ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่361 สำนักยุทธ์เชียนแห่งต้าเหอ

บทที่361 สำนักยุทธ์เชียนแห่งต้าเหอ

“ฮึ คนอื่นต่างก็คิดว่าฉีหยิ่นนั้นเก่งเหนือใครๆ คิดว่าฉันไม่รู้รึไงว่าความจริงแล้วตระกูลเหวินนั้นถูกทำลายยังไง?” สวีจิ่วหลิงพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ “ตอนที่ตระกูลเหวินทำลายตระกูลฉีนั้น พวกเขาอาศัยช่วงที่ฉีเวิ่นติ่งป่วยหนักไม่ได้สติอยู่บนเตียง เข้าโจมตีในตอนที่ศัตรูกำลังอ่อนแออยู่ ต่อมาฉีเวิ่นติ่งก็ฟื้นขึ้นมา ด้วยความโมโหที่อยากจะเอาคืน เขาจึงหันมาสนับสนุนทายาทคนสุดท้ายของตระกูลฉีที่ระหกระเหินอยู่ต่างแดน ฉีหยิ่น”

“การล่มสลายของตระกูลเหวิน จะต้องเป็นฝีมือของฉีเวิ่นติ่งแน่นอน! แต่เพื่อต้องการสนับสนุนคนรุ่นหลัง เพื่อให้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ จึงได้ประกาศออกมาว่าฉีหยิ่นเป็นคนทำ ทำให้ฉีหยิ่นได้ความชอบไปแบบฟรีๆ” สวีจิ่วหลิงค่อยๆ พูดออกมา “ฉันน่ะ ถ้าไม่เห็นแก่ตระกูลฉีที่เหลือทายาทคนสุดท้าย จนแตะต้องไม่ได้ เพราะมันอาจทำให้ฉีเวิ่นติ่งเป็นบ้าได้ ฉันคงจัดการกับไอ้อ่อนตระกูลฉีที่บ้าคลั่งนั่นไปนานแล้ว!”

คนที่สวีจิ่วหลิงกลัวจริงๆ นั้นไม่ใช่ฉีหยิ่น แต่เป็นปู่ของฉีหยิ่น ฉีเวิ่นติ่งต่างหาก

ถึงฉีเวิ่นติ่งจะเกษียณไปนานแล้ว แต่คนคนนี้ก็เป็นขุนนางที่มีความชอบมาตั้งแต่สมัยก่อตั้งประเทศแล้ว เส้นสายกับอำนาจที่มีนั้นน่ากลัวมาก ถ้าต้องสู้กันจริงๆ มันก็อาจจะทำให้ตระกูลสวีถึงขั้นล่มสลายได้เลย

ดังนั้น ฉีหยิ่นที่เป็นทายาทเพียงหนึ่งเดียวของตระกูลฉีนั้นเขาไม่อยากจะไปยุ่งด้วยเลย

“ฮึ คุณรู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับตระกูลเหวินรึเปล่า? ผมพยายามตรวจสอบหลายรอบแล้วแต่ก็ไม่สามารถสืบหาความจริงได้เลย” กงจิ่วส่ายหน้า “แต่ผมจะบอกอะไรคุณไว้นะครับ การหมดสติของฉีเวิ่นติ่ง มีใครบางคนอยู่เบื้องหลัง การที่ตระกูลเหวินทำลายตระกูลฉี ก็มีอำนาจขนาดใหญ่คอยหนุนหลังอยู่เหมือนกัน”

“จากข้อมูลที่ผมได้มา ตอนที่ตระกูลเหวินถูกทำลายนั้นฉีเวิ่นติ่งยังไม่ได้สติเลย จุดนี้ผมสามารถยืนยันได้ แม้แต่พิษในร่างกายของฉีเวิ่นติ่งก็ได้ฉีหยิ่นนี่แหละที่ช่วยเอาไว้” กงจิ่งพูดออกมาอย่างใจเย็น

“ถ้าไม่ใช่ฉีหยิ่นที่ปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหันละก็ เห็นทีแผนการถึงตายที่ตระกูลฉีถูกผู้อยู่เบื้องหลังตระกูลเหวินวางไว้คงไม่มีใครช่วยได้แน่นอน”

กงจิ่วค่อยๆ ไล่เรียงออกมา เปิดเผยข้อมูลลับที่น่าตกใจออกมาทีละน้อย

“ผู้อยู่เบื้องหลังของตระกูลเหวินในตอนนั้นคืออะไร?” สวีจิ่วหลิงทำหน้าไม่เข้าใจ

“ผมเคยสืบเรื่องนี้ดูแล้ว แต่ก็ไม่ได้อะไรเลย แต่ว่ามันก็ไม่มีผลอะไรกับผม” กงจิ่วพูดออกมาเบาๆ

“สิ่งที่ผมสนใจคือ ฉีหยิ่นมันทำลายแผนการของผมที่อยู่มีต่อตระกูลนิ่ง! เดิมที ตระกูลนิ่งได้ถูกองค์กรของเราควบคุมไว้แล้ว”

“ดังนั้น องค์กรของเราจึงจำเป็นต้องฆ่าฉีหยิ่นให้ได้!”

ตอนที่กงจิ่วพูดคำพูดเหล่านั้นออกมา จิตสังหารที่ถูกส่งออกมาจากแววตาของเขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน

ถ้าจู่ๆ หลินอิ่งไม่โผล่ออกมา ตระกูลนิ่งก็คงตกอยู่ในกำมือของเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว

ตอนแรกที่หลินอิ่งประกาศว่าจะไปที่ตระกูลนิ่ง มันส่งผลให้แผนการที่องค์กรของพวกเขาวางไว้กับตี้จิงวุ่นวายไปหมด

ด้วยเหตุนี้ กงจิ่วยังยอมเสียเงินมากมายเพื่อสืบหาตัวตนที่แท้จริงของหลินอิาง

แต่น่าเสียดาย เขาสืบรู้แค่ว่าหลินอิ่งนั้นเป็นฉีหยิ่นของตระกูลฉีแห่งตี้จิงเท่านั้น ส่วนข้อมูลอื่นๆ ก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย

ที่สำคัญ ตอนที่สืบไปจนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตระกูลเหวินนั้น ก็ไม่สามารถสืบต่อได้อีก ตระกูลเหวินได้ปิดเรื่องนี้ไว้ลึกมาก จนไม่สามารถสืบหาอะไรได้เลย

ส่วนทางด้านอาจารย์ของหลินอิ่งนั้นก็สืบต่อไม่ได้เหมือนกัน เพราะไม่มีข้อมูลอะไรเลย

แต่กงจิ่วก็ยังสามารถมั่นใจได้ว่า คนที่เคยเป็นอาจารย์ของหลินอิ่งคนนั้นได้มีอำนาจขนาดใหญ่ของประเทศหลุงซ่อนอยู่แน่ๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถจัดการกับตระกูลเหวินลงอย่างง่ายดายแบบนี้หรอก

ด้วยเหตุนี้ กงจิ่วจึงได้ร่วมมือกับตระกูลที่มีอำนาจของประเทศหลุงเพื่อจัดการกับหลินอิ่ง

สวีจิ่วหลิงทำหน้าตกใจ จ้องเขม็งมาที่กงจิ่ว จากนั้นก็ถามไปว่า “คุณ คุณหมายความว่ายังไง? คุณควบคุมตระกูลนิ่งเหรอ? กงจิ่ว ตกลงคุณเป็นใครกันแน่?”

“กงจิ่ว เป็นแค่นามแฝงเท่านั้น ผมเป็นใครนั้นมันไม่สำคัญหรอก” กงจิ่วพูดออกมาอย่างใจเย็น สิ่งที่คุณต้องรู้คือตระกูลสวีของคุณไม่สามารถปฏิเสธการร่วมมือกับผมได้ เพราะตระกูลสวีของคุณไม่เคยมีมังกรอย่างฉีกยื่นปรากฏออกมาก่อน”

“ผม มาจาก สำนักยุทธ์เชียนแห่งต้าเหอ”

เมื่อกงจิ่วเปิดเผยตัวตน สวีจิ่วหลิงก็ตกใจจนแสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา เปลือกตาเอาแต่กระตุกไม่ยอมหยุด

หลังจากเงียบไปพักใหญ่ สวีจิ่วหลิงก็ถอนหายใจแล้วพูดไปว่า “ที่แท้คุณก็เป็นคนของ สำนักยุทธ์เชียนนี่เอง ฉันเสียมารยาทแล้วแต่ว่า ฉันก็ยินดีที่จะร่วมมือกับคุณ ร่วมมือกับคุณเพื่อจัดการกับตระกูลฉี! จัดการฉีหยิ่น!”

กงจิ่วยิ้มออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดไปว่า “คนที่สามารถปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยนั้นถึงจะเป็นคนที่ฉลาดอย่างแท้จริง คุณท่านสวีคุณทำตามที่ผมบอกเถอะครับ……ฉีหยิ่น ไม่ช้าก็เร็วมันต้องตายด้วยน้ำมือของเราแน่นอนครับ!”

……

สองวันหลังจากนั้น

ตี้จิง ชานเมือง อำเภอหลงซิง

หลินอิ่งพาฮาเดสนั่งรถมาที่เมืองโบราณเล็กๆ แห่งหนึ่งในอำเภอหลงซิง

วันนั้นหลังจากที่จัดการกับ คุณชายชีซิงไปและบังคับให้สวีไป๋เห้อคุกเข่าลงได้

เบื้องหน้าตระกูลสวีก็ยอมจำนนแต่โดยดี

แม้แต่สวีฉางเฟิงที่เอาแต่ก่อปัญญาอยู่ที่เขตหัวหยางยังถูกสวีจิ่วหลิงเรียกกลับตระกูลสวีในคืนนั้นเลย และถูกกักบริเวณห้ามไม่ให้ออกจากไว้ที่วิลล่าตงหลิงเด็ดขาด

ที่สำคัญ สวีจิ่วหลิงยังโทรไปขอโทษฉีเวิ่นติ่งด้วยตนเอง เพื่อเป็นการแสดงถึงความอ่อนข้อ แถมยังยกเขตหัวหยางให้ไปเพื่อแสดงถึงความจริงใจ

คุณท่าตั้งใจโทรมาบอกกับตนเองว่าจะยอมปล่อยตระกูลสวีไปก่อน จากนั้นก็พูดถึงชีซิงกรุ๊ปด้วยว่า ถ้าชีซิงกรุ๊ปกล้ามาหาเรื่องตัวเองที่ประเทศหลุงละก็ เขาก็พร้อมที่จะสั่งการเส้นสายที่มีในตี้จิงทุกเมื่อ

กับเรื่องนี้ หลินอิ่งนั้นไม่ได้สนใจอะไรมาก

ถ้าตระกูลสวีกล้ากร่างอีกก็แค่กระทืบให้คุกเข่าลงอีกครั้งก็พอ

แค่ตระกูลเล็กๆ อย่างตระกูลสวี เป็นอากาศยังไม่ได้เลย

สิ่งที่หลินอิ่งสนใจคือ ข้อมูลของตระกูลเหวินต่างหาก

เขาได้ตัดสินใจแล้ว ว่าพรุ่งนี้ตอนที่จี้ฉงซานกลับเมืองก่าง เขาจะลงมือตอนนั่นแหละ

จี้ฉงซานมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับตระกูลเหวิน ส่วนอำนาจที่อยู่เบื้องหลังตระกูลเหวินนั้นก็มองข้ามไม่ได้เหมือนกัน มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะรู้เรื่องการมีอยู่ของแก๊งมังกร รู้ตัวตนที่แทนจริงประมุขของตัวเอง

เป็นคู่ต่อสู้ที่น่านับถือทีเดียว เรื่องนี้มันสำคัญมาก

ดังนั้น หลินอิ่งจึงตัดสินใจสั่งการองครักษ์มังกรของแก๊งมังกรที่แฝงตัวอยู่ในตี้จิง!

การที่ต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังที่ลึกลับแบบนี้ก็ต้องใช้องครักษ์มังกรนี่แหละ

ก่อนหน้านี้กงจิ่วผู้ลึกลับที่แอบควบคุมตระกูลนิ่ง อำนาจที่อยู่เบื้องหลังตระกูลเหวิน ต่างก็เป็นตัวตนที่แข็งแกร่งเกินกว่าบุคคลในยุทธภพไปแล้ว พวกหยูจื๋อเฉิงเสิ่นซาน เป็นไปได้ยากมากที่คนพวกนี้จะกลายเป็นจุดสำคัญขึ้นมาได้ และยากมาที่จะสืบหาอะไรเจอ

หลังจากหลินอิ่งลงจากภูเขามา นี่คือครั้งแรกเลยที่เขาใช้งานองครักษ์มังกรแบบนี้

ในปีนั้นก่อนที่อาจารย์จะจากไป ก็เคยสั่งปิดภูเขามาก่อน สั่งให้ทุกๆ คนในแก๊งมังกรให้เข้าสู่ภาวะจำศีล แช่แข็งกำลังทั้งหมดในยุทธภพไว้ รอคอประมุขแก๊งรุ่นต่อไปขึ้นเขา ถ้าสมาชิกของแก๊งมังกรได้รับคำสั่งถึงมีสิทธิ์ปรากฏตัวในยุทธภพอีกครั้ง

เพราะทุกการเป็นไปของใต้หล้า ประชาชนทุกคนต่างก็มีส่วนรับผิดชอบกันทั้งนั้น

ความสามารถของคนคนหนึ่งยิ่งยิ่งใหญ่เท่าไหร่ ความรับผิดชอบก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

เมื่อผ่านจุดเป็นจุดตายไป แล้วแก๊งมังกรไม่มีประมุขที่มีความสามารถมาคอยควบคุมดูแล มันอาจก่อให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ก็ได้ ต้องรู้ก่อนว่า อำนาจของแก๊งมังกรนั่นกระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก มีสำนักอู่เหมินสิบสองอยู่ใต้บัญชาถ้าเกิดมีการเคลื่อนไหวขึ้นมามันก็สามารถสร้างผลกระทบกับนานาประเทศได้เลย

ถ้าแก๊งมังกรเกิดวุ่นวายขึ้นมา มันก็ไม่ต่างอะไรกับวันสิ้นโลกเลย!

ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้กำชับนักกำชับหนา ขอให้ก่อนที่หลินอิ่งจะบรรลุถึงขั้นเทพได้ก็อย่าเพิ่งเปิดเผยความสามารถแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่แค่ให้หลินอิ่งตั้งใจฝึกฝนตนเอง มันยังเป็นการปกป้องหลินอิ่งจากศัตรูของแก๊งมังกรไปด้วยในตัว

วันนี้เมื่อหลินอิ่งลงจากเขา มีความสามารถมากพอที่จะกดดันเหล่าผู้มีอำนาจทั้งหลาย และสามารถควบคุมแก๊งมังกรได้ทั้งหมด!

หลินอิ่งลงจากรถ เดินเข้าไปในเมื่อโบราณเล็กๆ นั่น เดินผ่านถนนแบบย้อนยุคหลายเส้น เดินมาจนถึงหน้าวัดเต๋าซานซิงที่ดูทรุดโทรม

ดวงตาของเขาหมุนวน ฮาเดสก็ยืนรออยู่นอกวัดด้วยความสุภาพ

วัดเต๋าซานซิงแห่งนี้ค่อนข้างทรุดโทรม บนเสาเต็มไปด้วยใยแมงมุม เหมือนไม่มีคนมาจุดธูปนานมากแล้ว

หลินอิ่งมองไปแวบหนึ่ง ยืนเอามือไขว้หลัง แล้วก้าวเข้าไปในตัววิหาร

ภายในวิหารไม่มีคนอยู่เลย มีเพียงรูปปั้นซานซิงที่ดูเคร่งขรึมตั้งอยู่กลางห้อง

หลินอิ่งขมวดคิ้ว ในวัดไม่มีคนเลยเหรอ? วัดแห่งนี้ ได้มีบุคคลในลัทธิที่ชื่อยามมังกรเขียวซ่อนตัวอยู่

“ไม่ทราบว่าแขกผู้มาเยือนเป็นใครกัน?”

ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีเสียงที่แก่ชราคนหนึ่งดังมาจากหลังวิหาร

แล้วเห็นชายชราผมชาวที่สวมชุดนักบวชเก่าๆ คนหนึ่งเดินเข้าวิหารมา เห็นแล้วทำให้รู้สึกถึงความเป็นเทพมาก

ชายชราในชุดนักเต๋ามีสีหน้าที่เรียบเฉย จ้องมองหลินอิ่งด้วยแววตาที่ปราดเปรื่อง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท