ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่369 น่าจะฆ่าสองแม่ลูกหลินอิ่งไปตั้งแต่ตอนนั้น!

บทที่369 น่าจะฆ่าสองแม่ลูกหลินอิ่งไปตั้งแต่ตอนนั้น!

เช้าวันต่อมา

หลินอิ่งพาฮาเดสมาถึงที่สนามบินนานาชาติตี้จิง ทั้งคู่ขึ้นเครื่องที่จะเดินทางไปเมืองก่าง

หลังขึ้นมาบนเครื่องเขาก็นั่งลงอย่างสงบ

เสียงกลิ้งดังขึ้น

มือถือของเขาดังขึ้น นายคริสเป็นคนโทรมา

“ฮัลโห ประธานหลิน ข้าน้อยได้พาคนมาถึงที่เมืองก่างแล้วครับ ข้าน้อยได้ไปที่ส่วนกลางของลาตินกรุ๊ปมาแล้วครับ” เสียงที่นอบน้อมของนายคริสดังมาจากในสาย

“สถานการณ์ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง? ที่ลาตินกรุ๊ปในเมืองก่าง คุณสามารถสร้างผลกระทบได้มากแค่ไหน” หลินอิ่งถามไปอย่างเรียบเฉย

“ประธานหลินครับ ข้าน้อยได้พบกับโม่เก๋อติงที่อยู่ลาตินกรุ๊ปในเมืองก่างแล้วครับ เขามีความกังวลและความแค้นกับข้าน้อยมาก” นายคริสตอบ “การที่ข้าน้อยอยู่ที่นี่ ตำแหน่งตัวแทนของเอเชียแปซิฟิกนั้นไม่มีอำนาจที่จะทำอะไรเลยครับ”

“จริงด้วย ประธานหลิน เซียวซื่อกรุ๊ปของประเทศMมีสาขาอยู่ที่เมืองก่างด้วยครับ พวกเขามีเส้นสายที่กว้างขวางมาก” นายคริสพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เรื่องเมื่อคราวก่อน เซียวซื่อกรุ๊ปก็จับตาดูผม ครั้งนี้ที่มาเมืองก่สง คนของพวกมันก็ได้ทักทายผมอย่างไม่ไว้หน้าแล้วครับ……”

“หือ?” หลินอิ่งสนใจขึ้นมาเล็กน้อย “เป็นบริษัทที่อยู่เบื้องหลังเซียวจวงคราวก่อนใช่มั้ย? ดีมาก?”

“คุณไปตรวจสอบคู่แข่งของคุณที่ชื่อโม่เก๋อติงนั้นอย่างละเอียด พอผมไปถึงก็จัดการเขาซะ” หลินอิ่งพูดออกมาอย่างเรียบเฉย

“ครับ!” นายคริสตอบด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้น

นายคริสรู้สึกได้เลยว่าประธานหลินกำลังจะพาเขาบิน จะได้เป็นนายคนแล้ว!

นายคริสที่เป็นถึงตัวแทนของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในลาตินกรุ๊ป ความจริงเขาควรมีอำนาจล้นฟ้าแล้ว

แต่ที่น่าเสียคือ ทางสำนักงานใหญ่กลับส่งโม่เก๋อติงมาขัดขวางเขาที่ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกซะได้

นายคริสนั้นดูผิวเผินแล้วก็เป็นคนมีหน้ามีตา เหมือนมีอำนาจอยู่เต็มมือ แต่ความจริงแล้วเขาเป็นแค่ตัวแทนเท่านั้นเส้นสายในสำนักงานใหญ่ก็เทียบกับโม่เก๋อติงไม่ติดเลย

แค่สำนักงานใหญ่ของลาตินกรุ๊ปส่งหนังสือมา เขาก็สามารถสูญเสียทุกอย่างที่เป็นของตัวเองได้ทันทีเลย

ประธานหลินเคยพูดเอาไว้ว่า จะมอบมันให้กับเขา เป็นอำนาจจริงๆ ช่วยเขาให้สามารถครอบครองลาตินกรุ๊ปได้อย่างสมบูรณ์

นี่ถือเป็นสิ่งที่นายคริสเฝ้าฝันมาโดยตลอด เขารู้สึกว่า วันนั้นมันใกล้เข้ามาแล้ว……

หลังวางสาย หลินอิ่งก็ยิ้มออกมาด้วยความมั่นใจ

การที่เขามาเมืองก่างในครั้งนี้ เขามาเพียงลำพัง ไม่มีกองกำลังใดๆ ที่สามารถใช้งานได้ในเมืองก่างเลย

การที่จะถอนเขี้ยวจากปากเสือของเศรษฐีอันดับหนึ่ง คนที่บริหารเมืองก่างมานับสิบปี และคนที่ผู้คนต่างขนานนามว่าเจ้าสัวจี้อย่างจี้ฉงซานนั้น มันเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

ดูแล้วอำนาจที่มีมันช่างต่างกันมากจริงๆ

แต่ว่านะ เขาต้องการสิ่งสำคัญแค่สิ่งเดียวเท่านั้น เขาก็สามารถงัดเมืองก่างจนพลิกได้แล้ว

ซึ่งจุดเปลี่ยนนั้นก็คือนายคริสนี่แหละ

แค่ตัวนายคริสเองอาจจะไม่มีความสามารถขนาดนั้น แต่การเปลี่ยนคนที่ไม่มีค่าให้เกิดประโยชน์นั้นเป็นวิธีที่หลินอิ่งถนัดอยู่แล้วการใช้ดาบอย่างนายคริสมาไล่ฟันอาณาจักรธุรกิจของเจ้าสัวจี้ เดี๋ยวจิ้งจอกเฒ่าที่ซ่อนตัวอยู่ก็ถูกกดดันจนออกมาเอง

……

เมืองก่าง เกาะเทียมซิงหวน คฤหาสน์เชียงปิง

นี่คือเกาะเทียมเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่พัฒนาโดยบริษัทวั่นซาน ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมืองก่าง ทุกตารางนิ้วนั้นมีค่ามาก ยังคือสโมสรที่มีชื่อเสียงในแวดวงเศรษฐีของเมืองก่าง

ภายในคฤหาสน์ตรงสนามกอล์ฟขนาดใหญ่ ตอนนี้ได้มีบอดี้การ์ดใส่สูทสีดำสิบกว่าคนยืนตั้งแถวอยู่

หญิงวัยกลางคนที่ดูโดดเด่น รูปร่างผอมบางอยู่ในชุดลำลองสีครีมคนหนึ่งกำลังตีกอล์ฟอยู่

ที่นั่งที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล มีชายชราที่ดูแก่มากๆ คนหนึ่งนั่งอยู่เขามาในชุดสูทที่ดูทางการ ดูจากสีหน้าก็ยังแข็งแรงดีแววตาคู่เปี่ยมไปด้วยสติปัญญา

ใบหน้าของเขา มักจะปรากฏอยู่บนหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งเจ้าใหญ่ของเมืองก่างอยู่บ่อยๆ

ซึ่งเขาก็คือเศรษฐีอันดับหนึ่งของเมืองก่าง จี้ฉงซานนั่นเอง

“คุณท่านจี้ ครั้งนี้ที่ตี้จิงคุณทำได้สวยมากเลยค่ะ คุณคิดว่า ไอ้สารเลวหลินอิ่งของตระกูลฉีนั่นจะโกรธแค้นจนตามมาฆ่าคุณที่เมืองก่างรึเปล่าคะ?”

หญิงวัยกลางคนเดินกลับมาที่นั่งพร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม เธอยกแก้วไวน์ขึ้นมาควงเล่น แล้วพูดด้วยอารมณ์ที่สนุกสนาน

ถ้าหลินอิ่งอยู่ที่นี่ก็จะจำเธอได้ทันที

ผู้หญิงคนนี้ก็คือคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่เลี้ยงของเขา คนที่เคยแฝงตัวอยู่ในตระกูลฉีมาสิบกว่า สุดท้ายก็สังหารฉีเหอถูสามีของตัว นางอสรพิษทีทวางแผนทำลายตระกูลฉี เหวินเทียนเฟิ่งของตระกูลเหวินนั่นเอง

“นายหญิงเหวินพูดชมเกินไป ตามที่ผมคาดการณ์ไว้ ผมคิดว่าหลินอิ่งจะต้องมาหาเรื่องผมที่เมืองก่างแน่นอน เพราะผมได้จับตัวหยูจื๋อเฉิงลูกน้องที่ภักดีของมันมาด้วย ตามที่ผมได้ตรวจสอบหลินอิ่งคนนี้มานะ บุคลิกของคนคนนี้จะเรียกว่าสมบูรณ์แบบเลยก็ว่าได้ ไม่มีงานอดิเรกหรือจุดบกพร่องใดๆ แต่มีจุดอ่อนใหญ่ๆ อยู่จุดหนึ่งก็คือ คนคนนี้ค่อนข้างให้ความสำคัญกับมิตรภาพ ยอมทุ่มสุดตัวเพื่อพวกพ้อง” จี้ฉงซานพูดออกมาอย่างใจเย็น

“หยูจื๋อเฉิงเป็นคนที่เขาปั่นขึ้นมากับมือ ซื่อสัตย์กับเขามาก ด้วยนิสัยของเขานั้นไม่มีทางปล่อยลูกน้องคนนี้ไปแน่นอน”

จี้ฉงซานค่อยๆ พูดออกมา “แต่ว่า การที่หลินอิ่งมายังเมืองก่างแบบนี้ ก็เท่ากับเป็นการรนหาที่ตายเท่านั้น ในเมืองก่างแห่งนี้ ผมมีวิธีนับร้อยที่สามารถทำให้เขาตายอย่างไม่มีที่ฝังศพ”

เหวินเทียนเฟิ่งหัวเราะคริคัก แล้วพูดออกมาว่า “คุณท่านจี้คะ คุณเองก็น่าจะรู้ ว่าฝีมือของหลินอิ่งนั้นเก่งกาจไร้ใครเทียมยากมากที่จะเอาอะไรมาข่มขู่เขา ฉันรู้สึกสงสัยมากเลยค่ะ ว่าคุณจะใช้วิธีอะไรเพื่อฆ่าเขากัน?”

“ผมรู้ หลินอิ่งน่ะเป็นยอดฝีมือที่ไม่เปิดเผยตัวตน คราวก่อนยังจัดการกับกองกำลังลับของตระกูลเหวินด้วยตัวคนเดียวเลย” จี้ฉงซานค่อยๆ พูดออกมา “ในครั้งนี้ลูกน้องที่ผมสั่งให้แฝงตัวอยู่ที่ตี้จิง ก็ถูกเขาถอนรากถอนโคนจนขาดการติดต่อไปแล้วเหมือนกัน เป็นชายหนุ่มที่เด็ดขาดจริงๆ”

“ฮึฮึ แต่เขาก็ยังอ่อนเกินไป วิชาการต่อสู้” ม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินทุกอย่างได้เสมอไป ผมเริ่มต้นทุกอย่างจากการที่ไม่มีอะไรเลย การที่จะเดินมาถึงจุดนี้ได้ ผมนั้นไม่เคยพึ่งการใช้กำลังมาก่อนเลย” จี้ฉงซานยิ้มออกมาอย่างมั่นใจ “ผมเองก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดไปสู้กับหลินอิ่งตรงๆ หรอก”

“ความสามารถในการใช้กลยุทธ์ของคุณท่านจี้นั้น ฉันเชื่อมั่นค่ะ” เหวินเทียนเฟิ่งหัวเราะออกมาทีหนึ่ง แววตาสั่นไหว จากนั้นก็เผยให้เห็นสายตาที่โหดเหี้ยม “ไอ้สารเลวหลินอิ่ง มันช่างโชคดีจริงๆ ที่ได้เรียนรู้วิชาที่สามารถต่อต้านสวรรค์ได้ถ้าจู่ๆ มันไม่โผล่มา ตระกูลเหวินของเราคงได้ยึดครองตระกูลฉีและได้ปกครองตี้จิงอย่างจักรพรรดิไปนานแล้ว! เจ็บใจนัก!”

“ฮึฮึ ผมเองก็สงสัยเหมือนกัน นายหญิงเหวินเป็นคนที่ทำงานค่อนข้างรอบคอบ ตอนอยู่ตี้จิงถึงขั้นฆ่าเหวินเทียนเจียวเพื่อปิดปากเลย ตอนที่แต่งเข้าไปอยู่ในตระกูลฉี ทำไมถึงต้องเหลือไอ้สารเลวอย่างหลินอิ่งไว้ด้วย?” จี้ฉงซานหัวเราะชอบใน

เหวินเทียนเฟิ่งทำหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันที แล้วพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “มันเหลือแค่ก้าวเดียวเท่านั้น ใครจะไปคิด ว่าคนที่ถูกฉันขับออกจากตระกูลฉีนั้นจะประสบความสำเร็จได้ขนาดนี้ มาทำลายแผนการที่ฉันวางมาสิบกว่าปี!”

“พอนึกถึงพี่ชายที่ตายไปของฉัน ฉันก็รู้สึกเสียใจอย่างถึงที่สุดเลยค่ะ! ตอนนั้น ตอนที่ฉันแต่งเข้าไปที่ตระกูลฉี ฉันก็ควรฆ่าสองแม่ลูกหลินอิ่งทิ้งซะ!” เหวินเทียนเฟิ่งพูดออกมาอย่างเย็นชา ความรู้สึกเกลียดที่มีต่อหลินอิ่งนั้นเข้ากระดูกไปแล้ว!

“นายหญิงเหวิน ไม่ต้องห่วง แผมการที่เราตั้งใจวางไว้อย่างเนิ่นนานนี้ จุดประสงค์ก็เพื่อล่อหลินอิ่งให้มาที่เมืองก่างแห่งนี้ ในครั้งนี้ ผมจัดจัดการมันอย่างดีเลย” จี้ฉงซานยิ้มออกมาอย่างไม่ชอบใจ “ถ้าจับมันได้เมื่อไหร่ ผมจะส่งตัวมันให้นายหญิงเหวินจัดการมันด้วยตนเอง ฮึฮึ…

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท