ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 349 ศัตรูโลกแคบ

บทที่ 349 ศัตรูโลกแคบ

ได้ยินแล้ว นิ่งจองอู่สีหน้าก็หนักใจ เรื่องมาถึงจุดนี้แล้ว ต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่

ถ้าเป็นคนอื่นที่พูดจาโอ้อวดขนาดนี้ โทรศัพท์ข้ามประเทศก็แค่ไม่กี่นาทีเรียกคนมาปิดกั้นทั้งถนน นิ่งจองอู่ต้องคิดว่าพูดเล่นแน่นอน

แต่ว่า พ่อของนิ่งซิ่วชวน ประธานชีซิงกรุ๊ปเผียวจินฮุน มีความสามารถนี้จริง

และพูดได้ว่า ถ้าหากเรื่องนี้เกิดขึ้นที่ประเทศเกาหลี ประธานหลินต่อยเผียวซิ่วชวน อาจจะไม่ถึงห้านาที ตำรวจเกาหลี ทหาร รถปฏิบัติการพิเศษ เฮลิคอปเตอร์ ก็คงมาถึงที่นี่ตั้งนานแล้ว และคงยิงกราดประธานหลินอย่างรุนแรงแล้ว

ชีซิงกรุ๊ปอยู่ในประเทศเกาหลีก็เก่งกาจระดับนี้ แม้กระทั่งประธานาธิบดีของเกาหลียังไม่กล้าพูดจาเสียงดังกับเผียวจินฮุน

อีกอย่าง ธุรกิจของชีซิงกรุ๊ปมีความสัมพันธ์ทั่วทุกมุมโลก ในตี้จิงก็มีพันธมิตรธุรกิจที่หนักแน่นไม่น้อย ล้วนเป็นบุคคลที่มีอำนาจไม่น้อย

นิ่งจองอู่สงสัยในใจ ในนาทีที่ประธานหลินจัดการเผียวซิ่วชวน ไม่แน่บอดี้การ์ดเผียวซิ่วชวนอาจจะส่งข้อความขอความช่วยเหลือไปแล้วก็ได้

“ประธานหลิน ชีซิงกรุ๊ปพอมีอิทธิพลในตี้จิง เผียวซิ่วชวนไม่ได้ขู่ ท่านว่า จะให้ผมไปเรียกคนมาเพิ่มไหมครับ?” นิ่งจองอู่ถามอย่างระวัง

หลินอิ่งมองนิ่งจองอู่ แล้วพูดอย่างเรียบเฉย “เรื่องนี้คุณไม่ต้องยุ่ง”

“ครับ” นิ่งจองอู่พยักหน้าอย่างเคารพ ไม่กล้าทำอะไรล้ำเส้นหลินอิ่ง

นิ่งจองอู่รู้สึกกังวลในใจ ถึงแม้หอตี้เจียงจะเป็นกิจการของตระกูลนิ่ง แต่เขตตี้เจียงไม่ใช่ถิ่นของตระกูลนิ่ง ในเขตนี้ผู้คนวุ่นวายมากหน้าหลายตา ทุกตระกูลในตี้จิงล้วนมีส่วนร่วม

แต่ว่า เชื่อว่าประธานหลินน่าจะมีแผนการของตัวเอง

เพราะว่า ประธานหลินเป็นคนที่แม้กระทั่งนายท่านนิ่งไท่จี๋ยังเคารพนับถือ ทำอะไรจะไม่มีแผนการได้ยังไง?

ติ๊ดติ๊ด เวลานี้ มือถือของนิ่งจองอู่ดังขึ้น เขาถามหลินอิ่งไปหลายคำ แล้วรับโทรศัพท์ พูดไปไม่กี่คำ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

“ประธานหลิน เมื่อกี้บอดี้การ์ดที่หน้าประตูโทรหาผม บอกว่ามีปัญหา มีรถสิบกว่าคันบุกเข้ามา ล้อมหอตี้เจียงไว้” นิ่งจองอู่พูดอย่างตื่นเต้น

หลินอิ่งยิ้มเย็นชาที่มุมปาก รู้สึกน่าสนใจ มาได้เร็วกันเหลือเกิน

รอดูว่าจะเป็นตระกูลไหนของตี้จิง ขยันเลียขาให้คนเกาหลีขนาดนี้ เป็นหมารับใช้ได้ถนัดขนาดนี้

นิ่งจองอู่เห็นท่าทางไม่สะทกสะท้านของหลินอิ่ง เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก พูดว่า “ประธานหลิน ผมมีพนักงานรักษาความปลอดภัยธรรมดาแค่ทีมเดียวในหอตี้จิงเท่านั้น ขวางพวกเขาไม่อยู่แน่ นี่มัน……”

นิ่งจองอู่ก็พูดตรงไม่ได้ ความหมายในคำพูดเขา คือให้ประธานหลินรีบเรียกคนมา

เขาเชื่อว่าประธานหลินจัดการกับชีซิงกรุ๊ปได้ แต่ปัญหาคือคนของเผียวซิ่วชวนกำลังจะพาคนขึ้นมา เข้ามาจับคนเลยจะทำยังไง? แบบนี้ก็เท่ากับเรือล่มในหนองเลย?

ประธานหลินเป็นผู้อาวุโสผู้ลึกลับของตระกูลนิ่ง บางทีอาจจะมีอำนาจใหญ่โตมีมืออย่างอื่นก็ได้ ต้องเป็นผู้มีอำนาจใหญ่โตในตี้จิงแน่นอน จุดนี้ไม่ผิดแน่

แต่ว่า พวกเขาเป็นชีซิงกรุ๊ป นั่นไม่ใช่คนกินเจ ชื่อตระกูลนิ่งแห่งตี้จิงก็ขู่ชีซิงกรุ๊ปไม่ได้

ก็เหมือนตอนนี้ ประธานหลินจัดการคุณชายของชีซิงกรุ๊ป ต่อยอย่างกับหมา เบื้องหลังเผียวซิ่วชวนจะใหญ่โตแค่ไหน ชีซิงกรุ๊ปจะมีอำนาจแค่ไหน แล้วจะทำอะไรได้? ก็ต้องฝืนกลืนน้ำลายลงไป?

ถ้าหากประธานหลินถูกฝ่ายตรงข้ามจับไป นั่นมันคงทะลุฟ้าไปเลย

นิ่งจองอู่รู้สึกกังวลในใจ ดูท่าทางไม่สะทกสะท้านของหลินอิ่ง รู้สึกว่าประธานหลินใจใหญ่มาก ภูเขาถล่มไม่เปลี่ยนสีเลย

“ประธานหลิน พวกเขามาถึงแล้ว หรือไม่ พวกเราออกไปจากเส้นทางลับก่อน?” นิ่งจองอู่ถามอย่างระมัดระวัง

ปัง ปัง ปัง

เวลาเดียวกัน นอกประตูก็มีเสียงปืนดังขึ้น กลิ๊งเสียงปลอกกระสุนตกพื้น

“คุณชายเผียว? อยู่ข้างในหรือเปล่าครับ? ผมเป็นคนที่ประธานหลินส่งให้มาหาท่าน”

“นิ่งจองอู่ ปล่อยคุณชายเผียวเดี๋ยวนี้ ไม่อย่างนั้น วันนี้จัดการแกในหอตี้เจียงแน่ ออกมาเดี๋ยวนี้”

นอกประตูมีเสียงตะโกนอย่างดัง

จากนั้น ฮวั๊ก บอดี้การ์ดชุดดำก็บุกเข้ามากันเป็นแถว สีหน้าของแต่ละคนเย็นชาโหดเหี้ยม สอดมือไว้ในกระเป๋าเสื้อ ทำท่าพร้อมหยิบปืนออกมาตลอดเวลา

และจุดศูนย์กลางของบอดี้การ์ดหน้าตาโหดเหี้ยมกลุ่มนี้ มีชายวัยกลางคนสองคนที่บุคลิกไม่ธรรมดา เดินเข้ามาช้าๆ

“ฮาฮา คนที่พ่อฉันส่งมาถึงแล้ว พวกแกรอตายได้เลย” เผียวซิ่วชวนหัวเราะอย่างอวดเก่ง ท่าทางอวดดีได้ใจ

มองดูกลุ่มคนที่เข้ามาช่วย เผียวซิ่วชวนสีหน้าเต็มไปด้วยความพอใจ เหมือนได้จับเชือกช่วยชีวิต

“คุณชายเผียว เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”

“คุณชายเผียว พวกเราจะช่วยคุณแก้แค้นแน่นอน”

ชายวัยกลางคนทั้งสองคนพยุงตัวเผียวซิ่วชวนที่ล้มนอนอยู่กับพื้น จากนั้น สายตาก็มองไปที่นิ่งจองอู่อย่างเย็นชา

“ทั้งสองท่าน ยังดีที่พวกคุณรีบมา จากนี้ ชีซิงกรุ๊ปของเราต้องจำบุญคุณนี้ไว้แน่นอน” เผียวซิ่วชวนพูด มองหลินอิ่งด้วยสีหน้าเย็นชา “แกนี่มันสมควรตายจริงๆ เมื่อกี้ยังอวดดีอยู่ไม่ใช่เหรอ? ฉันจะดูว่าวันนี้แกจะตายไหม มือปืนร้อยคน ติดปีกก็บินยาก”

วินาทีนี้ เผียวซิ่วชวนที่หน้าบวมเพราะถูกตบทำสีหน้าชั่วร้าย โมโหจนอยากฉีกเลือดฉีกเนื้อหลินอิ่ง

เขาเห็นหลินอิ่งมีความสามารถล้มบอดี้การ์ดของตัวเองทั้งชุด แต่ว่า นี่เป็นคนสิบคันรถ คนฝีมือดีเป็นร้อย มือถือปืน ปิดกั้นถนนเส้นนี้ไว้ หลินอิ่งจะหนีไปไหนได้อีก? ถึงเขาจะเรียกคนตอนนี้ ก็ไม่ทันแล้ว

“นิ่งจองอู่ แกนี่มันกล้าจริงๆเลยนะ แม้กระทั่งคุณชายชีซิงกรุ๊ปยังกล้าทำร้าย? ตระกูลนิ่งของพวกแกนี่ไม่มีเสาหลักหรือไง วุ่นวายกันหมด?” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งพูด

“นิ่งจองอู่ ได้ยินว่าคนที่ลงมือเป็นคนที่ยืนข้างแก? กล้ามาอวดดีกับประธานเผียวจินฮุน?” ชายวัยกลางคนอีกคนพูดขึ้นอีก “คนที่ยืนข้างแกเป็นใคร?”

นิ่งจองอู่ สีหน้าตื่นเต้น มองไปที่หลินอิ่ง มากันมากมายขนาดนี้ เขาไม่กล้าแม้แต่พูด ถ้าพูดผิดคำเดียวอาจจะถึงตายได้

หลินอิ่งสีหน้าปกติ พูดเรียบเฉย “คนพวกนี้ มาจากไหน?”

นิ่งจองอู่ตะลึงกับท่าทางสบายใจของหลินอิ่ง ประธานหลินมั่นคงมาก เจอสถานการณ์แบบนี้ยังไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย

“ประธานหลิน คนที่สูงนั้นเป็นลูกคนที่สี่ตระกูลสวีแห่งตี้จิง สวีถันโจว คนที่อวบคนนั้นคือหัวหน้าผู้นำหนึ่งในสามของโลกแห่งความมืด ชื่อโม่เฟย สมญานามว่าปลาหมึก มีอำนาจมากในเขตนี้” นิ่งจองอู่แนะนำ

“ลูกคนที่สี่ตระกูลสวี?” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา ศัตรูโลกแคบจริงๆ คนที่เผียวซิ่วชวนเรียกมา กลับเป็นคนของตระกูลสวี?

ไม่กี่วันก่อนหน้านี้เขาเพิ่งเผาเรือของตระกูลสวี สวีฉางเฟิงของตระกูลสวีและเหยียนหลงก็ไปทำลายกิจการของเขาที่เขตหัวหยาง จนถึงตอนนี้ถังฮุยยังอยู่เขตหัวหยางเพื่อจัดการกับสวีฉางเฟิง

วันนี้ ก็เป็นลูกคนที่สี่ของตระกูลสวีอีกที่เป็นสุนัขรับใช้ให้คนเกาหลี

“นิ่งจองอู่ แกมันเป็นใบ้หรือไง? ถามคำถามแกไม่ได้ยินหรือไง? เห็นลูกน้องที่ฉันพามาเป็นของปลอมหรือไง” สวีถันโจวจ้องหลินหวู่จงเย็นชา “ยังไม่รีบคุกเข่าขอโทษคุณชายเผียวอีก เดี๋ยวจัดการแกด้วยอีกคน”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท