ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 372 กำจัดฉู่ซื่อกรุ๊ป

บทที่ 372 กำจัดฉู่ซื่อกรุ๊ป

วันที่สอง

เกาะซิงหวน คฤหาสน์เชียงปิง

ภายในวิลล่าสุดหรู จี้ฉงซานนั่งอยู่บนเก้าอี้ขนาดใหญ่ บนโต๊ะตรงหน้ามีซุปเป็นอาหารเช้าที่พิถีพิถัน

“คุณท่านจี้ หยูจื๋อเฉิงพามาถึงแล้ว”

ชายชาวเอเชียสองคนเดินเข้ามาด้วยท่าทางที่เย็นชา จับชายวัยกลางที่มีรอยฟกช้ำเต็มตัวไว้

ร่างกายของหยูจื๋อเฉิงเต็มไปด้วยเลือด โดนเฆี่ยนตีจนเนื้อตัวลายไปหมด มือและเท้าถูกโซ่ล่ามเอาไว้ ดูท่าทางทรมานมาก คุกเข่าลงกับไม่สามารถขยับได้

“คุณท่านจี้ พวกเราใช้วิธีมากมายในการทรมานแล้ว แต่ว่าทำยังไงหยูจื๋อเฉิงก็ไม่ยอมเปิดปากพูด แม้แต่ข้อมูลข่าวสารสักนิดก็ไม่ยอมที่จะเปิดเผย”ชายชาวเอเชียพูดด้วยสีหน้าที่เย็นชา

จี้ฉงซานชิมข้าวต้มเล็กน้อย แล้วพูดอย่างช้าๆ “คุณหยู คุณแค่จำเป็นต้องบอกเรื่องของหลินอิ่งให้ฉัน ก็ไม่ต้องมาทนรับความเจ็บปวดและทรมานอย่างนี้แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมพูดล่ะ?”

“นายแค่ให้ความร่วมมือบางเรื่องกับฉัน นายก็จะได้รับความอิสระ กลับไปสู่จุดสูงสุดของชีวิตอีกครั้ง ยังไม่ยินยอมอีกหรอ?”

“ฉันสามารถรับรองได้ว่า ขอแค่นายมาอยู่ฝ่ายฉัน ต้องดีกว่าตอนที่อยู่กับหลินอิ่งแน่นอน”

“หมาแก่อย่างนายกำลังฝันอยู่หรอ”หยูจื๋อเฉิงพูดอย่างเฉยเมย

เขามีบาดแผลเต็มตัว แต่สายตายังคงแหลมคม

ป๊าบ!

ชายชาวเอเชียที่อยู่ด้านข้างก็ยืนมือแล้วตบไปยังหน้าของหยูจื๋อเฉิง ตีจนมุมปากของเขาออกเลือด

“อย่างกับหมา ยังกล้ามาอวดดีต่อหน้าคุณท่านจี้? นายคิดว่ายังเป็นราชาแห่งตี้จิงอีกอยู่หรอ? ตอนนี้นายเป็นแค่หมาตัวหนึ่งที่พวกเราจะจัดการเมื่อไหร่ก็ได้!”ชายชาวเอเชียพูดอย่างเยาะเย้ย

ป๊าบๆๆๆๆ!

ตบทีเดียวเจ็ดแปดครั้ง ตบอย่างหนักๆที่หัวของหยูจื๋อเฉิง ตบจนหัวเขาแตก แต่เขากัดฟันแน่นไม่ยอมพูดอะไร

“หึๆ……” จี้ฉงซานหัวเราะแห้งๆสองครั้ง “สมกับที่เป็นเจ้าพ่อแห่งตี้จิง ถึงขั้นต้องใช้เก้าอี้ไฟฟ้า ยังคงความน่าเกรงขาม”

“นายก็เป็นคนฉลาดคนหนึ่ง ฉันไม่เข้าใจจริงๆ ในนายยังยึดมั่นอะไรอีก? นายช่วยฉันหลอกล่อหลินอิ่ง บอกข้อมูลเล็กๆน้อยๆ สำหรับนายแล้วนี่เป็นเรื่องง่ายๆ ทำไมนายถึงไม่ยอม?”จี้ฉงซานพูดด้วยใบหน้าที่สงสัย “ธรรมดาของคนเราต้องไล่ตามเงินทองและชื่อเสียงไม่ใช่หรอ? ถ้านายเลือกที่จะอยู่ฝ่ายฉัน แน่นอนว่านายจะได้ผลประโยชน์ที่มากกว่า แต่ไม่ว่าให้ตายนายก็ยังจะเลือกที่จะอยู่กับหลินอิ่ง?”

หยูจื๋อเฉิงแค่ยิ้มเย้ย ไม่ได้สนใจจี้ฉงซาน

ในสายตาของจี้ฉงซานที่เป็นนายทุนรายใหญ่มีแต่ผลประโยชน์ จะไม่เข้าใจว่าความยุติธรรมและความซื่อสัตย์คืออะไร

จี้ฉงซานคนนี้ แม้แต่ประเทศชาติก็ยังสามารถชั่งขายเพื่อแลกกับเงินได้

ดังนั้น คนประเภทนี้ไม่เข้าใจว่าอะไรคือศีลธรรม ความอัปยศ ความเมตตา การตอบแทนบุญคุณ ก็เป็นเรื่องปกติ

“ไม่จักประมาณตน! ลากมันลงไป ทรมานมันต่อไป แต่อย่าให้ถึงกับตาย!”จี้ฉงซานพูดอย่างเยาะเย้ย

ชายชาวเอเชียสองคนลากหยูจื๋อเฉิงออกไป เหลือไว้เพียงรอยเลือดเป็นทาง

ชายชาวเอเชียเพิ่งลากหยูจื๋อเฉิงออกไป ชายหนุ่มที่สวมเสื้อคอจีนก็เดินเข้ามาทางประตู เป็นผู้เฒ่าอายุประมาณห้าสิบกว่า

”หลิวสฺยง ช่วงนี้ในเมืองตี้จิงมีข่าวคราวอะไรมั้ย? สนามบินนานาชาติเมืองก่าง และที่ทางเข้าศุลกากรทางนั้น ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรเลยหรอ?”จี้ฉงซานพูดอย่างเคร่งขรึม

“คุณจี้ ทางด้านตี้จิงไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเลย หลินอิ่งยังคงทำตัวลึกลับ ไม่ปรากฏตัว ดังนั้นผมก็ไม่แน่ใจว่าเขาได้เดินทางมายังเมืองก่างแล้วหรือยัง” หลิวสฺยงพูดอย่างเคร่งขรึม “เมื่อคืนทางด้านเมืองก่าง ที่ประตูหน้าบ้านของพวกเรา เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย”

“ออ? เกิดอะไรขึ้น?”จี้ฉงซานถาม

เมื่อคืนที่สนามบินนานาชาติเมืองก่าง ลูกชายของเลี่ยวจ้งชิวซิ่งรถที่ถนนในสนามบิน มีปัญหากับคนสองคนที่โหดร้าย สุดท้ายท่านประธานของกลุ่มเตียนหนันฉู่เภสัชกรรมตระกูลฉู่ออกหน้าจัดการ มือหักไปหนึ่งข้าง เพราะเรื่องนี้เลี่ยวจ้งชิวต้องไปขอโทษด้วยตัวเอง”หลิวสฺยงพูดอย่างเคร่งขรึม

“ผมได้ทำการไปสืบเรื่องนี้มาแล้ว ได้ข้อมูลที่สำคัญมาก จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่พวกเราเคยได้มา และวิดีโอที่เราได้จากกล้องวงจรปิดของเมื่อคืน สามารถแน่ใจได้ว่า เมื่อคืนเป็นหลินอิ่งได้พาบอดี้การ์ดมายังเมืองก่างแล้ว”

“หลินอิ่งมาจริงๆด้วย”จี้ฉงซายพูดด้วยสายตาที่มั่นใจ “หึ เจ้าเล็กตระกูลฉี นายคงคิดไม่ถึงสินะ ไม่ว่าจะมีการเคลื่อนไหวใดๆในเมืองก่าง ไม่อาจจะคลาดสายตาของฉันได้”

“ใช่สิ หลิวสฺยง นายแน่ใจใช่ไหมว่าหลิงอิ่งมีความเกี่ยวข้อกับคนของตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน?” จี้ฉงซานขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วพูอย่างครุ่นคิด

“คุณท่านจี้ มั่นใจได้แน่นอน! เมื่อคืนบอดี้การ์ดข้างกายของหลินอิ่งเป็นคนเริ่มลงมือกับลูกชายของเลี่ยวจ้งชิวก่อน ผ่านไปไม่นาน ท่านประธานของกลุ่มเภสัชกรรมตระกูลฉู่สงซาน ก็เป็นคนพาขบวนรถมาด้วยตัวเอง” หลิวสฺยงพูดอย่างเคร่งขรึม

“ตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน ฉู่สงซาน……” แววตาจี้ฉงซานเป็นประกาย “หึ ฉู่สงซานยังมีความเกี่ยวข้องกับหลินอิ่ง? ตระกูลฉู่แห่งเตียนหนานถือว่าเก่งมากในภูมิภาคตะวันออกฉียงใต้ แต่ว่าในเมืองก่าง ยังไงคำพูดของฉันมีอำนาจมากที่สุด”

การดำรงอยู่ของตระกูลฉู่แห่งเตียนหนานคือสิ่งที่ทำให้จี้ฉงซานกลัว แต่ว่าในพื้นที่ในเมืองก่าง แต่ว่าการดำรงอยู่ของเขาก็เหมือนกับราชาท้องถิ่น

ครุ่นคิดไปสักพัก จี้ฉงซานถาม “ตอนนี้ หลินอิ่งอยู่ไหน?”

“คุณจี้ หาหลินอิ่งไม่เจอแล้ว หลังจากที่ออกจากสนามบินก็หายตัวไปเลย เราได้ทำการกำลังตามลืบอย่างลับๆอยู่”หลิวสฺยงพูดอย่างเคร่งขรึม

จี้ฉงซานพยักหน้าแล้วพูด “รีบหาที่อยู่ของหลินอิ่งออกมา แต่ว่าอย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น นายต้องคอยสังเกตการณ์ของฉู่สงซานตลอดเวลา จับตามองเขาไว้ ในไม่ช้าก็จะเจอหลินอิ่งแน่นอน”

“นอกจากนี้ หลิวสฺยง ตอนนี้นายรีบมาตรการกับกลุ่มเภสัชกรรมตระกูลฉู่ภายในหนึ่งอาทิตย์ ให้พวกเขาไม่มีธุรกิจทำ ทุบหุ้นในตลาดหุ้นของเขาให้หมด!” จี้ฉงซานพูดด้วยสายตาที่เย็นชา “ กล้าที่จะมีความยุ่งเกี่ยวกับหลินอิ่ง ก็อย่าคิดว่าอยู่ในเมืองก่างแล้วจะมีข้าวกิน!”

“ครับ คุณจี้ ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย?” หลิวสฺยงก้มหัวแล้วพูด

……

เมืองก่าง เขตเหอผิง หยูติ่งเฉิง

ร้านอาหารผองเฟย ในร้านอาหารสไตล์ตะวันตกที่หรูหรา บนโต๊ะกลมโต๊ะหนึ่ง คริสนั่งอยู่ข้างหนึ่งอยากสงบ ตรงข้ามมีชายวัยกลางที่สวมชุดสูทนั่งอยู่

“คุณหวู่เฟย เงื่อนไขของผมอยู่ในสัญญาการค้าฉบับนี้ ผมเชื่อว่า ทางฝ่ายของคุณไม่มีทางปฏิเสธผมแน่นอน”คริสพูดด้วยรอยยิ้ม

ในมือของหวู่เฟยมีเอกสารฉบับหนึ่ง หน้าตาตื่นตระหนกแล้วพูดว่า ”คุณคริส คุณไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? คุณจะก่อตั้งบริษัทและพัฒนาต่อในเมืองก่างในนามของคุณเอง? และยังจะซื้อหุ้นของผมในอสังหาริมทรัพย์ผองเฟย?”

“จริงๆแล้ว คุณคริส ถึงแม้ว่าเราจะร่วมงานกันมาหลายปี แต่ว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแข่งขันระหว่างผมและโม่เก๋อติงผมไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย” หวู่เฟยพูดด้วยสีหน้าหนักใจ “อีกอย่าง ในฐานะเพื่อนเก่า ผมสามารถบอกกับคุณโดยตรงว่า ผมไม่เชื่อว่าคุณจะสามารถเอาชนะโม่เก๋อติงในด้านธุรกิจในเมืองก่างได้ แลคุณก็ไม่สามารถแย่งอำนาจการควบคุมลาตินกรุ๊ปในเมืองก่างจากมือของโม่เก๋อติงได้ ในที่นี้ โอกาสที่จะชนะของคุณมีน้อยมาก”

ใบหน้าของคริสยังคงมีรอยยิ้มไว้แล้วพูดว่า “หวู่เฟย เพื่อนเก่าของผม คุณไม่สามารถปฏิเสธผลประโยชน์มากมายมหาศาลที่ผมให้คุณได้หรอก”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท