ในสายตาของถังฮุยนั้น ท่านอิ่งนั้นก็เปรียบดั่งเทพองค์หนึ่ง ต่อให้ต้องเจอกับปัญหาที่ใหญ่ทัดฟ้า หรือภูเขาสูงใหญ่มาขวางอยู่ตรงหน้า สีหน้าของเขาก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลง จิตใจสงบไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
ท่านอิ่งนั้นเป็นเหมือนเทพองค์หนึ่งจริงๆ ไม่เรื่องทางโลกใดๆ ก็ไม่อาจสร้างผลกระทบกับเขาได้ เหมือนผ่านโลกมามากเห็นสิ่งสวยงามมากมายมานับครั้งไม่ถ้วน
นอกจากตอนอยู่กับคุณนายหลินที่ท่านอิ่งจะแสดงออกถึงความสุขแบบคนธรรมดาทั่วไปแล้ว นอกเหนือจากนั้นคุณจะสามารถรับรู้ได้เลยว่าคนคนนี้คือเทพเจ้าอย่างแท้จริง คุณจะไม่มีทางได้เห็นการแสดงออกทางอารมณ์จากเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
จนวันนี้ ถังฮุยถึงได้รู้ว่า แท้จริงแล้วท่านอิ่งเองก็เป็นคนที่มีเลือดมีเนื้อ มีเรื่องที่ทำให้เขาหนักใจ มีเวลาที่เขารู้สึกโกรธและแสดงความรู้สึกออกมาเหมือนกับคนทั่วไปเหมือนกัน
ก๊อกๆ เสียงเคาะประตูดังขึ้นสองครั้ง
จางฉีโม่เดินเข้ามา เธอมองหลินอิ่งด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“หลินอิ่ง คุณทำธุระกลับมาแล้วเหรอคะ? วันนี้ทางสาขาย่อยของตี้จิงนั้นจัดการเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้ได้เริ่มดำเนินการไปเป็นที่เรียบร้อย เราไปกินอะไรด้วยกันหน่อยมั้ยคะ?”
จางฉีโม่สีหน้ายินดี ดูมีความสุขเป็นอย่างมาก
มุมปากของหลินอิ่งแย้มขึ้น เผยรอยยิ้มออกมา เขาดับบุหรี่ จากนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้น “ไปครับ”
“ถังฮุย เขตหัวหยางมอบหมายให้คุณไปจัดการแล้วกัน สิทธิ์ในการจัดการทั้งหมดของที่ดินผืนนั้นเป็นของคุณ” หลินอิ่งพูดขึ้น
“ครับ!” ถังฮุยพยักหน้าด้วยความเคารพ
ไม่นาน หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็มาถึงร้านอาหารธีมราศี ที่อยู่ในอาคารดวงดาว
ทั้งคู่นั่งลงตรงโต๊ะคริสทัล และสั่งอาหารเรียบร้อยไปแล้ว
เมื่อมองผ่านบานกระจกที่กั้นระหว่างภัตตาคารกับโลกภายนอกลงไป ก็สามารถมองเห็นผู้คนภายในอาคารมากมายที่เดินผ่านไปผ่านมา ทำงานตรงโน้นทีตรงนี้ที
ที่นี่คืออาคารสำนักงานของบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อ หลังจากครั้งก่อนที่จงเทียนซิงเฉิง ถูกโครงการสตาร์ไลท์โฆษณาไปครั้งใหญ่ บริษัทเครื่องประดับฉีซื่อก็มีชื่อเสียงขึ้นมาในตี้จิงเลย
ทั้งกระบวนการผลิตและกระบวนการจัดจำหน่ายต่างก็เป็นไปด้วยดี ไม่มีปัญหาอะไร
ดังนั้น วันนี้จางฉีโม่จึงรู้สึกอารมณ์ดีมาก
นี่เป็นความใฝ่ฝันที่เธอตามหามานาน การได้มองดูตึกที่ตัวเองใฝ่ฝันถูกสร้างขึ้น ข้างกายยังมีคนรักที่รักกัน จะไม่ให้มีความสุขได้ยังไงล่ะ
จางฉีโม่มองหลินอิ่งไปแวบหนึ่งแล้วพูดไปว่า “หลินอิ่ง วันนี้คุณมีเรื่องอะไรให้หนักใจรึเปล่าคะ? ฉันเห็นตอนอยู่ในห้องทำงานคุณดูเคร่งขรึมมากเลย”
หลินอิ่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แล้วตอบไปว่า “ไม่มีอะไรครับ”
หือ? จริงเหรอคะ? แล้วคุณกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่เหรอคะ?” จางฉีโม่ถามไปด้วยความสงสัย
ตั้งแต่พบกับจ้าวหลินเอ๋อร์ที่ตี้จิงเป็นต้อนมา เธอก็มักจะเป็นห่วงทุกอย่างที่เกี่ยวกับหลินอิ่งอย่างบอกไม่ถูก ความรู้สึกเหมือนเด็กน้อยที่หวงของเล่นของตัวเอง กลัวว่าจะถูกคนอื่นแย่งไปแบบนั้นเลย
“ผมกำลังคิดถึงคุณไงครับ”
“ชิ” จางฉีโม่มองบน หันไปทางอื่น ใบหน้าแดงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
“พอแล้ว แต่งงานกันมาตั้งนานแล้ว คุณช่วยจริงจังหน่อย ฉันกำลังคุยสำคัญกับคุณอยู่นะคะ” จางฉีโม่คีบปลาขึ้นมาชิ้นหนึ่งขึ้นมากิน จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“ธุระทุกอย่างของสาขาในตี้จิงถูกจัดการหมดแล้ว ตอนนี้สามารถดำเนินงานได้ตามปกติ ฉันต้องกลับไปที่เมืองตุงไห่รอบหนึ่ง เพื่อไปจัดการธุระของสาขาทางนั้นให้เสร็จ การบริหารกิจการเครื่องประดับของทั้งสองแห่งต้องได้การตรวจสอบเหมือนกัน” จางฉีโม่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
“คุณกลับไปที่เมืองตุงไห่รอบหนึ่งก็ดีเหมือนกัน การดำเนินงานของบริษัทคุณสามารถไปจัดการได้อย่างเต็มที่เลยนะครับ เรื่องแบบนี้คุณเก่งอยู่แล้ว” หลินอิ่งพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมาหาผมได้เลยนะครับ”
“ค่ะ” จางฉีโม่พยักหน้า “สรุป คุณจะกลับเมืองตุงไห่ไปพร้อมกับฉันรึเปล่าคะ?”
หลินอิ่งตอบด้วยสีหน้าที่จริงจังว่า “ผมยังมีเรื่องที่ต้องทำในเมืองตี้จิงอีก ยังกลับไปไม่ได้สักระยะ ตอนอยู่ที่เมืองตุงไห่ถ้ามีเรื่องอะไรก็ใช้งานเสิ่นซานกับเจียงฉีได้เลยนะครับ”
เหมือนจางฉีโม่อยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไป ตอนแรกเธอตั้งใจจะถามหลินอิ่งว่ายังมีธุระอะไรที่ตี้จิงอีก แต่พอคิดๆ ดูแล้วสุดท้ายก็ไม่ได้ถามไป
ยังไงซะกิจการของหลินอิ่งในตี้จิงก็ใหญ่โตขนาดนี้ มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนมากมายต้องให้จัดการ เห็นที่คงจัดการให้เสร็จภายในเวลาสั้นๆ ไม่ได้หรอก
“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” จางฉีโม่พยักหน้าตอบ
ด้วยเหตุนี้ หลินอิ่งกับจางฉีโม่ก็พูดคุยกันเรื่องทั่วไปในครอบครัว เรื่องของบริษัทกันอย่างเรื่อยเปื่อย ไม่นานเวลาของอาหารก็ได้ล่วงเลยผ่านไป
หลังกินข้าวเสร็จจางฉีโม่ก็กลับไปพักผ่อนที่ห้อง
หลินอิ่งกลับมาที่ห้องทำงานของประธาน สองมือวางอยู่บนราว มองดูอาคารสูงใหญ่ที่อยู่ในตี้จิง จุดบุหรี่มวนหนึ่งนึกถึงสถานการณ์ในตอนนี้
การเปลี่ยนแปลงของแก๊งมังกร ทำให้หัวใจของเขาถูกความมืดปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง
เขาเป็นห่วงความปลอดภัยของอาจารย์มาก ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างคาดไม่ถึงของแก๊งมังกรในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าอาจารย์จะได้รับอันตราย……
ตอนนั้นอาจารย์ไปผ่านด่านความเป็นความตาย จึงตัดสินใจตัดขาดจากทางโลก เพื่อจะได้เข้าถึงศิลปะการต่อสู้ที่สูงขึ้นไปอีกระดับ
ไม่ได้บอกว่าสถานที่ที่ไปทดสอบด่านความเป็นความตายอยู่ที่ไหน มันจึงเป็นเรื่องที่ยากมากในการตามหา
กริ้งๆ
ทันใดนั้น มือถือของเขาก็ดังขึ้น
“ท่านอิ่งครับ ทางลูกพี่หยูเกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ!” ทางต้นสาย เสียงที่ร้อนรนของถังฮุยดังขึ้น
หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกิดเรื่องขึ้นกับหยูจื๋อเฉิงอย่างนั้นเหรอ?”
“จู่ๆ การติดต่อของลูกพี่หยูก็ขาดหายไป ลูกน้องของเขาบอกว่า ห้องที่ลูกพี่หยูพักอยู่ถูกคนโจมตีครับ แถมยังทิ้งปลอกกระสุนไว้อีก” ถังฮุยพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
“ผมเข้าใจแล้ว”
“ยังมีอีกเรื่องครับ……” ถังฮุยพูดออกมาอย่างระมัดระวัง “มีคนส่งโลงศพโรงหนึ่งมาที่จงเทียนซิงเฉิงครับ มันตั้งอยู่ที่หน้าประตูอาคารสำนักงานของถูซานครับ ……มีข้อความแปะไว้ว่า เป็นของที่คุณท่านจี้มอบให้กับท่านอ้างครับ……”
ตอนที่ถังฮุยพูดออกมานั้น หัวใจของเขากำลังเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ถึงกับมีคนกล้าส่งโลงศพมาถึงหน้าบ้านของท่านอิ่ง แถมยังเปิดเผยตัวตนอย่างชัดเจน นะ นี่มันเป็นการแสดงออกถึงความดูถูกและประกาศสงครามอย่างโจ่งแจ้งเลยนี่นา! นี่มันต้องการท้าทายอำนาจของตี้จิงชัดๆ!
“คุณ ไปกับผม”
หลังวางสาย ลำแสงเย็นเยือกก็ได้ปรากฏขึ้นที่แววตาของหลินอิ่ง จิตสังหารได้ระเบิดออกมา
หยูจื๋อเฉิงเกิดเรื่องแล้วอย่างนั้นเหรอ?
คุณท่านจี้เหรอ? จี้ฉงซานเป็นคนส่งโลงศพนั่นมาเหรอ?
เขาสั่งให้หยูจื๋อเฉิงพาคนไปแอบจับตาดูจี้ฉงซานมาพักใหญ่แล้ว ดูเหมือนจะถูกจับได้แล้วแน่ๆ
พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่จี้ฉงซานจะกลับเมืองก่างพอดี ทั้งที่วางแผนว่าจะลงมือกับจี้ฉงซานในวันพรุ่งนี้แล้วแท้ๆ
แต่แล้ว ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ หยูจื๋อเฉิงกลับหายตัวไปซะได้
มันจึงทำให้หลินอิ่งได้กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์นัก
เช้าวันนี้ เขาเพิ่งไปองครักษ์มังกรที่อยู่ในอำเภอหลงซิงตรงชานเมือง ก็เพื่อต้องการสืบสาวข้อมูลของตระกูลเหวินและผู้อยู่เบื้องหลังจากจี้ฉงซานนี่แหละ
อีกอย่างก็คือให้องครักษ์มังกรไปตรวจสอบบริษัทยามาโตะหยิงหวาดู ไปตรวจสอบกงจิ่วผู้น่าสงสัยที่คอยควบคุมตระกูลนิ่งเอาไว้
สุดท้าย ก็ได้รู้ว่าแก๊งมังกรได้เปลี่ยนผู้นำไปนานแล้ว……
หรือว่า? นี่อาจเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นก็ได้?
หลินอิ่งเริ่มใช้ความคิด
ตอนนั้น จู่ๆ ตระกูลเหวินก็ถอยไปซ่อนตัวจากตี้จิง แถมยังมียอดฝีมือผู้ลึกลับที่อยู่กับเหวินเทียนเฟิ่งนั่นอีก คนคนนั้นสามารถประมือกับเขาได้เป็นสิบครั้งเลยนะ
ตอนนั้น หลินอิ่งก็สงสัยแล้วว่า ตระกูลเหวินน่าจะรู้ถึงฐานะของเขาในแก๊งมังกร
พอมาตอนนี้ เรื่องทุกอย่างมันจะดูซับซ้อนมากกว่าที่คิดแล้ว!
บางที อาจจะมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องมาที่เขาจากที่มืดในตี้จิงก็เป็นได้
หลินอิ่งทำหน้าเรียบเฉย จุดบุหรี่ แล้วเดินลงชั้นล่างไป
ไม่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นใครก็ตาม เขาก็ต้องสืบสาวจนทุกอย่างกระจ่างให้ได้
กล้าส่งโลงศพมาถึงหน้าบ้านแบบนี้ ถ้าใครกล้าเข้ามาขวางก็ต้องฆ่าให้หมด แม้แต่เทพมาขวางก็ไม่มีเว้น!