ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 373 เรื่องต้องทำทีละขั้นทีละตอน

บทที่ 373 เรื่องต้องทำทีละขั้นทีละตอน

หวู่เฟยดูลังเล บอกตามตรง เขาไม่เข้าใจความตั้งใจของคริสคืออะไร

แต่ว่า คริสเป็นคนที่สุขุมเสมอมา จะไม่พูดเล่นแบบนี้

“คริส นายมีเงินมากมายขนาดนั้นเลยหรอ? หรือว่า นายสามารถทำตามสัญญาที่นายให้กับฉันได้?” หวู่เฟยพูดอย่างเคร่งขรึม

“ฉันไม่สามารถทำได้” คริสพูดด้วยรอยยิ้ม

“แต่ว่าประธานหลินที่อยู่เบื้องหลังของฉัน สามารถทำได้”

คริสยืนขึ้นในขณะที่พูด หลินอิ่งก็ได้เดินมาจากฉากหลัง แล้วนั่งลงอย่างสง่าผ่าเผย

“ประธานหลิน? สวัสดีครับ ประธานหลิน”หวู่เฟยมองไปยังหลินอิ่งด้วยความเคร่งขรึม

หลินอิ่งชิมกาแฟหนึ่งคำแล้วพูดว่า คุณหวู ถ้าหากคุณคิดว่าโปรเจ็คของคริสเป็นไปได้ ผมจะจัดเงินทุนให้ทันที

สายตาของหวู่เฟยเป็นประกาย ราวกับว่ามีความรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย

“ประธานหลิน อสังหาริมทรัพย์ผองเฟยกรุ๊ปเป็นกิจการที่ผมดำเนินการมาหลายปี ถ้าหากว่าคุณต้องการที่จะซื้อกิจการเต็มรูปแบบ ในด้านราคานั้น ผมว่าต้องกลับไปคิดวิเคราะห์ดูก่อน”หวู่เฟยพูดอย่างเคร่งขรึม

หลินอิ่งยิ้มตรงมุมปาก ลองคิดวิเคราะห์ดูก่อน ?

นี่คือไม่พอใจที่ฉันให้ราคาที่ต่ำเกินไป?

“คนที่ชัดเจนไม่พูดลับหลัง อสังหาริมทรัพย์ผองเฟยของนายกำลังถูกโม่เก๋อติงของลาตินกรุ๊ปกดขี่ และทนรับกับความกดดันไม่ไหวแล้ว ตลาดหุ้นกำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่แย่ที่สุด”หลินอิ่งพูดอย่างเฉยเมย “สำหรับนายแล้ว ก็เหมือนกับมันเทศที่ร้อนมือ นายก็รีบร้อนที่จะปล่อยมืออยู่แล้วใช่มั้ย? ท้ายที่สุดไม่มีเงินทุนมากพอที่จะบังคับให้ดำเนินการต่อไปได้อีกแล้ว ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า อสังหาริมทรัพย์ผองเฟยจะไม่มีมูลค่า!”

หวู่เฟยดูประหลาดใจ นี่เป็นความลับทางการค้าขั้นสูงของตัวเอง ที่เห็นภายนอกอสังหาริมทรัพย์ผองเฟยยังคงดำเนินกิจการตามปกติ แต่ในความเป็นจริงมันใกล้จะล้มละลายแล้ว

เขาเคยคิดที่จะขายอสังหาริมทรัพย์ผองเฟยออกไป แต่คิดไม่ถึงว่า ประธานหลินคนนี้ จะรู้ทุกอย่างของเขาแล้ว

“ประธานหลินก็เป็นผู้เชี่ยวชาญในวงการธุรกิจด้วย ผมก็จะไม่พูดอ้อมค้อมแล้ว โปรเจ็คชุดนี้ของคริสโดยทั่วไปแล้ว เพิ่มอีกหนึ่งพันล้าน นี่เป็นขีดจำกัดของฉัน ถ้าหากว่าประธานหลินคุณตกลง ผมสามารถเซ็นสัญญาได้ทันที และให้คนของผมไปส่งมอบงานให้”หวู่เฟยพูดอย่างเคร่งขรึม

“โปรเจ็คนี้ที่ตกลงกันเอาไว้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอีก”หลินอิ่งพูดอย่างเฉยเมย

“ฉันสามารถเปิดเผยข้อมูลให้คุณได้หนึ่งเรื่อง มูลค่ามากกว่าหนึ่งพันล้าน”

ในขณะที่พูดหลินอิ่งดีดนิ้ว คริสยืนถุงเอกสารให้ หวู่เฟยรับถุงเอกสารมาอย่างที่ลังเล มองอย่างละเอียด จากนั้นก็มีเหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มหน้าผาก

“ได้! ผมจะเซ็นทันที! ประธานหลิน ผมขอบคุณในการมาของคุณ คุณก็คือผู้มีพระคุณของผม!” หวู่เฟยยืนขึ้นอย่างเคร่งขรึม

“คืนนี้ฉันจะต้องออกจากเมืองก่าง ยังมีธุระที่ต้องจัดการอีก ประธานหลินคุณวางใจได้เลย อสังหาริมทรัพย์ผองเฟย ผมจะจัดการส่งมอบงานทั้งหมดให้เรียบร้อย”

“นายเป็นคนฉลาดคนหนึ่ง” หลินอิ่งยังคงรอยยิ้มไว้แล้วพูด

“ขอบคุณคุณมาก!” หวู่เฟยจับมือของหลินอิ่งด้วยความตื่นเต้น ดูท่าทางราวกับโดนไฟรน เดินออกจากห้อง แล้วรีบลงไปพร้อมกับเลขาและทีมงานธุรกิจ

“ประธานหลิน คุณคาดเดาถูกราวกับเทพเจ้าจริงๆ ครั้งนี้โม่เก๋อติงทำให้หวู่เฟยกลัวแล้ว คุณเปิดเผยแผนปฏิบัติการและข้อมูลของโม่เก๋อติง เขาก็กลัวแทบตาย” คริสยกนิ้วโป้งขึ้นมา และพูดอย่างประจบประแจง

“ทางด้านบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจิน เจรจาเป็นยังไงบ้าง?”หลินอิ่งพูดอย่างเฉยเมย

“ทางด้านบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินเป็นไปได้ยากมาก บริษัทของพวกเขากำลังอยู่ในช่วงจุดสูงสุด กำไรของบริษัทพุ่งขึ้นในทุกวัน คงจะเป็นเรื่องยากถ้าจะซื้อ“ คริสพูดอย่างเคร่งขรึม

หลินอิ่งพยักหน้าและพูดอย่างเคร่งขรึม “คืนนี้นายไปเจรจากับบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ อีกเดี๋ยวฉันยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีก”

ซื้ออสังหาริมทรัพย์ผองเฟยเต็มรูปแบบ และบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ นี่คือก้าวแรกในการที่จะยืนอยู่ในวงการอย่างในเมืองก่างอย่างมั่นคง

โครงสร้างของสองธุรกิจนี้ใหญ่มาก อยู่ในสิบอันดับแรกของโครงสร้างการจัดอันดับในวงการธุรกิจในเมืองก่าง

อสังหาริมทรัพย์ผองเฟยมีพาณิชย์พลาซ่าที่มากกว่าสิบสาขา อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์

บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย ในบริษัทมีดาราสาวสวยสิบกว่าคน ยิ่งไม่ต้องพูดเลยนักแสดงหญิงและแสดงชายชั้นนำ เรียกได้ว่าเป็นวงการบันเทิงขนาดเล็ก เป็นวงการบันเทิงชั้นนำอย่างแน่นอน

หลังจากที่ได้บริษัททั้งสองนี้แล้ว คริสก็จะมีเวทีทางฝั่งนี้แล้ว เขามีอำนาจที่สามารถต่อกรกับโม่เก๋อติงในเมืองก่าง แช่งชิงอำนาจการควบคุมดูแลลาตินกรุ๊ปในเมืองก่าง

เอาโม่เก๋อติงอยู่ หลังจากที่คริสเข้าควบคุมลาตินกรุ๊ปในเมืองก่าง เขาก็จะสามารถใช้ลาตินกรุ๊ปเป็นเวทีของเขาได้ ในวงการธุรกิจ การเผชิญหน้ากันแบบตัวต่อตัว ทำลายธุรกิจการค้าของจี้ฉงซานให้เป็นหลุม

ถ้าไม่วางแผนไว้แบบนี้ ไม่มีพื้นฐานด้านธุรกิจในเมืองก่างได้เลย ถึงแม้ว่าจะใช้เงินทั้งหมดในตี้จิง จะใช้เงินหลายพันล้านในคราวเดียว ก็ไร้ประโยชน์

ใช้เงินในเมืองก่าง ก็เท่ากับว่าส่งเงินให้จี้ฉงซาน

ในเมืองก่าง ถ้าคุณอยากจะทำธุรกิจอะไร ยังไงก็หนีไม่พ้นจี้ฉงซานคนนี้

ในเมืองก่างได้รับการดูแลจัดการของจี้ฉงซานมายาวนานราวกับเหล็ก วงการธุรกิจในเมืองก่าง เขาจะเล่นยังไงก็ได้

จะโค่นอาณาจักรธุรกิจของเขา ต้องสลายตัวเข้าไปในเมืองก่าง

จะจัดการจี้ฉงซาน ก็ต้องเลี่ยงเขาในเมืองก่าง และปักธงลงใหม่

หลินอิ่งเป็นคนเลือกธงนี้เอง ก็คือลาตินกรุ๊ปในเมืองก่าง!

หลังจากที่ออกคำสั่งให้คริสแล้ว หลินอิ่งเดินออกไปจากห้อง “ดรีมคริสตัล” ในร้านอาหารผองเฟย

“นี่? หลินอิ่ง ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่?”

หลังจากเดินได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้น ก็มีเสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยดังขึ้น

หลินอิ่งขมวดคิ้ว และมองไปด้วยสายตาที่เย็นชา

เห็นแค่ บนโต๊ะคริสตัลหนึ่งในร้านอาหาร มีหนุมสาวที่แต่งตัวแฟชั่นหลายคนนั่งอยู่

“ลู่จิ้ง คนนี้คือใคร? เธอรู้จักมั้ย? คงจะไม่ใช่แฟนหนุ่มของเธอใช่มั้ย?” หญิงสาวคนหนึ่งพูดล้อเล่น มองไปยังหลินอิ่งแล้วกลอกตาไปมา

“ถ้าหากว่าเป็นเพื่อนของเธอ ให้เขาแนะนำตัวสักหน่อย แล้วมานั่งดื่มกันสักแก้ว” ชายหนุ่มที่แต่งตัวดีคนหนึ่งพูดอย่างไม่ใส่ใจ

“ไม่ๆๆ!” พูดติดต่อกันหลายครั้ง มองหลินอิ่งด้วยท่าทางขี้เล่น “พวกเธอกำลังพูดถึงเพื่อนแบบไหน ฉันจะมีเพื่อนที่ไร้ประโยชน์อย่างเขาได้อย่างไร?”

“เขานะหรอ ก็คือเรื่องตลกที่ฉันพูดกับพวกเธอเมื่อกี้! เขาชื่อหลินอิ่ง เป็นไอ้พวกไร้ประโยชน์ที่มีชื่อเสียง ในเมืองชิงหยูน!” ลู่จิ้งพูดอย่างเย้ยหยัน “พี่สาวของฉันก็โชคร้ายเหมือนกัน มีสามีที่ไร้ค่าเช่นนี้”

“ออ ลู่จิ้ง บังเอิญขนาดนี้เลยหรอ? คนนี้คือพี่เขยที่ไร้ค่าที่เธอพูดถึงหรอ?” วัยรุ่นคนหนึ่งพูดด้วยความแปลกใจ มองไปที่หลินอิ่งอย่างดูถูก

“เหมือนกับที่เล่ามาเลย เป็นไอ้คนจนจริงๆด้วย ฉันดูแล้ว เป็นถึงลูกผู้ชาย ออกมาข้างนอกแม้แต่นาฬิกาดีๆก็ยังไม่มีใส่ และกุญแจรถก็ไม่มี นี่มันจะล้าหลังเกินไปแล้วนะ” หญิงสาวคนหนึ่งพูดอย่างเยาะเย้ย

“ว้าย น่าเสียดายจังเลย ลู่จิ้ง เธอเคยให้ฉันดูรูปของจางฉีโม่พี่สาวของเธอ สวยมาก สวยไม่แพ้ใครเลย! ทำไมถึงมาแต่งงานกับคนไร้ประโยชน์อย่างนี้?”

ชายหนุ่มคนหนึ่งตบขาถอนหายใจแล้วพูดว่า ในมือถือโทรศัพท์ของลู่จิ้งไว้ หรี่ตามองหน้าจอโทรศัพท์ เป็นภาพถ่ายของจางฉีโม่ที่ถ่ายตอนท่องเที่ยว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท