ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่356 ตัวแทนตระกูลสวีคุกเข่าให้ฉัน!

บทที่356 ตัวแทนตระกูลสวีคุกเข่าให้ฉัน!

หลินอิ่งสีหน้าเรียบนิ่ง ไม่มองคนใส่ชุดคนแกสีเหลืองด้วยซ้ำ

คนแก่ใส่เสื้แคอจีนโกรธมา รู้สึกเหมือนโดนดูถูก และกำลังจะพูดด่าอีก สวีไป๋เห้อตบไหล่เขา“ถอยไป”

สวีไป๋เห้อมองหลินอิ่งด้วยสีหน้านิ่งโกรธ ยิ่งดู ยิ่งรู้สึกว่านายนี้มีความสามารถอย่างบอกไม่ถูก

ดูแล้ว หลินอิ่งเป็นคนประเภทที่ มีความสามารถแต่ไม่มีอารมณ์

คนแบบนี้ ถ้าอารมณ์เสียขึ้นมา จะต้องพายุเข้าแน่ แม้แต่คนคุมสวรรค์ก็ห้ามไม่ได้

สวีไป๋เห้อเป็นคนการบำเพ็ญปฏิบัติ แต่ก็เคยเข้าไปยุ่งเรื่องตระกูลลับบ้าง เคยได้ยินว่ามีพระธรรมว่าจะต้องอดทน

คนที่มีความอดทนต่อการดูถูก มีเรื่องไม่ได้

มีเรื่องแล้ว ก็เหมือนมีเรื่องกับเทวดา!

จากประสบการณ์สวีไป๋เห้อแค่มองพริบเดียวก็ดูออก หลินอิ่งคือคนไม่ธรรมดาแน่ๆ

“น้องสี่ฉันละ?”สวีไป๋เห้อถามด้วยน้ำเสียงต่ำ

หลินอิ่งใช้สายตาสั่ง ข้างหลังมีทหารลับตระกูลนิ่งลากเดินเข้ามา สองขาถีบพวกสวีถันโจวล้มพื้น พวกนั้นทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดหัวเข่าทั้งสองแตกหัก ท่าทางหน้าสงสารจนไม่กล้ามอง

“นาย!นายกล้าทำขนาดนี้?”

เห็นน้องสี่สวีถันโจวตอนนี้โดนหลินอิ่งทำขาหัก สวีถันโจวโกรธขึ้นมาทันที จ้องหลินอิ่งไว้อย่างเย็นๆเหมือนจะฆ่าให้ตาย

“หลินอิ่ง ฉันรู้ว่านายเป็นคนไม่ง่าย แต่นายกล้าที่จะดูหมิ่นความยิ่งใหญ่ของตระกูลสวี ไม่สนว่านายจะออกมาจากตระกูลลับไหนวันนี้ก็ผ่านไปไม่ได้!”สวีไป๋เห้อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หลินอิ่งยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม พูด “ความยิ่งใหญ่ของตระกูลสวี?เห้อ คุกเข่าเลียขาคนเกาหลี นี่หมายความว่าไร?”

ข้างๆสวีไป๋เห้อใส่ชุดคนแก่สีเหลือง จ้องหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นๆพูดเสียงต่ำ “ไร้มารยาทมาก!ผู้นำตระกูลสวี เป็นตัวแทนตระกูลในตี้จิง ผู้นำตระกูลสสุออกหน้า นายกล้าพูดแบบนี้ออกมา?ฉันละอยากรู้ ใครเป็นคนสอนนายให้ไม่รู้จะที่ต่ำที่สูง!”

“ดูแล้ว นายกับตระกูลสวีคงอยากจะตายไปกันข้างหนึ่งก่อนถึงจะหยุด?”สวีไป๋เห้อพูดด้วยสีหน้าเย็นชา ชายชุดดำข้างหลังเขาก็เริ่มขยันตัวขึ้น เตรียมพร้อมต่อสู้

สวีไป๋เห้อจ้องหลินอิ่งเหมือนกับศัตรู ก็รอดูคนชั้นยอดทั้งสองข้างๆจะรู้ถึงจุดอ่อนของหลินอิ่ง และล้มมัน!

เขารู้ว่าหลินอิ่งไม่ง่ายออกจากตระกูลลับของตัวเอง แต่ว่า หลินอิ่งกล้าที่จะดูหมิ่นตระกูลสวี แม้ว่าจะต้องเสียเลือดเอาต้องเอามาให้ได้!

สวีไป๋เห้อกับผู้นำตระกูลนิ่งคนก่อน นิ่งจองเต้าที่ชิงอำนาจขึ้นเป็นเจ้าบ้าน และโดนคนหมุนหลังเหมือนหุ่นเชิดไม่เหมือนกัน

สวีไป๋เห้อคุมตระกูลสวีตั้งหลายปี อำนาจก็ถึงว่ามีพอตัว ถึงแม้ว่าจะรู้จักคนมากมาย รู้ความลับมากมาย

เขากับคนตระกูลลับก็รู้จักกัน สองคนที่อยู่ที่ใส่ชุดคนแก่ก็เป็นคนมีชื่อเสียงในตระกูลลับ

“ตัวแทนตระกูลสวี?”หลินอิ่งยิ้มเย็นๆ ดวงตาถึงเย็นอย่างกับน้ำแข็ง

“สวีไป๋เห้อ นาย ตัวแทนตระกูลสวีคุกเข่าให้ฉัน!”หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา

“อะไรนะ?นายเป็นบ้าไปแล้วหรอ?”

“จะให้ผู้นำตระกูลสวีในตี้จิงคุกเข่าให้นาย?เหอะ วัยรุ่น ความจินตนาการของนายสุดยอดไปเลย นายคิดว่า ตระกูลสวีเป็นถึงท็อปห้าในประเทศหลุง ตระกูลนี้จะไม่มีคนเก่งเลยหรอ?”

ชายชราในเสื้อคอจีนพูดอย่างเย็นชา ใช้สายตาที่ไม่พอใจมองหลินอิ่ง

“เหอะๆๆ นายคิดว่านายเป็นใคร?”สวีไป๋เห้อจากโกรธก็กลับเป็นหัวเราะ ตั้งแต่คุมตระกูลสวีในตี้จิง เขาไม่ได้ยินคำดูถูกมานานมากแล้ว ยังพูดถึงหลินอิ่งดูถูกต่อหน้านี้

ให้ตัวเองเป็นตัวแทนตระกูลสวีคุกเข่าให้มัน?

สมองต้องโง่ขนาดไหน?ถึงจะพูดประโยคนี้ออกมา?

“ท่านสองภูเขาชิงซาน ก็คงต้องรบกวนคุณทั้งสอง ล้มมันให้ได้!”สวีไป๋เห้อพูดด้วยสายตาเด็ดขาด

ข้างๆเขามีชายชราที่ใบหน้าคล้ายกันในเสื้อคอจีน ค่อยๆก้มหัว ก้าวไปขั้นหน้าหนึ่งก้าว

และในตอนนี้ ข้างหลังสวีไป๋เห้อชายชุดดำสิบกว่าคนมากฝีมือ ก็ค่อยๆเดินล้อมไว้

ท่านสองภูเขาชิงซาน คือคนชั้นยอดที่เขาไปเชิญออกมาจากตระกูลลับในมณฑลตงหลิน ทั้งสองเป็นฝาแฝด เรียนการต่อสู้มาตั้งแต่เด็ก ความสามารถที่น่ากลัวมาก

เป็นบอดี้การ์ดของเจ้าบ้านใหญ่ตระกูลสวีเขา แต่ก็ยังเป็นคนฝึกให้การทหารลับของตระกูล

แม้หลินอิ่งจะไม่เหมือนคนธรรมดา สามารถล้มนักยิง100กว่าคนที่น้องสี่พามา แต่ว่า อายุอยู่เท่านั้น อายุยังน้อย จะสู้กับท่านสองภูเขาชิงซานที่ซ้อมมาครึ่งชีวิตได้ไง?

ติด!

ก็ต้องกำลังตื้นเต้นนั้น จู่ๆ รถเป็นแถวจนไว้ที่ถนนตี้เจียง กดแตรขึ้น

จากรถเป็นแถวนั้นก็ลงมาคนแก่ใส่สูท จากนั้น พวกผู้ชายที่มีรังสีความน่ากลัวเปิดประตูรถ เดินเข้ามาน่าเกรงขาม

“ท่านฉู่ ฉันอยู่นี้!”

จ้าวหลินเอ๋อร์ออกจากหลังหลินอิ่งมา ทักทายน้ำเสียงดัง

“คุณหนู ผมมาช้าเกินไป ไม่รู้ว่า คุณหนูได้รับบาดเจ็บมั้ย?”ท่านฉู่พูดด้วยสีหน้าเรียบๆ

“ฉันไม่เป็นไร เพียงแต่ คนของตระกูลสวีเหมือนไม่มีตา!”จ้าวหลินเอ๋อร์พูดต่อหน้าสวีไป๋เห้อไม่มีความเกรงใจใดๆ

“ฉู่จิงหยุน?คนแก่นี่ พาคนของตระกูลจ้าวมา?”

ท่านสองภูเขาชิงซาน สีหน้าสงสัย จ้องท่านฉู่ที่เดินมาเหมือนกับศัตรู

“เหอะเหอะ ยินดีที่ได้พบผู้นำตระกูลสวี นึกไม่ถึงว่าคุณหนูจ้าวพูดเรื่องแค่นี้จะมีผู้นำตระกูลด้วย”ใบหน้าท่านฉู่มีรอยยิ้มและพูดไป

สวีไป๋เหัอขมวดคิ้วเบาๆ ไม่พูดไร สายตาจ้องคนของจ้าวหลินเอ๋อร์อย่างเย็นชา

เขารู้ว่าจ้าวหลินเอ๋อร์อยู่ด้วย แต่ไม่นึกไม่ถึงว่าจ้าวหลินเอ๋อร์จะปกป้องหลินอิ่งขนาดนั้น เรียกแม้กระทั่งพ่อบ้านของตระกูลจ้าวมา

พ่อบ้านตระกูลจ้าวคนนี้ ฉู่จิงหยุน ถ้าเป็นตำแหน่งก็สูงกว่าเขา ตามนายท่านตระกูลจ้าวมาหลายสิบปี ทักษะลับไม่อาจรู้ได้ ประวัติไม่รู้ในตระกูลผู้ดีตี้จิง รู้หมดว่าคนนี้ในตระกูลจ้าวน่ากลัวแค่ไหน

ท่านสองภูเขาชิงซาน ก็คือคนที่เคยแพ้ในมือฉู่จิงหยุน

นายท่านตระกูลจ้าวก็รักเอ็นดูหลานสาว แม้ฉู่จิงหยุนเธอก็สามารถออกคำสั่งได้

“ท่านฉู่ เรื่องวันนี้ พวกนายตระกูลจ้าวหลบไป อย่ายืนผิดฝ่ายละ”สวีไป๋เห้อพูดน้ำเสียงนิ่งๆ“ผู้นำตระกูลจ้าวมาก็ห้ามฉันเรื่องนี้ไม่ได้”

ใบหน้าฉู่จิงหยุนก็ยังคงมีรอยยิ้มเหมือนเดิม ไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่มองจ้าวหลินเอ๋อร์ไว้ รอคำสั่ง

“นายคงจะไม่คิดว่า?มีความสนิทกับตระกูลจ้าว เรื่องวันนี้ก็หมดไป?”สวีไป๋เห้อจ้องหลินอิ่งไว้ พูดอย่างเย็นๆ

“เหอะเหอะ ขอความช่วยเหลือ?จัดฉาก?นายก็จะใหญ่กว่าผู้นำตระกูลสวีหรอ!”ท่านสองภูเขาชิงซานมองหลินอิ่งและพูดหัวเราะไว้

พูดความจริงพ่อของจ้าวหลินเอ๋อร์มาคงจะอยู่ฝ่ายเดียวกับผู้นำตระกูลสวี!

“ฉันพูดไว้แล้ว หลินอิ่ง นายให้เรื่องมาถึงจุดนี้ ใครออกหน้าไม่ได้ใครมาขอร้องก็ไม่มีประโยชน์!”สวีไป๋เห้อพูดด้วยน้ำเสียงเย็นๆ ตัดสินใจที่จะกำจัดหลินอิ่งทิ้ง

“ประธานหลิน ผมมาสายแล้ว!”

จู่ๆ ก็เสียงเคารพดังมา ก็ยังเป็นรถสีเทาหลายสิบคันแถวเหมือนเดิม พุ่งมาที่ทางแยกทันที

ผู้ชายที่ไม่ธรรมดาใส่เสื้อขาวเดินมาอย่างรีบร้อน ข้างๆยังมีคนแก่ผมขาวหน้าตานิ่งๆไว้

“นิ่งซวน?”สวีไป๋เห้อขมวดคิ้วแน่น มองคนที่มาอย่างน่ากลัว รู้สึกว่าสถานการณ์ไม่ค่อยดี

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท