ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่367 ใครมาขอร้องก็ไม่มีประโยชน์

บทที่367 ใครมาขอร้องก็ไม่มีประโยชน์

“อะไรนะ? กองพิเศษเว่ยอัน!”

หัวหน้าคำรามออกมา ทำเอาทุกคนในที่นั้นตะลึงไปตามๆ กัน ต่างก็แสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา

กองพิเศษเว่ยอันแห่งตี้จิงนั้นเป็นถึงกองกำลังพิเศษที่ลึกลับที่สุดแล้ว

ตามตำนานแล้ว กองกำลังนี้มีไว้ต่อต้านการรุกรานของศัตรูจากต่างแดนเลยนะ เป็นกองกำลังอันแข็งแกร่งที่อยู่แนวหน้าของหน่วยข่าวกรอง เป็นดั่งตัวแทนของผู้บัญชาการสูงสุดเลยทีเดียว

บรรยากาศโดยรอบนั้นเงียบสงบลงทันที ไม่มีใครกล้าเข้ามาขวางพวกของหลินอิ่งอีก

เรื่องนี้มันเลยเถิดไปไกลมากแล้ว!

ไอ้หนุ่มคนนี้มันเป็นใครมาจากไหน? ถึงขนาดสั่งการกองพิเศษเว่ยอันได้เลยเหรอ?

คนของกองพิเศษเว่ยอันยังเรียกเขาว่าหัวหน้าหลินอีก?

“หมายความว่ายังไง พวกแกเป็นคนของกองพิเศษเว่ยอันเหรอ?” ฟางหย่วนขมวดคิ้วอย่างแรง เขาต้องพิจารณาหลินอิ่งใหม่ รู้สึกเหมือนมองชายหนุ่มคนนี้ไม่ค่อยออกเลย

คนของกองพิเศษเว่ยอัน เขาเองก็มีเรื่องด้วยไม่ไหวหรอก

“ขอฉันดูหลักฐานแสดงตัวของแกหน่อย! ฉันว่าฐานะของพวกแกมันแปลกๆ!” ฟางหย่วนจ้องเขม็งมาที่หลินอิ่ง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม เขารู้สึกสงสัยในตัวของหลินอิ่งมาก

“แกคิดว่าตัวเองเป็นใคร? ถึงกล้าขอตรวจหลักฐานจากหัวหน้าหลินแบบนี้?” หัวหน้าตะคอกใส่อย่างไม่พอใจ ทำเอาฟางหย่วนตกใจจนสะดุ้ง

“สามหาว!” ฟันหยวนทำหน้าโมโห แล้วชี้ไปที่หัวหน้า

คนที่เป็นถึงเลขาของหลุยกงอย่างเขา ในตี้จิงเขาเองก็ถือว่าเป็นคนที่มีหน้ามีตาเหมือนกัน ไม่เคยถูกใครตะคอกใส่แบบนี้มาก่อนเลย!

หัวหน้ามองด้วยสายตาที่ไม่ชอบใจ ไม่พูดพร่ำทำเพลง พุ่งเข้าไปเกี่ยวขาจนล้ม จากนั้นก็รับไว้ด้วยการล็อกแขนจากทางด้านหลัง กดฟางหย่วนไว้กับพื้นจนไม่สามารถดิ้นหลุดได้

“ดูซะ นี่คือหลักฐานของฉัน! ส่วนหลักฐานของหัวหน้าหลินนั้นคนอย่างแกไม่มีสิทธิ์ดู!” หัวหน้าหยิบเอกสารสีเงินลายมังกรฉบับหนึ่งออกมา จากนั้นก็โยนลงพื้น

ฟางหย่วนสีหน้าแดงก่ำ เขารู้สึกไม่พอใจมาก เขาคิดว่าตัวเองเป็นถึงเลขาของหลุยกงยังไม่มีสิทธิ์ดูอีกเหรอ?

ฟางหย่วนยื่นมือไปเก็บเอกสารขึ้นมา เขากวาดตามองด้วยสายตาที่เคร่งขไปหนึ่งรอบ

ผู้บัญชาการสูงสุด กองพิเศษเว่ยอัน กองกำลังลับระดับS____XXX

รหัส: หัวหน้า

ตราประทับ: ผู้บัญชาการสูงสุด

พอดูข้อมูลในเอกสารเสร็จ ใบหน้าฟางหย่วนก็เต็มไปด้วยเหงื่อ

ยังไม่ต้องพูดถึงชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าหลินนั่น แค่ตำแหน่งของหัวหน้า ก็ถือเป็นตำแหน่งที่สูงมากในกองพิเศษเว่ยอันแล้ว!

ที่สำคัญ ฟางหย่วนที่เป็นเลขาธิการของหลุยกง ก็เคยตามหลุยกงไปที่จื่อหลงซานมาก่อน และเคยได้ยินหัวหน้าที่เป็นบุคคลลึกลับของจื่อหลงซานด้วย

ตัวตนของหัวหน้าคนนี้ปิดเป็นความลับในระดับที่สูงมาก เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้นำด้านการทหาร รับหน้าที่คุ้มครองเหล่าบุคคลสำคัญของประเทศที่ปลดเกษียณแล้วอยู่ในจื่อหลงซาน ทั้งอำนาจและตำแหน่งนั้นสูงมาก!

ณ ตอนนี้ ฟางหย่วนนั้นอึ้งไปเลย ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมหัวหน้าของจื่อหลงซานถึงมาที่นี่ด้วยตนเอง?

แม้แต่หัวหน้ายังเรียกชายที่มาหาคุณท่านจี้ว่าหัวหน้าหลินเลย?

ตอนนี้ คงขวางเอาไว้ไม่ได้จริงๆ แล้วล่ะ!

“ทะ……ที่แท้ก็เป็นคนของกองพิเศษเว่ยอันนี่เอง ล่วงเกินแล้ว พวกคุณช่วยรอสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจะโทรไปรายงานให้หลุยกงทราบนะครับ” ฟางหย่วนพูดด้วยสีหน้าที่จริงจัง

ฟิ้ว หัวหน้าจับฟางหย่วนเหวี่ยงขึ้นมาแล้วเหวี่ยงออกไป เขาลอยออกไปไกลกว่าสิบเมตร

“กองพิเศษเว่ยอันกำลังปฏิบัติภารกิจ แกยังกล้ามาขวางอีกเหรอ?” หัวหน้าตวาดด้วยความเคร่งขรึม

ทันใดนั้น ชายชุดดำด้านหลังก็พากันพุ่งเข้ามา จัดการบอดี้การ์ดข้างใน จับคนละคน จนบอดี้การ์ดถูกโยนออกไปจนหมด จากนั้นก็มายืนเฝ้าประตูอย่างสุภาพเรียบร้อย

หลินอิ่งก้าวขึ้นบันได เดินเข้าร้านอาหารหลุยกงไปโดยมือทั้งสองข้างไขว้หลัง

ส่วนถังฮุยและหยูจื๋อเฉิงนั้นแอบเฝ้าอยู่ด้านนอก โดยไม่ละเว้นใครก็ตามที่เดินออกจากร้านอาหารหลุยกงมา

พอเห็นท่าทางที่ดูผ่อนคลายของหลินอิ่งแล้ว ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา

นี่มันไม่เวอร์ไปหน่อยเหรอ? เพิ่งอายุเท่านี้เองนะ? เป็นหัวหน้าตั้งแต่ยังน้อยเลย?

เลขาใหญ่ฟางยกชื่อของหลุยกงออกมาแล้ว ก็ยังเอาไม่อยู่?

หลินอิ่งเดินเข้าไปในร้านอาหารหลุยกงที่ตกแต่งได้อย่างเลิศหรูอลังการ หัวหน้าเดินตามอยู่ข้างหลัง คนกลุ่มนี้เดินขึ้นชั้นบนไปโดยตรง

ร้านอาหารหลุยกงในตอนนี้ดูค่อนข้างโล่ง เพราะคนอื่นๆ ได้ถูกไล่ออกไปหมดแล้ว

หลินอิ่งนั้นรู้ข้อมูลดี ว่าตอนนี้จี้ฉงซานอยู่ในห้องบนชั้นสอง

พอขึ้นมาถึงชั้นสอง บนโถงทางเดินที่สวยหรู มีบอดี้การ์ดในชุดสูทยืนเรียงกันเป็นแถวๆ

“จี้ฉงซานอยู่ห้องไหน?” หลินอิ่งถามไปด้วยใบหน้าที่เรียบเฉย

“พวกแกเป็นใคร? มีธุระอะไรกับคุณท่านจี้? ร้านอาหารหลุยกงของเรานั้นปกป้องความลับของลูกค้าเป็นอย่างดี!” หัวหน้าบอดี้การ์ดพูดเสียงเคร่งขรึม พร้อมกับมองหน้าหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่จริงจัง

“หุบปากซะ แล้วไสหัวไปให้หมด!”

ฟางหย่วนที่ถือมือถือไว้ รีบวิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน พอเห็นพวกบอดี้การ์ดที่ไม่รู้ผิดชอบกำลังขวางหลินอิ่งไว้ เขาจึงตะคอกออกมาทันที

“ต้องขออภัยเป็นอย่างสูงครับ!”

บอดี้การ์ดของร้านอาหารหลุยกงพวกนี้ พอถูกฟางหย่วนตะคอกไป ก็รีบหันมาขอโทษหลินอิ่งแล้วออกจากโถงทางเดินทันที

“คุณชายอิ่ง ต้องขออภัยด้วยนะครับ เรื่องเมื่อครู่มันคือความเข้าใจผิด ผมเสียมารยาทแล้ว เมื่อกี้หลุยกงเพิ่งโทรศัพท์มาเขาบอกว่าอยากคุยกับคุณสักหน่อยครับ” ฟางหย่วนพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

เมื่อกี้เขาได้โทรไปรายงานสถานการณ์ให้หลุยกงฟัง และรู้แล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้านั้นคือ คุณชายอิ่งแห่งตระกูลฉีที่ทรงอำนาจของตี้จิง!

เป็นตระกูลฉีที่แม้แต่หลุยกงยังต้องกลัวเลย!

เขาที่เป็นแค่เลขา จะไปมีเรื่องกับเทพเจ้าอย่าง คุณชายอิ่งได้ยังไงล่ะ!

“ผมกับหลุยกงไม่มีอะไรที่ต้องคุยกัน” หลินอิ่งพูดออกไปอย่างเรียบเฏย

ฟางหย่วนเอามือปาดเหงื่อบนหน้าผากออก จากนั้นก็พูดไปว่า “คุณชายอิ่ง หลุยกงฝากผมมาบอกคุณว่า เขาอยากขอร้องคุณว่าช่วยให้ไว้หน้าเขานิดหนึ่ง ให้คุณช่วยปล่อยเรื่องคุณท่านจี้ไปก่อนครับ”

“หลุยกงบอกว่า เรื่องนี้เขาจะตอบแทนคุณชายอิ่งได้อย่างพอใจแน่นอนครับ” ฟางหย่วนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณจะไม่คุยกับหลุยกงหน่อยเหรอครับ?”

“ใครมาขอร้องก็ไม่มีประโยชน์!” หลินอิ่งทิ้งท้ายอย่างเรียบเฉย “กลับไปบอกหลุยกงว่า ถ้าเขายังกล้าเข้ามายุ่งเรื่องของจี้ฉงซานอีก ผมจะปลดเขาลงจากตำแหน่งทันที!”

ฟางหย่วนทำหน้าหวาดกลัว เขาถูกรังสีของหลินอิ่งกดดันเข้าอย่างหนัก ไม่กล้าพูดอะไรอีก ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่อย่างว่าง่าย

“พาผมไปที่ห้องของจี้ฉงซาน” หลินอิ่งพูดออกมาอย่างใจเย็น

ฟางหย่วนทำหน้าลังเลไปแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินนำทางไปอย่างว่าง่าย

ไม่นาน หลินอิ่งก็เดินผ่านทางเดินสีทอง จนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูสีแดงชุบทองบานใหญ่

ปั้ง หัวหน้าพุ่งเข้าไปถีบประตูบานใหญ่ออก ภายในห้องที่สวยหรูไร้ซึ่งผู้คน ข้าวของที่นอนต่างถูกจัดเก็บไว้อย่างเรียบร้อย และสะอาดสะอ้าน

“นี่……คุณท่านจี้ล่ะ?” ฟางหย่วนแสดงสีหน้าที่ประหลาดใจออกมา

หลินอิ่งจ้องเขม็งมาที่ฟางหย่วน

ฟางหย่วนกลัวจนพูดไม่ออก ร่างกายสั่นไปทั้งตัว เขาทนต่อแรงกดดันที่หลินอิ่งส่งมาไม่ไหวจริงๆ ปาดเหงื่อไปทีหนึ่งจากนั้นก็พูดด้วยความนอบน้อมว่า “คุณชายอิ่งครับ ผมสามารถยืนยันได้นะครับ ว่าเช้าวันนี้คุณท่านจี้ยังร่วมรับประทานอาหารกับหลุยกงที่ร้านอาหารหลุยกงอยู่เลย ผมไม่รู้ว่าเขาออกไปตอนไหน ผมเป็นแค่เลขา เรื่องนอกเหนือจากนี้ผมก็ไม่รู้อะไรเลยครับ!”

เขากลัวว่าการที่หลินอิ่งหาจี้ฉงซานไม่เคย แล้วจะเอาความโกรธมาลงที่เขา ถ้าเป็นแบบนั้นเขาก็แย่สิ!

หลินอิ่งส่งสายตาให้หัวหน้า หัวหน้าเข้าใจความหมาย แล้วพาคนชุดดำสองคนพุ่งออกไปทางโถงทางเดิน

สามนาทีต่อจากนั้น

หัวหน้าเดินกลับมาพร้อมกับใบหน้าที่เคร่งเครียด เขาพูดขึ้นว่า “ผมไปดูที่ห้องกล้องมาแล้ว เทปบันทึกภาพในร้านอาหารหลุยกงในรอบสัปดาห์นี้ถูกลบไปแล้วครับ”

หลินอิ่งค่อยๆ หลับตาลง กระต่ายเจ้าเล่ห์ยังมีสามรัง ดูท่า จี้ฉงซานคงรู้ตัวนานแล้ว หลังจากที่จับหยูจื๋อเฉิงได้ เขาก็พากันหนีไปก่อนแล้ว จิ้งจอกเฒ่านั่นมันได้วางแผนไว้อย่างรอบคอบมาก่อนแล้ว

หลินอิ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้น จากนั้นก็พูดออกมาอย่างเรียบเฉยว่า “ไป”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท