจริงๆ

ก่อนหน้านี้ที่อยู่เมืองตุงไห่ ก็มีหวางหงหลิงคนหนึ่งแล้วที่เข้ามาพัวพันกับหลินอิ่งอยู่ตลอด แม้ว่าหลินอิ่งจะพิสูจน์แล้วว่าไม่ความสัมพันธ์อะไรกับหวางหงหลิง แต่ตอนนี้อยู่ตี้จิงในเมืองหลวงแห่งนี้ สิ่งล่อใจทุกรูปแบบมันยิ่งใหญ่เพียงใด?

จางฉีโม่เคยได้เห็นพลังและความแข็งแกร่งที่หาตัวจับยากของหลินอิ่งมาแล้ว และรู้ว่าหลินอิ่งมีภูมิหลังที่สามารถเข้าถึงท้องฟ้าได้

สำหรับผู้ชายที่ดีเด่นดั่งหลินอิ่งเช่นนี้ จะต้องมีผู้หญิงที่สวยงามมากมายนับไม่ถ้วนมาติดตามอยู่ในตี้จิงอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ตัวเองไม่เคยทำความเข้าใจกับภูมิหลัง ของหลินอิ่งที่อยู่ในตี้จิงเลย และไม่รู้เลยว่าหลินอิ่งเคยผ่านประสบการณ์แบบไหนมาก่อน

ในคราวนี้กลับมาที่ตี้จิง จะเป็นอย่างไรถ้าหลินอิ่งมีคนรักเก่าอยู่เคียงข้างเขาล่ะ?

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จางฉีโม่รู้สึกไม่สบายใจมาก วิตกกังวลเหมือนมดบนกระทะร้อนตัวหนึ่ง และแทบรอไม่ไหวที่จะกลับไปที่เมืองหลวง เพื่อไปหาหลินอิ่งและถามให้ชัดเจน

เธอโทรศัพท์หาหลินอิ่งทันที

หลังจากส่งเสียงบี๊บสองครั้ง หลินอิ่งก็รับสาย

“ฮัลโหล หลินอิ่ง คุณอยู่ที่ไหน?” จางฉีโม่ถามอย่างกังวล

“ผมกำลังเดินทางกลับไปที่จงเทียนซิงเฉิง” หลินอิ่งกล่าวว่า

“เกิดอะไรขึ้นในคืนนี้? ทำไมลู่จิ้งถึงพูดทางโทรศัพท์ว่า คุณรังแกเธอ? ” จางฉีโม่ถามว่า

“ลู่จิ้งคนนี้ ไม่ค่อยโอเคเลย” หลินอิ่งกล่าวอย่างใจเย็น

“โอ้? หมายความว่าอย่างไร?” จางฉีโม่ถามว่า “ฉันจำได้ว่า ลู่จิ้งเด็กผู้หญิงคนนี้มีความประพฤติที่ดีมากมาโดยตลอด เกิดอะไรขึ้น หลังจากที่คุณไปถึงที่พับหงเหรินก่วน? เธอคุยกับฉันทางโทรศัพท์ด้วยเสียงที่ร้องไห้ และราวกับว่าได้รับความคับข้องใจมากมาย”

“ฉีโม่ รอให้คุณกลับมาแล้ว ผมจะบอกคุณต่อหน้า” หลินอิ่งพูดอย่างใจเย็น “ลู่จิ้ง อาจไม่ใช่ผู้หญิงไร้เดียงสาอย่างที่คุณจำได้แล้ว เวลามันเปลี่ยนคนได้มากมาย”

“โอเค งั้นก็รอให้ฉันกลับไปแล้ว ค่อยคุยกันเถอะ” จางฉีโม่พูด ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “หลินอิ่ง คุณ ในคืนนี้คุณ หลังจากไปที่พับหงเหรินก่วนแล้ว คุณก็อยู่กับผู้หญิงคนสวยที่มีนามว่าจ้าวใช่หรือไม่? คุณสองคนรู้จักกันเหรอ?”

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย และพูดว่า “ใช่”

เขาไม่อยากจงใจหลอกลวงฉีโม่ ดังนั้นเขาจึงยอมรับอย่างไม่เห็นแก่ตัว

“คุณอยู่กับผู้หญิงสวยที่มีนามว่าจ้าวจริงๆ เหรอ?” สีหน้าของจางฉีโม่ไม่น่าดูขึ้นมา และถามต่อว่า “คุณรู้จักกับเธอได้อย่างไร?”

“ฉีโม่ เรื่องนี้มันยาว ผมจะบอกคุณหลังจากที่เราพบกัน” หลินอิ่งกล่าวอย่างเคร่งขรึม

“โอเค ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ ฉันขอถามคุณหน่อย ผู้หญิงคนนั้นลงมือตบหน้าลู่จิ้งใช่หรือไม่?” จางฉีโม่ถามว่า

หลินอิ่งกล่าวว่า “ใช่ตบจริง”

“ทำไมคุณไม่ห้ามไว้ล่ะ? ทำไมคุณถึงปล่อยให้ผู้หญิงคนนั้นรังแกลู่จิ้งล่ะ? คุณเป็นพี่เขยของเธอนะ” จางฉีโม่กล่าวอย่างไม่มีความสุขมาก และรู้สึกว่ามันเป็นหลินอิ่งที่ทำไม่ถูก

หลินอิ่งพูดอย่างใจเย็นว่า “ผมไม่มีเหตุผลที่จะลงมือช่วยเธอ”

การแสดงของลู่จิ้ง มีหน้าตาเป็นอย่างไร? ช่วยลู่จิ้งเหรอ? เว้นแต่อยากจะหาเรื่องเอง

“หลินอิ่ง คุณ มีอะไรกับผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า……….” จางฉีโม่กัดริมฝีปากของเธอแล้วพูด สีหน้าของเธอโกรธเล็กน้อย และใบหน้าของเธอแดงก่ำ

ใช่ จางฉีโม่โกรธแล้ว เธอรู้สึกว่าหลินอิ่งทำให้เธอเสียหน้า เพราะผู้หญิงคนอื่น……

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท