“ฮึ คนอื่นต่างก็คิดว่าฉีหยิ่นนั้นเก่งเหนือใครๆ คิดว่าฉันไม่รู้รึไงว่าความจริงแล้วตระกูลเหวินนั้นถูกทำลายยังไง?” สวีจิ่วหลิงพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนที่ตระกูลเหวินทำลายตระกูลฉีนั้น พวกเขาอาศัยช่วงที่ฉีเวิ่นติ่งป่วยหนักไม่ได้สติอยู่บนเตียง เข้าโจมตีในตอนที่ศัตรูกำลังอ่อนแออยู่ ต่อมาฉีเวิ่นติ่งก็ฟื้นขึ้นมา ด้วยความโมโหที่อยากจะเอาคืน เขาจึงหันมาสนับสนุนทายาทคนสุดท้ายของตระกูลฉีที่ระหกระเหินอยู่ต่างแดน ฉีหยิ่น”
“การล่มสลายของตระกูลเหวิน จะต้องเป็นฝีมือของฉีเวิ่นติ่งแน่นอน! แต่เพื่อต้องการสนับสนุนคนรุ่นหลัง เพื่อให้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ จึงได้ประกาศออกมาว่าฉีหยิ่นเป็นคนทำ ทำให้ฉีหยิ่นได้ความชอบไปแบบฟรีๆ” สวีจิ่วหลิงค่อยๆ พูดออกมา “ฉันน่ะ ถ้าไม่เห็นแก่ตระกูลฉีที่เหลือทายาทคนสุดท้าย จนแตะต้องไม่ได้ เพราะมันอาจทำให้ฉีเวิ่นติ่งเป็นบ้าได้ ฉันคงจัดการกับไอ้อ่อนตระกูลฉีที่บ้าคลั่งนั่นไปนานแล้ว!”
คนที่สวีจิ่วหลิงกลัวจริงๆ นั้นไม่ใช่ฉีหยิ่น แต่เป็นปู่ของฉีหยิ่น ฉีเวิ่นติ่งต่างหาก
ถึงฉีเวิ่นติ่งจะเกษียณไปนานแล้ว แต่คนคนนี้ก็เป็นขุนนางที่มีความชอบมาตั้งแต่สมัยก่อตั้งประเทศแล้ว เส้นสายกับอำนาจที่มีนั้นน่ากลัวมาก ถ้าต้องสู้กันจริงๆ มันก็อาจจะทำให้ตระกูลสวีถึงขั้นล่มสลายได้เลย
ดังนั้น ฉีหยิ่นที่เป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลฉีนั้นเขาไม่อยากจะไปยุ่งด้วยเลย
“ฮึ คุณรู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับตระกูลเหวินรึเปล่า? ผมพยายามตรวจสอบหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่สามารถสืบหาความจริงได้เลย” กงจิ่วส่ายหน้า “แต่ผมจะบอกอะไรคุณไว้นะครับ การหมดสติของฉีเวิ่นติ่ง มีใครบางคนอยู่เบื้องหลัง การที่ตระกูลเหวินทำลายตระกูลฉี ก็มีอำนาจขนาดใหญ่คอยหนุนหลังอยู่เหมือนกัน”
“จากข้อมูลที่ผมได้มา ตอนที่ตระกูลเหวินถูกทำลายนั้นฉีเวิ่นติ่งยังไม่ได้สติเลย จุดนี้ผมสามารถยืนยันได้ แม้แต่พิษในร่างกายของฉีเวิ่นติ่งก็ได้ฉีหยิ่นนี่แหละที่ช่วยเอาไว้” กงจิ่งพูดออกมาอย่างใจเย็น
“ถ้าไม่ใช่ฉีหยิ่นที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันละก็ เห็นทีแผนการถึงตายที่ตระกูลฉีถูกผู้อยู่เบื้องหลังตระกูลเหวินวางไว้คงไม่มีใครช่วยได้แน่นอน”
กงจิ่วค่อยๆ ไล่เรียงออกมา เปิดเผยข้อมูลลับที่น่าตกใจออกมาทีละน้อย
“ผู้อยู่เบื้องหลังของตระกูลเหวินในตอนนั้นคืออะไร?” สวีจิ่วหลิงทำหน้าไม่เข้าใจ
“ผมเคยสืบเรื่องนี้ดูแล้ว แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย แต่ว่ามันก็ไม่มีผลอะไรกับผม” กงจิ่วพูดออกมาเบาๆ
“สิ่งที่ผมสนใจคือ ฉีหยิ่นมันทำลายแผนการของผมที่อยู่มีต่อตระกูลนิ่ง! เดิมที ตระกูลนิ่งได้ถูกองค์กรของเราควบคุมไว้แล้ว”
“ดังนั้น องค์กรของเราจึงจำเป็นต้องฆ่าฉีหยิ่นให้ได้!”
ตอนที่กงจิ่วพูดคำพูดเหล่านั้นออกมา จิตสังหารที่ถูกส่งออกมาจากแววตาของเขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน
ถ้าจู่ๆ หลินอิ่งไม่โผล่ออกมา ตระกูลนิ่งก็คงตกอยู่ในกำมือของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว
ตอนแรกที่หลินอิ่งประกาศว่าจะไปที่ตระกูลนิ่ง มันส่งผลให้แผนการที่องค์กรของพวกเขาวางไว้กับตี้จิงวุ่นวายไปหมด
ด้วยเหตุนี้ กงจิ่วยังยอมเสียเงินมากมายเพื่อสืบหาตัวตนที่แท้จริงของหลินอิาง
แต่น่าเสียดาย เขาสืบรู้แค่ว่าหลินอิ่งนั้นเป็นฉีหยิ่นของตระกูลฉีแห่งตี้จิงเท่านั้น ส่วนข้อมูลอื่นๆ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ที่สำคัญ ตอนที่สืบไปจนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลเหวินนั้น ก็ไม่สามารถสืบต่อได้อีก ตระกูลเหวินได้ปิดเรื่องนี้ไว้ลึกมาก จนไม่สามารถสืบหาอะไรได้เลย
ส่วนทางด้านอาจารย์ของหลินอิ่งนั้นก็สืบต่อไม่ได้เหมือนกัน เพราะไม่มีข้อมูลอะไรเลย
แต่กงจิ่วก็ยังสามารถมั่นใจได้ว่า คนที่เคยเป็นอาจารย์ของหลินอิ่งคนนั้นได้มีอำนาจขนาดใหญ่ของประเทศหลุงซ่อนอยู่แน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถจัดการกับตระกูลเหวินลงอย่างง่ายดายแบบนี้หรอก
ด้วยเหตุนี้ กงจิ่วจึงได้ร่วมมือกับตระกูลที่มีอำนาจของประเทศหลุงเพื่อจัดการกับหลินอิ่ง
สวีจิ่วหลิงทำหน้าตกใจ จ้องเขม็งมาที่กงจิ่ว จากนั้นก็ถามไปว่า “คุณ คุณหมายความว่ายังไง? คุณควบคุมตระกูลนิ่งเหรอ? กงจิ่ว ตกลงคุณเป็นใครกันแน่?”
“กงจิ่ว เป็นแค่นามแฝงเท่านั้น ผมเป็นใครนั้นมันไม่สำคัญหรอก” กงจิ่วพูดออกมาอย่างใจเย็น สิ่งที่คุณต้องรู้คือตระกูลสวีของคุณไม่สามารถปฏิเสธการร่วมมือกับผมได้ เพราะตระกูลสวีของคุณไม่เคยมีมังกรอย่างฉีกยื่นปรากฏออกมาก่อน”
“ผม มาจาก สำนักยุทธ์เชียนแห่งต้าเหอ”
เมื่อกงจิ่วเปิดเผยตัวตน สวีจิ่วหลิงก็ตกใจจนแสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา เปลือกตาเอาแต่กระตุกไม่ยอมหยุด
หลังจากเงียบไปพักใหญ่ สวีจิ่วหลิงก็ถอนหายใจแล้วพูดไปว่า “ที่แท้คุณก็เป็นคนของ สำนักยุทธ์เชียนนี่เอง ฉันเสียมารยาทแล้วแต่ว่า ฉันก็ยินดีที่จะร่วมมือกับคุณ ร่วมมือกับคุณเพื่อจัดการกับตระกูลฉี! จัดการฉีหยิ่น!”
กงจิ่วยิ้มออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดไปว่า “คนที่สามารถปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยนั้นถึงจะเป็นคนที่ฉลาดอย่างแท้จริง คุณท่านสวีคุณทำตามที่ผมบอกเถอะครับ……ฉีหยิ่น ไม่ช้าก็เร็วมันต้องตายด้วยน้ำมือของเราแน่นอนครับ!”
……
สองวันหลังจากนั้น
ตี้จิง ชานเมือง อำเภอหลงซิง
หลินอิ่งพาฮาเดสนั่งรถมาที่เมืองโบราณเล็กๆ แห่งหนึ่งในอำเภอหลงซิง
วันนั้นหลังจากที่จัดการกับ คุณชายชีซิงไปและบังคับให้สวีไป๋เห้อคุกเข่าลงได้
เบื้องหน้าตระกูลสวีก็ยอมจำนนแต่โดยดี
แม้แต่สวีฉางเฟิงที่เอาแต่ก่อปัญญาอยู่ที่เขตหัวหยางยังถูกสวีจิ่วหลิงเรียกกลับตระกูลสวีในคืนนั้นเลย และถูกกักบริเวณห้ามไม่ให้ออกจากไว้ที่วิลล่าตงหลิงเด็ดขาด
ที่สำคัญ สวีจิ่วหลิงยังโทรไปขอโทษฉีเวิ่นติ่งด้วยตนเอง เพื่อเป็นการแสดงถึงความอ่อนข้อ แถมยังยกเขตหัวหยางให้ไปเพื่อแสดงถึงความจริงใจ
คุณท่าตั้งใจโทรมาบอกกับตนเองว่าจะยอมปล่อยตระกูลสวีไปก่อน จากนั้นก็พูดถึงชีซิงกรุ๊ปด้วยว่า ถ้าชีซิงกรุ๊ปกล้ามาหาเรื่องตัวเองที่ประเทศหลุงละก็ เขาก็พร้อมที่จะสั่งการเส้นสายที่มีในตี้จิงทุกเมื่อ
กับเรื่องนี้ หลินอิ่งนั้นไม่ได้สนใจอะไรมาก
ถ้าตระกูลสวีกล้ากร่างอีกก็แค่กระทืบให้คุกเข่าลงอีกครั้งก็พอ
แค่ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลสวี เป็นอากาศยังไม่ได้เลย
สิ่งที่หลินอิ่งสนใจคือ ข้อมูลของตระกูลเหวินต่างหาก
เขาได้ตัดสินใจแล้ว ว่าพรุ่งนี้ตอนที่จี้ฉงซานกลับเมืองก่าง เขาจะลงมือตอนนั่นแหละ
จี้ฉงซานมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตระกูลเหวิน ส่วนอำนาจที่อยู่เบื้องหลังตระกูลเหวินนั้นก็มองข้ามไม่ได้เหมือนกัน มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะรู้เรื่องการมีอยู่ของแก๊งมังกร รู้ตัวตนที่แทนจริงประมุขของตัวเอง
เป็นคู่ต่อสู้ที่น่านับถือทีเดียว เรื่องนี้มันสำคัญมาก
ดังนั้น หลินอิ่งจึงตัดสินใจสั่งการองครักษ์มังกรของแก๊งมังกรที่แฝงตัวอยู่ในตี้จิง!
การที่ต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังที่ลึกลับแบบนี้ก็ต้องใช้องครักษ์มังกรนี่แหละ
ก่อนหน้านี้กงจิ่วผู้ลึกลับที่แอบควบคุมตระกูลนิ่ง อำนาจที่อยู่เบื้องหลังตระกูลเหวิน ต่างก็เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเกินกว่าบุคคลในยุทธภพไปแล้ว พวกหยูจื๋อเฉิงเสิ่นซาน เป็นไปได้ยากมากที่คนพวกนี้จะกลายเป็นจุดสำคัญขึ้นมาได้ และยากมาที่จะสืบหาอะไรเจอ
หลังจากหลินอิ่งลงจากภูเขามา นี่คือครั้งแรกเลยที่เขาใช้งานองครักษ์มังกรแบบนี้
ในปีนั้นก่อนที่อาจารย์จะจากไป ก็เคยสั่งปิดภูเขามาก่อน สั่งให้ทุกๆ คนในแก๊งมังกรให้เข้าสู่ภาวะจำศีล แช่แข็งกำลังทั้งหมดในยุทธภพไว้ รอคอประมุขแก๊งรุ่นต่อไปขึ้นเขา ถ้าสมาชิกของแก๊งมังกรได้รับคำสั่งถึงมีสิทธิ์ปรากฏตัวในยุทธภพอีกครั้ง
เพราะทุกการเป็นไปของใต้หล้า ประชาชนทุกคนต่างก็มีส่วนรับผิดชอบกันทั้งนั้น
ความสามารถของคนคนหนึ่งยิ่งยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ความรับผิดชอบก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อผ่านจุดเป็นจุดตายไป แล้วแก๊งมังกรไม่มีประมุขที่มีความสามารถมาคอยควบคุมดูแล มันอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ก็ได้ ต้องรู้ก่อนว่า อำนาจของแก๊งมังกรนั่นกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก มีสำนักอู่เหมินสิบสองอยู่ใต้บัญชาถ้าเกิดมีการเคลื่อนไหวขึ้นมามันก็สามารถสร้างผลกระทบกับนานาประเทศได้เลย
ถ้าแก๊งมังกรเกิดวุ่นวายขึ้นมา มันก็ไม่ต่างอะไรกับวันสิ้นโลกเลย!
ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้กำชับนักกำชับหนา ขอให้ก่อนที่หลินอิ่งจะบรรลุถึงขั้นเทพได้ก็อย่าเพิ่งเปิดเผยความสามารถแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่แค่ให้หลินอิ่งตั้งใจฝึกฝนตนเอง มันยังเป็นการปกป้องหลินอิ่งจากศัตรูของแก๊งมังกรไปด้วยในตัว
วันนี้เมื่อหลินอิ่งลงจากเขา มีความสามารถมากพอที่จะกดดันเหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลาย และสามารถควบคุมแก๊งมังกรได้ทั้งหมด!
หลินอิ่งลงจากรถ เดินเข้าไปในเมื่อโบราณเล็กๆ นั่น เดินผ่านถนนแบบย้อนยุคหลายเส้น เดินมาจนถึงหน้าวัดเต๋าซานซิงที่ดูทรุดโทรม
ดวงตาของเขาหมุนวน ฮาเดสก็ยืนรออยู่นอกวัดด้วยความสุภาพ
วัดเต๋าซานซิงแห่งนี้ค่อนข้างทรุดโทรม บนเสาเต็มไปด้วยใยแมงมุม เหมือนไม่มีคนมาจุดธูปนานมากแล้ว
หลินอิ่งมองไปแวบหนึ่ง ยืนเอามือไขว้หลัง แล้วก้าวเข้าไปในตัววิหาร
ภายในวิหารไม่มีคนอยู่เลย มีเพียงรูปปั้นซานซิงที่ดูเคร่งขรึมตั้งอยู่กลางห้อง
หลินอิ่งขมวดคิ้ว ในวัดไม่มีคนเลยเหรอ? วัดแห่งนี้ ได้มีบุคคลในลัทธิที่ชื่อยามมังกรเขียวซ่อนตัวอยู่
“ไม่ทราบว่าแขกผู้มาเยือนเป็นใครกัน?”
ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีเสียงที่แก่ชราคนหนึ่งดังมาจากหลังวิหาร
แล้วเห็นชายชราผมชาวที่สวมชุดนักบวชเก่าๆ คนหนึ่งเดินเข้าวิหารมา เห็นแล้วทำให้รู้สึกถึงความเป็นเทพมาก
ชายชราในชุดนักเต๋ามีสีหน้าที่เรียบเฉย จ้องมองหลินอิ่งด้วยแววตาที่ปราดเปรื่อง