ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 333 เขาไม่ใช่พี่เขยของฉัน

บทที่ 333 เขาไม่ใช่พี่เขยของฉัน

 

“แค่แปดเก้าหมื่นเองงั้นเหรอ? คุณคิดว่าเงินของพี่สาวคุณได้มาจากลมพัดมาเหรอ? ” หลินอิ่งพูดว่า “ถ้าไม่มีกำลังการใช้จ่ายแบบนี้ คุณจะเล่นแบบใช้จ่ายเงินสูงแบบนี้ทำไม?”

หลายหมื่นหยวน สำหรับหลินอิ่งแล้ว มันไม่นับเป็นอะไรเลย แม้ว่าจะซื้อถนนบาร์ทั้งสายนี้ มันก็เป็นเรื่องง่ายเหมือนการดื่มน้ำและการรับประทานอาหารเท่านั้น

ที่สำคัญคือ การกระทำและค่านิยมของลู่จิ้งนั้น มีปัญหาอย่างมาก

“การใช้จ่ายของฉันมันเกี่ยวอะไรกับคุณเหรอ? ไอ้ขยะเอ๊ย” ลู่จิ้งพูดอย่างดูถูก “ฉันไม่ได้ใช้เงินของคุณเลย และไม่ได้โทรหาคุณมา พี่สาวของฉันขอให้คุณมาทำงานแทน คุณเข้าใจไหม? ยังเสียดายที่จะเอาเงินออกมา เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่สามารถจัดการได้ดี ไม่น่าแปลกใจเลยที่คุณจะตกต่ำขนาดนี้”

หลินอิ่งส่ายหัว ขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจกับสาวน้อยคนนี้

“ถ้าคุณไม่ทราบว่ามีปัญหากับความคิดของคุณ ผมจะไม่จ่ายเงินให้คุณ” หลินอิ่งกล่าวอย่างเข้มงวด “นั่นเป็นเพียงการตามใจและทำลายคุณเท่านั้น”

ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่ภรรยาของเขาจางฉีโม่ เขาก็ขี้เกียจที่จะสนใจกับเรื่องไร้สาระแบบนี้

เพราะยังไง ก็เคยได้ยินจากฉีโม่ว่า น้องสาวลูกพี่ลูกน้องคนนี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับเธอมาก และเธอก็เป็นห่วงลู่จิ้งน้องสาวลูกพี่ลูกน้องที่เรียนอยู่ที่วิทยาลัยในเมืองตี้จิงคนนี้ด้วย

“คุณยังพูดถึงเหตุผลที่ยิ่งใหญ่อยู่อีกหรือ? ตัวเองมีสถานะและที่ยืนยังไง ไม่รู้ตัวบ้างเลยเหรอ? ” ลู่จิ้งพูดอย่างดูถูกว่า “ให้คุณจ่ายบิลแค่นี้ ชักช้าอยู่ได้ ไม่รู้จริงๆ เลยว่าพี่สาวฉันเลี้ยงแกเป็นหมาจรจัด ทำเพื่ออะไร เอาใจเจ้านายก็ไม่เป็น จากความสัมพันธ์ของฉันกับพี่สาวแล้ว ฉันช่วยพูดคำดีๆ ให้คุณได้ คุณรู้ไหมว่าคุณจะได้ประโยชน์มากแค่ไหน?”

ยิ่งลู่จิ้งมองไปที่หลินอิ่งมากเท่าไหร่เธอก็ยิ่งอารมณ์เสียมากขึ้นเท่านั้น และทำอะไรไม่เป็นเลย

ด้วยทรัพยากรทางการเงินของจางฉีโม่พี่สาวของเธอ การใช้จ่ายเงินหลายหมื่นแบบผ่านๆ นั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ผลลัพธ์ก็คือ ไอ้ขยะหลินอิ่งคนนี้ แม้แต่เงินเพียงเล็กน้อยแค่นี้ก็ออกให้เธอไม่ได้ เป็นคนโง่จริงๆ!

“ฮ่าฮ่า คุณก็แค่บอกว่าคุณไม่มีเงินนี้? เป็นไอ้ขยะคนหนึ่งจริงๆ พี่สาวฉันรวยมาก ไม่ยอมให้เงินคุณหลายหมื่นเลยเหรอ มันแสดงให้เห็นว่าคุณต่ำต้อยและน่าสมเพชแค่ไหน” ลู่จิ้งพูดอย่างเย้ยหยันว่า

“เฮ้ ลู่จิ้ง เกิดอะไรขึ้น คนที่คุยกับคุณคือใครเหรอ?”

“ลู่จิ้ง คุณไม่ได้บอกว่าพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของคุณจะมาหรือ? คนนี้ หรือว่าจะเป็นพี่เขยของคุณใช่หรือไม่? ”

ในขณะนี้ ชายหนุ่มและหญิงสาวบนดาดฟ้ามองด้วยความสงสัย มองไปที่หลินอิ่ง และพูดคุยกันมากมาย

“ไม่ใช่มั้ง ลู่จิ้งบอกว่าพี่สาวลูกพี่ลูกน้องของเธอทรงพลังมาก เธอเป็นประธานบริษัทเครื่องประดับแห่งหนึ่ง แต่คนคนนี้ การแต่งตัวในชุดสูทตลาดนัด ดูไม่เหมือนเศรษฐีเลย?” เด็กสาวคนหนึ่งพูดอย่างรังเกียจ

“ลู่จิ้ง คุณโกหกหรือเปล่า? นี่คือพี่เขยของคุณใช่ไหม? ชุดนี้มันไม่เชยเกินไปไหม? ฉันว่าเขาไม่มีกุญแจรถเลยด้วยซ้ำ นี่เหรอ? ” เด็กชายคนหนึ่งพูดอย่างเย้ยหยัน

ตามความเห็นของพวกเขา เสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบง่ายของหลินอิ่ง มีอยู่ทั่วไปในถนนที่เน่าเสีย บนร่างกายของเขาไม่มีสินค้าแบรนด์เนมเลยแม้แต่ชิ้นเดียว ไม่มีนาฬิกาดีๆ อยู่ในข้อมือ และดูเหมือนว่าเขาไม่มีแม้แต่รถยนต์

แค่นี้เองเหรอ? เรียกพี่เขยอย่างนั้นมาเหรอ? ลู่จิ้งยังคงอวดความมั่งคั่งของเธอต่อหน้าพวกเขาหรือไม่?

ใบหน้าของหลินอิ่งเป็นปกติ และการแสดงออกของฮาเดสที่อยู่ข้างๆ เขาก็เริ่มเย็นชา และเขาก็ก้าวไปข้างหน้า และอดไม่ได้ที่จะลงมือกับคน

หลินอิ่งตบฮาเดสที่ไหล่ และเขาถึงถอยกลับอย่างเคารพ

ฮาเดสถอนใจ นึกไม่ถึงว่าคนกลุ่มนี้โง่เขลาที่ไม่เคยเห็นโลก มาล้อเลียนเสื้อผ้าของประธานหลินงั้นเหรอ?

ชุดของประธานหลินอิ่ง ถูกตัดเย็บโดยนักออกแบบเครื่องแต่งกายชั้นนำจากต่างประเทศ มีเอกลักษณ์ ด้วยการเย็บไหม และกระดุมเพชร ราคาหลายล้าน

ไม่ติดป้ายชื่อ พวกเขาก็มองไม่ออกแล้วเหรอ?

“ไม่ ไม่ใช่ คนคนนี้ไม่ใช่พี่เขยของฉัน!” ลู่จิ้งพูดอย่างรวดเร็ว เพราะกลัวว่าเธอจะอับอายเพราะรู้จักหลินอิ่ง

“นั่นไม่ใช่พี่เขยคุณ แล้วคือใครเหรอ?” หญิงสาวคนหนึ่งถามอย่างสงสัย

ลู่จิ้งหน้าแดง เหลือบมองหลินอิ่ง พูดเยาะเย้ยว่า “เธอเป็นแค่คนขับรถตัวเล็กๆ ที่พี่สาวลูกพี่ลูกน้องของฉันส่งมาเท่านั้น คนใช้และสุนัขตัวหนึ่ง ที่ถูกถลุงในครอบครัว!”

“โอ้ ไม่แปลกใจเลย ฉันว่าแล้วทำไมดูเหมือนคนยากไร้ แต่เป็นคนขับตัวน้อยคนหนึ่ง” เด็กผู้ชายพูดอย่างดูถูกว่า

เมื่อได้ยินคำพูดของลู่จิ้ง ทุกคนในห้องก็มองหลินอิ่งด้วยความรังเกียจ

“ลู่จิ้ง เมื่อกี้คุณจ่ายบิลแล้วหรือยัง? ทุกคนดื่มไวน์หมดแล้ว และอยากจะเพิ่มอีก ถ้าคุณยังไม่จ่ายบิลก็บอกตรงๆ ทุกคนก็จะช่วยกันจ่าย อย่ารบกวนความสุขของทุกคน” หญิงสาวคนหนึ่งกล่าวว่า

ใบหน้าของลู่จิ้งแดง และเธอมองไปที่หลินอิ่งอย่างขมขื่น รู้สึกว่ามันเป็นไอ้ขยะ ที่ทำให้เธอเสียหน้า

“คุณได้ยินไหม? พี่สาวลูกพี่ลูกน้องของฉันขอให้คุณมาจ่ายบิล เร็วเข้า คุณยืนทำอะไรอยู่ที่นี่? ” ลู่จิ้งดุด่า “จะต้องให้ฉันโทรหาพี่สาวของฉันไหม?”

“เป็นแค่บอดี้การ์ดตัวเล็กๆ ลู่จิ้งขอให้คุณทำอะไรบางอย่าง คุณไม่ได้ยินเหรอ? ชักช้าอยู่ได้ กำลังรบกวนความสุขของทุกคนในการดื่ม?” เด็กผู้ชายที่แต่งตัวในแบรนด์เนมอายุน้อยยืนขึ้นและดุด่าว่า

หลินอิ่งดูเฉยเมย และมองดู ชายหนุ่มและหญิงสาวบนดาดฟ้า ดูเหมือนจะมาจากภูมิหลังของครอบครัวที่มีฐานะเล็กน้อย กลุ่มเล็กๆ และลู่จิ้งต้องการเข้าสู่แวดวงนี้ ดังนั้นเธอจึงต้องการอวดดี?

“คุณมองอะไร? ด่าว่าคุณเป็นบอดี้การ์ดตัวน้อย ไม่พึงพอใจหรือ ลู่จิ้ง คุณสั่งสอนเขาดีๆ หน่อย” เด็กผู้ชายพูดอย่างเย่อหยิ่ง “ถ้าอยู่ในบ้านของผม บอดี้การ์ดคนหนึ่งไม่เชื่อฟัง ถูกผมทุบตีจนขาหักไปนานแล้ว!”

“คุณชายหู ขอโทษ บอดี้การ์ดตัวน้อยคนนี้ไม่รู้เรื่อง” ลู่จิ้งหน้าแดง รู้สึกอับอายขายหน้า และพูดอย่างโกรธเคืองว่า “หลินอิ่ง คุณไม่ได้ยินฉันเหรอ? ขอโทษเพื่อนของฉันเดี๋ยวนี้ด้วย!คุณมาที่นี่รบกวนฉันและงานปาร์ตี้ของเพื่อนฉัน!”

“ลู่จิ้ง นี่คือเจ้าโง่คนหนึ่งใช่ไหม? ช่างมันเถอะ ให้ผมมาสั่งสอนเจ้าโง่คนนี้ให้คุณ แล้วสอนเขาว่าต้องทำงานอย่างไร” คุณชายหูพูดอย่างเย็นชาว่า

ตะครุบ!

ฮาเดสตบด้วยมือของเขา และตบใส่หน้าคุณชายหู ตบจนเขาตีลังกาขนาดใหญ่อยู่ตรงจุดนั้น ตกลงจากโซฟา เหมือนกับสุนัขกินอึตัวหนึ่ง

“คุณ ไอ้บ้า ปล่อยให้คนอื่นตีผมงั้นเหรอ?” คุณชายหูดุด่า จ้องไปที่หลินอิ่งอย่างไม่พอใจ

บูม!

ฮาเดสพุงเข้าไปและเตะออกไปด้วยขา เตะจนคุณชายหูนอนอยู่บนพื้นอาเจียนเป็นเลือดออกมา และฝ่าเท้าของเขาถูหน้าเขาอย่างดุเดือด

“มึงกล้ากรีดร้องต่อหน้าประธานหลินอีก ข้าจะฆ่ามึงทันที!” ฮาเดสพูดอย่างเย็นชา

ในเวลานี้ บอดี้การ์ดชุดดำกลุ่มใหญ่เดินเข้ามาที่บาร์ นำโดยชายวัยกลางคนในชุดสูท และเดินไปที่ดาดฟ้า 808 อย่างรวดเร็ว

ท่าทางนี้ทำให้ทั้งชายและหญิงบนดาดฟ้าตกใจไปหมด

“นี่ นี่คือเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังของพับหงเหรินก่วน เจ้านายใต้ดินในถนนบาร์? หลี่เฟย? ทำไมเจ้านายคนนี้ถึงมาที่นี่ได้” ชายคนหนึ่งบนดาดฟ้าพูดอย่างเบาๆ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเกรงขาม

“ปะ ประธานหลิน ผมมาสายแล้ว ไม่ทราบว่าคุณมีคำสั่งอะไร?” หลี่เฟยมองที่หลินอิ่งด้วยการแสดงความเคารพอย่างสูง และพูดด้วยเหงื่อที่หน้าผากของเขา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท