ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่366 ใครไม่อยากตายก็ไสหัวไป

บทที่366 ใครไม่อยากตายก็ไสหัวไป

“แกกล้าใช้กำลังที่หน้าร้านอาหารหลุยกงอย่างนั้นเหรอ? แกได้ตายแน่!”

“โทรหาเลขาใหญ่ฟาง! บอกเขาว่าเกิดเรื่องขึ้นที่หน้าร้านอาหารหลุยกงแล้ว!”

รปภ.ที่อยู่หน้าประตูร้านอาหารหลุยกงเริ่มรู้สึกร้อนรนขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความโมโห

อย่างที่โบราณว่าไว้ ว่าคนเฝ้าประตูของขุนนางก็พลอยมียศที่สูงศักดิ์ไปด้วย เหมือนกันคนพวกนี้ที่เป็นคนเฝ้าประตูของร้านอาหารหลุยกงแขกที่ต้อนรับทุกวันก็มีแต่พวกคนใหญ่คนโตกับพวกมหาเศรษฐี ต่างก็ให้ความเกรงใจกับพวกเขาทั้งนั้น มันจึงทำให้พวกเขาติดเป็นนิสัยวางท่าใหญ่โต ไม่มีทางที่จะทนกับการกระทำที่หยิ่งยโสของหลินอิ่งได้อยู่แล้ว

พรึบพรับ

บอดี้การ์ดที่ดูทะมัดทะแมงกลุ่มหนึ่งเดินออกมาจากในร้านอาหารหลุยกง ทุกคนต่างก็ทำหน้าทำตาดุดัน ดูแล้วน่าจะเป็นทหารมือดีที่ปลดประจำการการแล้วแน่ๆ

“แกเป็นใคร? มาหาคุณท่านจี้ทำไม?”

ชายวัยกลางคนร่างผอมบางที่เป็นหัวหน้า เขาสวมแว่นกับชุดสูทที่ดูเรียบร้อย สีหน้ามั่นใจแล้วใช้สายตาพิจารณาหลินอิ่ง

“วันนี้ ผมมาหาแค่จี้ฉงซานเท่านั้น คนที่ไม่เกี่ยวหลบไป” หลินอิ่งพูดด้วยนำเสียงที่เรียบเฉย แต่มันกลับแฝงไปด้วยความน่าเกรงขามอันยากที่จะขัดขืนได้

ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขากำลังอึ้งกับบรรยากาศที่หลินอิ่งส่งออกมา

“แกจี้เป็นแขกคนสำคัญของร้านอาหารหลุยกง การที่แกมาก่อความวุ่นวายเพื่อหาเรื่องคุณท่านจี้ มันก็เท่ากับไม่ให้เกียรติร้านอาหารหลุยกงแห่งนี้!” ชายวัยกลางคนพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “แกคิดให้ดีๆ นะ ว่าแกกล้ามีเรื่องกับคุณหลุยกงรึเปล่า?”

คนที่เป็นเลขาคนสนิทของหลุยกง การที่เขาติดตามหลุยกงมาตั้งหลายปีไม่รู้ว่าเคยผ่านเหตุการณ์ใหญ่มาแล้วเท่าไหร่

แต่ก็ยังไม่เคยเคยวัยรุ่นที่ไม่รู้จะที่ต่ำที่สูงแบบนี้มาก่อนเลย

ล้อเล่นอะไรกัน การมาทำตัวเหิมเกริมอยู่หน้าร้านอาหารหลุยกงและท้าทายอำนาจของหลุยกงแบบนี้ เขาคิดว่าตัวเองมีกี่ชีวิตกัน?

“เลขาใหญ่ฟางเกิดอะไรขึ้นครับ? มีคนมาหาเรื่องคุณท่านจี้เหรอครับ?”

ตอนนั้นเอง ก็ได้มีเสียงของชายคนหนึ่งดังขึ้น

เห็นแต่บอดี้การ์ดที่แผ่รังสีอำมหิตจากร่างกายเดินออกจากร้านอาหารหลุยกงมา คนที่เป็นหัวหน้า ดูจากหน้าตาแล้วเห็นได้ชัดว่าเป็นคนอาเซียน แววตาที่เยือกเย็นเหมือนงูกำลังจับจ้องมาที่หลินอิ่ง

“คุณลู่หนันครับ คนคนนี้ประกาศว่าจะมาจะคุณท่านจี้ คุณรู้จักเขารึเปล่าครับ?” เลขาใหญ่ฟางถาม

ลู่หนุนหรี่ตาพิจารณาหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่ดูถูก จากนั้นก็ขำออกมาอย่างไม่ชอบใจแล้วพูดขึ้นว่า “แกเป็นพวกเดียวกับหยูจื๋อเฉิงใช่มั้ย? มาหาหยูจื๋อเฉิงสินะ?”

“ฉันจะบอกให้แกรู้ไว้แล้วกัน ฉันเป็นคนกระทืบคนของหยูจื๋อเฉิงเอง และฉันนี่แหละที่เป็นคนเอาตัวหยูจื๋อเฉิงมาเองแล้วแกจะทำอะไรได้? ไอ้ขยะ!” ลู่หนันมองหลินอิ่งด้วยสายตาที่เหยียดหยาม เขาตะคอกใส่หลินอิ่ง พร้อมกับใบหน้าที่ไม่หวั่นเกรงใดๆ

เขาไม่สนใจหรอกว่าหลินอิ่งเป็นใคร เพราะเมื่ออยู่ในร้านอาหารหลุยกงใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้ทั้งนั้น!

“ประธานหลิน ไอ้ต่างชาตินี่แหละครับที่เป็นคนพาลูกพี่หยูไป คนคนนี้ค่อนข้างแข็งแกร่งเลยครับ” บอดี้การ์ดใส่สูทคนหนึ่งเดินมาข้างๆ หลินอิ่ง เขาจ้องเขม็งไปที่ลู่หนัน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม

หลินอิ่งยังคงทำหน้าดังเดิม สายตาจับจ้องไปยังลู่หนัน

“ลูกพี่ลู่พูดถูก แกมันไอ้หน้าโง่ ปัญญาอ่อนรึไง? ถึงได้มาก่อความวุ่นวายที่ร้านอาหารหลุยกงแบบนี้? ช่างน่าขันสิ้นดีจะบอกแกให้รู้ไว้นะ เรานี่แหละที่กระทืบหยูจื๋อเฉิงลูกพี่ของแกน่ะ แล้วแกจะทำอะไรพวกเราได้ห๊ะ?”

“ฮ่าฮ่าไอ้ไก่อ่อน ยังกล้ามาหาเรื่องคุณท่านจี้อีก โง่เง่าสิ้นดี!ไม่รู้จักมองดูตัวเองบ้างเลยว่าอยู่ในฐานะอะไร เป็นแค่เศษเดนที่เข้าไปในร้านอาหารหลุยกงยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”

“ด่าแกแบบนี้แล้วรู้สึกไม่พอใจใช่มั้ย? ฉันจะด่าลูกหมาอย่างแกแล้วมันจะยังไง? อยากทำอะไรเราแต่ก็ไม่กล้าใช่มั้ย? รู้สึกโกรธมาใช่มั้ย?”

หลังจากที่ลู่หนันตะคอกไป พวกลูกน้องที่อยู่ข้างเขาก็พากันพูดจาเหยียบหยามอย่างเหิมเกริม พร้อมกับใบหน้าที่ได้ใจ

“พอแล้ว ไอ้หนู แกตามพวกไร้ค่ามาเยอะขนาดนี้คิดว่ามีประโยชน์เหรอ? รีบไสหัวไปซะ! ร้านอาหารหลุยกง ไม่ใช่ที่ที่คนต่ำต้อยอย่างแกจะเข้าไปได้ ยังกล้าคิดว่าจะไปพบคุณท่านจี้อีก? แกมีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าไปพบคุณท่านจี้มั้ย?” ลู่หนันพูดด้วยท่าทางที่ดูถูก

มุมปากของหลินอิ่งส่งผ่านความรู้สึกที่อำมหิตออกมา พอร่างกายขยับ เขาก็พุ่งตัวออกไปทันที

ป๊าบ!

เสียงที่ลู่หนันถูกตบหน้าดังสนั่นหวั่นไหว ตบจนลู่หนันถึงกับหน้าหันจนทรงตัวแทบไม่อยู่ กระอักเลือดออกมา จากนั้นก็เสียหลักกลิ้งลงบันไดไป

“อ้า!”

ลู่หนันโอดครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด แรงตบในครั้งนี้ทำให้เขาถึงกับหูหนวกไปเลย

หลินอิ่งยกขาขึ้นมาแล้วเหยียบลงไปที่หน้าของลู่หนันอย่างแรง เขาเดินขึ้นบันไดไป สายตาที่เยือกเย็นมองไปยังคนที่ยืนอยู่หน้าร้านอาหารหลุยกง

“แกบ้าไปแล้วรึไง? ถึงกล้ามาใช้กำลังตรงหน้าร้านอาหารหลุยกงแบบนี้?”

“รีบปล่อยลูกพี่ลู่เดี๋ยวนี้นะ!”

ในตอนนี้ พวกลูกน้องของลู่หนันที่กำลังโมโหอยู่นั้น ก็ต้องตกใจกับสิ่งที่หลินอิ่งทำ

ฝีมือของลูกพี่ลู่หนันนั้นพวกเขาเคยเห็นมาแล้ว เขาเป็นถึงแชมป์มวยใต้ดินที่มาจากอาเซียนเลยนะแม้แต่ยอดฝีมืออย่างหยูจื๋อเฉิงยังทนได้ไม่กี่หมัดเอง

ทะ ทำไมถึงถูกไอ้ไก่อ่อนนี้ตบทีเดียวคว่ำเลยล่ะ แถมยังถูกเหยียบอยู่ที่พื้นอย่างต่อต้านไม่ได้เลยด้วยซ้ำ?

“แก!” ลู่หนันจ้องมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าที่ตื่นตกใจ ไม่นึกเลยว่าไอ้หนุ่มนี่จะสามารถล้มเขาได้ในทีเดียว!

ตุบ!

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย เตะเข้าใส่หน้าอกของลู่หนันอย่างจัง ทำลายเส้นเอ็นของเขา หักขาทั้งสองข้างของเขา!

จากนั้นก็เตะใส่ลู่หนันอย่างแรงจนเขากระเด็นออกไปไกลกว่าสิบเมตร และกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง ร่างกายของเขาสั่นไปทั้งตัว เลือดอาบไปทั่วร่าง เหมือนกับหมาตัวหนึ่งที่นอนหมดท่าอยู่ตรงพื้น

“แค่ลูกหมาตัวหนึ่ง ยังกล้ามาทำร้ายคนของฉันอีก?” หลินอิ่งเอยถามด้วยน้ำเสียงที่เรียบเฉย

“” กะ แกคิดจะทำอะไร? ต่อหน้าร้านอาหารหลุยกงยังกล้าทำร้ายคนถึงขนาดนี้เลยเหรอ? แกอยากตายใช่มั้ย?” เลขาใหญ่ฟางถามด้วยสีหน้าที่ตื่นตกใจ

พวกเขาต่างนึกไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าเมินเฉยต่อบารมีของหลุยกงแบบนี้!

“หลุยกงเหรอ?” หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย “เกียรติที่ควรให้หลุยกงฉันก็ให้ไปแล้ว แต่ถ้าหลุยกงยังคิดที่จะเข้าข้างจี้ฉงซานอีกละก็ ฉันก็จะจัดการมันไปพร้อมกันเลย”

“นี่แก! แกนี่มันช่างไม่รู้จะที่ต่ำที่สูงจริงๆ!” เลขาใหญ่ฟางสีหน้าโกรธเกรี้ยว

โอหัง! ช่างโอหังเกินไปแล้ว!

แม้แต่หลุยกงที่เป็นอันดับหนึ่งของตี้จิงยังไม่ไว้หน้าเลยใช่มั้ย?

“ไปรายงานเรื่องนี้ให้ ผอ.หลิวที่กำลังกินข้าวอยู่ที่ตึกลูกค้าพิเศษหน่อย ให้เขามาจัดการกับไอ้คนรนหาเรื่องคนนี้หน่อย” เลขาใหญ่ฟางพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม หันไปสั่งคนที่ตามเขามาข้างๆ

“หัวหน้าหลิน ผมมาแล้วครับ”

ทันใดนั้นเอง รถออฟโรดคันหนึ่งที่สวมป้ายทะเบียนที่ใช้ในทางทหารถูกขับมาจอดที่หน้าร้านอาหารหลุยกง ชายสวมแว่นดำกับชุดสีดำคนหนึ่งก้าวลงจากรถ เขามาพร้อมกับชายหนุ่มชุดดำอีกจำนวนหนึ่งเดินตรงเข้ามา

พอลงจากรถ เขาก็ทำความเคารพแบบทหารให้หลินอิ่งไปทีหนึ่ง จากนั้นก็ถอดแว่นออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แน่วแน่และดุดันของเขา บรรยากาศราวกับเหล็กกล้าปกคลุมอยู่รอบกาย

หลินอิ่งพยักหน้า เนื่องจากเหตุการณ์ของร้านอาหารหลุยกงเกี่ยวข้องกับทางการ ดังนั้นเขาจึงตามหัวหน้าของจื่อหลงซานมาด้วย

“พวกแกมาจากหน่วยงานไหน?” เลขาใหญ่ฟางจ้องมองคนที่หัวหน้าพามาอย่างไม่ชอบใจ

“ไม่พูด? พวกแกฟังให้ดีๆ นะ! ฉันเป็นเลขาธิการคนสำคัญของหลุยกง ฟางหย่วน!” เลขาใหญ่ฟางทำหน้าตาน่าเกรงขาม พูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “พวกแกทุกคน รีบพูดมาเดี๋ยวนี้ ว่าพวกแกมาจากหน่วยงานไหน?”

หัวหน้าไม่มองเลขาใหญ่ฟางเลยด้วยซ้ำ เอาแต่ก้มหน้าให้หลินอิ่งด้วยความเคารพ

“หัวหน้าหลินครับ ขอคำชี้แนะด้วยครับ”

หลินอิ่งส่งสายตา หัวหน้าก็พยักหน้าตอบ กันหลังไป โบกมือ ชายหนุ่มชุดดำข้างกายก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พุ่งขึ้นไปยังบันไดตรงประตูของร้านอาหารหลุยกง แล้วแหวกออกเป็นทางเดิน

“กองพิเศษเว่ยอันจะปฏิบัติภารกิจ ใครที่ไม่อยากตายก็ไสหัวไปซะ!”

น้ำเสียงของหัวหน้ากังวานดังเหล็กกล้า ทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นถึงกับใจสั่นกันเลยทีเดียว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท