ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 357 รู้หรือยังว่าฉันเป็นใคร?

บทที่ 357 รู้หรือยังว่าฉันเป็นใคร?

สวีไป๋เห้อมองออกทันที ว่านี่คือคนที่ตอนนี้กำลังอยู่องค์กรตระกูลใหญ่ในตี้จิงนิ่งซวน!

ก่อนหน้านั้นตระกูลนิ่งไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นิ่งไท่จี๋เกษียณ นิ่งซวนก็เป็นผู้นำตระกูลนิ่ง!เป็นคนคุมทั้งหมดของตระกูลนิ่ง ความสามารถก็เท่ากับเขา!

ทีนี้ นิ่งซวนออกหน้าด้วยตัวเองยังพาทหารลับของตระกูล

อีกอย่าง คนแก่ผมขาวที่อยู่ข้างกายนิ่งซวน เป็นคนชั้นยอดไม่แพ้กับฉู่จิงหยุนเลย!

พวกเขาคิดที่จะทำอะไร?

“ผู้นำตระกูลนิ่ง คุณออกหน้ามาช่วยหลินอิ่งโดยเฉพาะเลย?”สวีไป๋เห้อถามด้วยใบหน้านิ่ง

“สวีไป๋เห้อ วันนี้ภัยมาถึงตัวแล้ว!นายยังไม่รู้ตัวอีก!นายรู้มั้ยว่านายมีเรื่องกับใครอยู่?”นิ่งซวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาไม่ให้หน้าสวีไป๋เห้อเลย

ทั้งหมดของเขาคือประธานหลินให้ ช่างมันว่าสวีไป๋เห้อเป็นใคร วันนี้ ต้องฆ่าให้ตายไป!

ทหารลับของตระกูลนิ่งได้ผ่านการล้างบัญชีจัดการใหม่แล้ว ตอนนี้โดนเขาคุมหมดแล้ว ครั้งนี้เขาพาคนฝีมือดีที่สุดมาก และยังพายอดฝีมือหลายคนที่นายท่านให้ไว้มาด้วย

ทุกวันนี้ในมือนิ่งซวนได้ควบคุมยอดฝีมือลึกลับบางส่วน ก็คือศูนย์กลางอำนาจซึ่งเหมือนดั่งไพ่ใบสุดท้ายของตระกูลนิ่ง ที่ครั้งนั้นนิ่งจองเต้าใช้ทุกวิถีทางเพื่ออยากได้มา แต่ก็ไม่สามารถได้มาจากมือนิ่งไท่จี๋

ยอดฝีมือกลุ่มนี้ ฟังคำสั่งของนิ่งไท่จี๋คนเดียว!หลังจากที่นิ่งไท่จี๋เกษียณ อำนาจทั้งหมดส่งมอบให้หลินอิ่ง หลินอิ่งก็จัดการให้นิ่งซวนควบคุมอำนาจทั้งหมด

ไม่งั้น ตอนแรกที่หลินอิ่งชำระบัญชีตระกูลนิ่ง ตอนกำจัดนิ่งจองเต้า นั่นก็ไม่ใช่เพียงเจียงกู่จือออกหน้าเพียงคนเดียวเท่านั้น และไม่ใช่คนโหดเพียงไม่กี่คนที่กงจิ่วส่งมาให้นิ่งจองเต้าเท่านั้น แต่เป็นการปะทะกันระหว่างองค์กรลึกลับที่แท้จริง

สวีไป๋เห้อสีหน้าไม่ค่อยดี ตอนนี้หมดมั่นใจในตอนแรกแล้ว

แค่คนของตระกูลจ้าวก็พอจะสู้ได้ แต่นี่คือนิ่งซวนพายอดฝีมือที่เหมือนดั่งพลังอันลึกลับของตระกูลนิ่งฆ่าฟันเข้ามา นี่หมายความว่าจะฉีกหน้ากันชัดๆ ท่าทางพร้อมเปิดสงคราม

หลินอิ่ง เขามีความสามารถแค่ไหนกัน? ทำไมถึงมีพลังมหาศาลขนาดนี้?

ถึงได้ให้คุณหนูจ้าวเชิญฉู่จิงหยุนออกมาได้ และให้นิ่งซวนใช้อำนาจทั้งหมดของตระกูลนิ่งเพื่อสนับสนุนเขาโดยไม่ห่วงอะไรทั้งนั้น

“ท่านอิ่ง ผมมาถึงแล้ว!”

เสียงทุ้มดังมา เห็นเพียงแค่รถBentleyสีดำประมาณสามสิบคัน จอดอยู่ที่กลางสี่แยก

ชายกลุ่มหนึ่งร่างกายบึกบึนพุ่งลงมาจากรถด้วยความเร็ว แต่ละคนหน้าตาโหดเหี้ยม แค่ดูก็รู้ว่าเป็นคนโหด คนที่เป็นหัวหน้านั้นร่างสูงใหญ่กำยำ สีหน้าโหดเหี้ยม ผมสั้นกระทะรัด ใส่เสื้อหนังสีกาแฟ ดูแล้วเหมือนหัวหน้าที่มีอำนาจ

หยูจื๋อเฉิง มาแล้ว

“ท่านอิ่ง ผมได้รับข่าวจากถูซาน ก็รีบมาเลยครับ”หยูจื๋อเฉิงเดินไปข้างหน้าหลินอิ่ง พูดด้วยความเคารพ

หลินอิ่งพยักหน้าเบาๆ จากนั้นสายตาก็มองไปทางสวีไป๋เห้อด้วยสีหน้าเย็นชา

สีหน้าสวีไป๋เห้อก็ขาวซีดทันที ปากสั่น รับความกดดันในใจไม่ไหว คุมอารมณ์ไม่อยู่ มือสั่นอย่างหนัก

เขาไม่กล้ามองสายตาของหลินอิ่งที่เย็นชาจนทำให้รู้สึกสิ้นหวัง……

อำนาจที่หลินอิ่งสามารถใช้ได้นั้น น่ากลัวมาก!

สวีไป๋เห้อพบว่า สถานการณ์คืนนี้แม้ว่าเขาคือผู้นำตระกูลสวี มีอำนาจ ก็สู้ไม่ไหว!

น่ากลัวมาก! ศึกครั้งนี้!

ห้าตระกูลใหญ่ในตี้จิง ตอนนี้มาถึงแล้วสี่ตระกูล!

ตระกูลจ้าว ตระกูลนิ่ง ตระกูลฉี!

ตัวแทนทั้งสามตระกูล ก็ใช้ยอดฝีมือขั้นสุดยอดของตระกูลหมด ทั้งหมดยืนอยู่ฝ่ายหลินอิ่ง!

ไม่ ควรพูดว่าฟังคำสั่ง

เพราะว่า คนของทั้งสามตระกูล มีแค่หลินอิ่งเป็นผู้นำคนเดียว! ราวกับว่ากำลังควบคุมลูกน้อง!

น่าเหลือเชื่อจริงๆ!

ชายหนุ่มลึกลับคนนี้ ตกลงเป็นใครกันแน่? ทำไมถึงอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดนี้!

สถานการณ์ที่เกิดขึ้นคืนนี้ พลิกผันแนวคิดของสวีไป๋เห้อไปอย่างหมดสิ้น

“ไม่!ไม่ถูก! หยูจื๋อเฉิง……คือคนของตระกูลฉี……” สวีไป๋เห้ออยู่ๆเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ มองหลินอิ่งด้วยสายตาอันหวาดกลัว

นิ่งซวน จ้าวหลินเอ๋อร์ หยูจื๋อเฉิง ทั้งสามคนเป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในตี้จิง สามคนต่างเป็นตัวแทนของหนึ่งในตระกูลใหญ่ แต่ระหว่างพวกเขา ไม่มีความสัมพันธ์อะไรกันเลย

เป็นความสามารถอะไรกันแน่? ถึงจะให้ทั้งสามคนมาในเวลาเดียวกันและยอมก้มหัว?

ผู้นำตระกูลนิ่ง นิ่งซวน เรียกเขาว่าประธานหลิน!

จักรพรรดิเขตจงเทียน เจ้าพ่อโลกสีเทาของตี้จิง หยูจื๋อเฉิง เรียกเขาว่าท่านอิ่ง!

จ้าวหลินเอ๋อร์ พาพ่อบ้านประจำตระกูลจ้าว ยินยอมมาช่วยอย่างเต็มใจทั้งที่เขาไม่ค่อยแยแส

คนที่มีความสามารถนี้ มีอำนาจขนาดนี้ ราวกับราชาของโลก——มีแค่ ตำนานในตี้จิงที่เล่าขานกันมา……

ฐานะที่แท้จริงของหลิ่นอิ่ง สามารถรู้ได้แล้ว!

สวีไป๋เห้อขนลุก เหงื่อเต็มหลัง มองหลินอิ่ง แล้วเดินถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว รู้สึกกลัวจนวิญญาณจะหลุดไป!

หลินอิ่งมองสวีไป๋เห้อที่ท่าทางตื่นกลัวก็ยิ้มอ่อนๆ “ตอนนี้ รู้แล้วใช่ไหมว่าฉันเป็นใคร?”

“นาย นาย!”

สวีไป๋เห้อพูดด้วยน้ำเสียงสั่น ใบหน้าขมขื่น มุมปากสั่น

“นายคือ! ฉีหยิ่น!”

ฉีหยิ่น!

หลังจากสองคำลงมา คนของตระกูลที่อยู่ในนี้ รวมทั้งสวีถันโจวและโม่เฟย รวมถึงสองพี่น้องของชีซิงกรุ๊ปเผียวซิ่วชวนที่ถูกซ้อมจนพิการ ต่างก็แสดงสีหน้าตกใจ!

ฉีหยิ่นชื่อนี้ โด่งดังในตี้จิงมานานแล้ว และสะเทือนไปทั้งประเทศหลุงก็

ก็แม้แต่เผียวซิ่วชวนที่อยู่ไกลถึงประเทศเกาหลีก็ได้ยินบ่อยจากเพื่อนที่ทำธุรกิจในตี้เจียงพูดถึงเรื่องนี้!

ตอนนั้น ตระกูลฉีในตี้จิงโดนตระกูลเหวินฆ่าหมดทั้งตระกูล กำลังก้าวสู่เวทีระดับสูงในประเทศหลุง

ในขณะที่ทุกคนในตี้จิงคิดว่า ตระกูลเหวินได้แทนที่ตระกูลฉีแล้ว ก้าวสู่ตระกูลอันดับหนึ่งแห่งประเทศหลุง ทั่วองค์กรตระกูลใหญ่ในตี้จิงต่างก็เข้าหาเพื่อประจบตระกูลเหวิน

คนที่เหมือนกับเทพปรากฏ ทำให้ทุกคนในตี้จิงหน้าแตกกันไป

ก็คือเขา ฉีหยิ่น

ลูกที่ถูกทิ้งของตระกูลฉีเมื่อสิบกว่าปีก่อน กลับสู่ตี้จิงอย่างแข็งแกร่ง

ไม่มีใครรู้ว่าสิบปีที่ผ่านมาฉีหยิ่นผ่านอะไรมาบ้างและไม่มีใครรู้ทำไมฉีหยิ่นถึงแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้

รู้แค่ว่าเขาตัวคนเดียว ภายในช่วงค่ำคืน ก็ฆ่าล้างตระกูลเหวิน

ผู้นำตระกูลเหวิน เหวินเทียนเจียวเสียชีวิตที่เมืองตี้หยาง ตระกูลเหวินทั้งตระกูลหายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอย ยอมทิ้งธุรกิจอันใหญ่โตระดับประเทศ เพียงแค่กลัวฉีหยิ่น!

ชื่อนี้ คือตำนาน!

ทุกคนในเหตุการณ์นึกไม่ถึงว่า หลินอิ่งก็คือฉีหยิ่น!

แต่ก่อนพวกเขายังจะหัวเราะเยาะหลินอิ่ง คิดว่าสมองเขามีปัญหา กล้าด่าคุณชายชีซิงกรุ๊ปและยังให้สวีไป๋เห้อคุกเข่าให้เขา!

คือฉีหยิ่น ก็ไม่ต้องมีความสงสัยแล้ว

เพราะว่าคนนี้ มีความสามารถที่แข็งแกร่งจริง คนที่สามารถเหยียบตระกูลสวีแห่งตี้จิงและชีซิงกรุ๊ป!

“สวีไป๋เห้อ ครั้งก่อนที่ตระกูลสวีของพวกนายมีเรื่องที่เขตจงเทียน ฉันแค่ระเบิดเรือของตระกูลพวกนาย ก็ให้หน้าพ่อของสวีจิ่วหลิงมากพอแล้ว” หลินอิ่งพูดอย่างนิ่งเฉย “สุดท้าย พวกนายไม่รู้ว่าฉันเมตตาพวกนายแค่ไหนแล้ว ยังคิดมาหาเรื่องเอง?”

“คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้!”

หลินอิ่งมองสวีไป๋เห้อ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เสียงนี้เหมือนกับระเบิด ทำให้สวีไป๋เห้อกลัวจนถอยหลังไป สั่นไปทั้งตัว หน้าก็แดงขึ้นทันที ทั้งอายและโกรธ!

โดนหลินอิ่งที่เป็นคนรุ่นหลังมาด่า เขาที่เป็นถึงคนคุมตระกูลสวี แม้แต่ความกล้าที่จะโต้กลับก็ไม่มี

สวีไป๋เห้อกลัว กลัวมากจริงๆ!

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท