ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 374 ก็แค่ลูกเขยที่ไร้ค่าคนหนึ่ง

บทที่ 374 ก็แค่ลูกเขยที่ไร้ค่าคนหนึ่ง

“พี่สาวของลู่จิ้งสวยขนาดนั้นเลยหรอ? เอามาให้ฉันดูหน่อย” ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างไม่จริงจัง

“แน่นอนอยู่แล้ว นี่เป็นรูปที่เธอไม่ได้แต่งหน้า สวยกว่านางงามอันดับหนึ่งในเมืองก่างเสียอีก ช่างรื่นตามาก” ชายหนุ่มอีกคนพูดอย่างโผงผาง

ในขณะที่พูด หลายคนถือโทรศัพท์มือถือของลู่จิ้งไว้ แล้วมองดูรูปภาพอย่างละเอียด ด้วยความประหลาดใจ

“นี่ นายชื่อว่าหลินอิ่งใช่มั้ย? ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าคนไร้ค่าแบบนาย ทำยังไงถึงได้แต่งงานกับพี่สาวของลู่จิ้ง? คงไม่ใช่ว่าหลอกเขามาใช่มั้ย?” ชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมเสื้อสีแดงพูดอย่างดูถูก

“คุณชายหูพูดถูก ราวกับดอกไม้ที่ปักอยู่ในมูลวัว” ชายหนุ่มอีกคนมองหลินอิ่งด้วยความดูถูก

ตามคำที่ลู่จิ้งพูดโดยเจตนา ชายหนุ่มและหญิงสาวทั้งโต๊ะต่างมองไปที่หลินอิ่ง และพูดอย่างเยาะเย้ย

หลินอิ่งสีหน้าท่าทางปกติ แล้วมองไป

ลู่จิ้งก็นั่งอยู่ท่ามกลางผู้คน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง ดูภูมิใจมาก

ลู่จิ้งน้องสาวของฉีโม่ เรียนในมหาลัยแห่งตี้จิง ไม่รู้ว่ามาถึงเมืองก่างได้ยังไง

ครั้งที่แล้วเคยได้ยินฉีโม่พูด ว่าให้เขาอย่าไปยุ่งกับลู่จิ้งให้มาก ลู่จิ้งได้เอาเงินจำนวนหนึ่งจากเธอไปท่องเที่ยวและเพื่อไปพักผ่อน นี่คือทริปที่มาท่องเที่ยวในเมืองก่าง?

“คุณชายหลุ่ย คุณไม่รู้อะไร ตอนที่ฉันยังอยู่ในตี้จิงเมื่อครั้งล่าสุด คนไร้ประโยชน์คนนี่อาศัยความสัมพันธ์และอำนาจของพี่สาวของฉัน เล่นกลอุบาย ให้ผู้หญิงคนอื่นมาตบหน้าฉัน ทำให้ฉันต้องไปรักษาใบหน้าของฉันเป็นเวลานาน”น้ำตาเอ่อล้นในดวงตาของลู่จิ้ง ท่าทางดูน่าสงสาร และมองชายหนุ่มคนนั้นแล้วพูดอย่างออดอ้อน

“อะไรนะ? ยังมีผู้ชายที่ไร้ค่าและไร้ยางอายอยู่อีกหรอ? และยังอาศัยความสัมพันธ์ของผู้หญิงมารังแกผู้หญิง?” สายตาของคุณชายหลุ่ยมองไปยังหลินอิ่งอย่างดูถูก “นายนี่มันแน่จริงๆ รังแกได้แม้กระทั่งผู้หญิง นี่นับเป็นความสามารถด้วยหรอ?”

“ฉันฟังไม่ลงอีกต่อไปแล้ว! เป็นความอัปยศของผู้ชายอย่างเราจริงๆ หลินอิ่งคนนี้ก็เป็นคนที่ไม่พันธุ์ !”

“อะไร? ลู่จิ้ง ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ? ถุยๆ ครั้งที่แล้วที่ฉันถามเธอว่าเพราะอะไรถึงได้ไปทำศัลยกรรมในวีแชท ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้านี่เอง”

ตามคำพูดของลู่จิ้งที่พูดออกมา ชายหนุ่มและหญิงสาวที่อยู่ในที่นั้นมองไปยังหลินอิ่งด้วยสายตาที่ดูถูกเหยียดหยาม

หลินอิ่งท่าทางเฉยเมย แล้วส่ายหัว

“นายคนไร้ประโยชน์มองอะไรหรอ? หรือพี่สาวของฉันให้นายมาทำงานในเมืองก่าง? ไม่อย่างนั้นคนจนอย่างนาย ทั้งชีวิตนี้ก็ไม่สามารถมาสถานที่ที่มีคุณภาพสูงแบบนี้ได้อย่างไร!” ลู่จิ้งมองไปยังหลินอิ่งอย่างภาคภูมิใจ

“พี่สาวของฉันให้นายมาเจรจาธุรกิจอะไรหรอ ในเมืองก่างนี้ ฉันมีเส้นสายเป็นอย่างดี เพื่อนรอบข้างของฉันพวกเขาต่างก็มีภูมิหลังครอบครัวที่ใหญ่คับฟ้า! นายมาชนแก้วกับพวกคุณชายสักแก้วสองแก้ว” ลู่จิ้งพูดตามความสมควร

“นายคนนั้นชื่อหลินอิ่งใช่ไหม? ลู่จิ้งพูดถูก ครอบครัวของฉันก็มีธุรกิจอัญมณีและหยกในเมืองก่าง ได้ยินมาว่านายเป็นผู้ช่วยของพี่สาวของลู่จิ้ง? ต้องการเจรจาธุรกิจอัญมณี มาหาฉันน่ะถูกแล้ว”

คุณชายหลุ่ยโคลงแก้วเหล้าในมือ และพูดยังภาคภูมิใจ “มานี่ มาชนแก้วอย่างว่านอนสอนง่าย มาขอโทษลู่จิ้งก่อนแล้วค่อยพูด”

“หลินอิ่ง นายแกล้งหูหนวกไม่ได้ยินฉันที่พูดหรือยังไง หรือว่านายกลัวจนไม่กล้าพูดแล้ว?” ลู่จิ้งพูดด้วยท่าทางที่ขี้เล่น“คุณชายหลุ่ย ฉันจะบอกกับนาย คนไร้ประโยชน์คนนี้ทั้งขี้กลัวและขี้ขลาด เกาะผู้หญิงกิน ไม่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็หลบอยู่ข้างหลังผู้หญิง พวกนายดุขนาดนี้ เขาคงกลัวจนฉี่ราดใส่กางเกงแล้ว!”

“ฮ่าๆ ลู่จิ้ง เธอพูดถูกแล้ว! ฉันต้องพูดเสียงเบาหน่อย เพราะเป็นผู้ชายและประโยชน์ที่เกาะผู้หญิงกิน ฉันพูดเสียงดังไปหน่อย กลัวจะทำให้เขาตกใจได้” คุณชายหลุ่ยพูดอย่างเย้ยหยัน

“นี่ ยิ่งคิดยิ่งเสียดาย ลู่จิ้ง พี่สาวของเธอสวยขนาดนี้แต่แต่งงานกับผู้ชายที่ไร้ค่าแบบนี้” คุณชายหลุ่ยถือมือถือของลู่จิ้งไว้ ดูรูปภาพของจางฉีโม่ และพูดด้วยความประหลาดใจ “นี่ ผู้ชายที่ไร้ค่าแบบนี้ พี่สาวของเธอทำไมถึงให้ผู้ชายคนนี้แตะต้อง? นี่ ดูเหมือนว่าพี่สาวของเธอคงจะเหงาน่าดู”

“เอาแบบนี้ดีกว่า ลู่จิ้ง เธอเอาเบอร์โทรของพี่สาวมาให้ฉัน ฉันทำความรู้จักกับพี่สาวเธอสักหน่อย เผื่อว่ามีโอกาสจะได้ช่วยพี่สาวของเธอคลายความเหงา” คุณชายหลุ่ยพูดด้วยรอยยิ้ม

“ได้สิ คุณชายหลุ่ย ฉันสามารถให้เบอร์โทรของพี่สาวของฉันกับนายได้ แต่ว่าตอนนี้นายต้องช่วยฉันก่อน” ลู่จิ้งพูดอย่างน่าสงสาร” คุณชายหลุ่ย ครั้งที่แล้วหลินอิ่งคนไร้ค่าคนนี้ตบหน้าฉันสองครั้ง นายช่วยฉันตบกลับคืนไป ได้มั้ย?”

“ออ? ตบหน้าเขาสองที? ก็แค่ลูกเขยไร้ค่าคนหนึ่ง ตบหน้าเขาสองที เขาจะกล้าหือกล้าอืออะไร?” คุณชายหลุ่ยไม่สนใจ และหัวเราะ “ลู่จิ้ง เธอดูไว้ให้ดี ดูไว้ว่าฉันจะสั่งสอนคนไร้ค่าที่ไร้พันธุ์คนนี้อย่างไร”

“คุณชายหลุ่ย นายเก่งที่สุด!” ลู่จิ้งพูดอย่างประจบประแจง มองหน้าหลินอิ่งอย่างภูมิใจสุดๆ

คุณชายหลุ่ยยิ้มอย่างสนุกสนาน บิดคอแล้วลุกขึ้นมา เดินไปทางที่หลินอิ่งอย่างวางมาดพร้อมกับลูกเศรษฐีอีกสองคน

“นายจะลงมือกับฉัน?” หลินอิ่งถามด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

คุณชายหลีดูถูกเหยียดหยาม และหัวเราะเยาะ “จะจัดการนายแล้วจะทำไม? คนไร้ประโยชน์จากต่างมณฑล นายคิดว่านายเป็นอะไร? คนไร้ค่าอย่างนาย ฉันจัดการอย่างไม่กดดัน ถ้าฉันตีหมาฉันอาจจะโดนประณามว่าทารุณสัตว์ แต่ว่าจัดการกับลูกเขยที่ไร้ค่าอย่างนาย คนสัญจรไปมายังต้องปรบมือให้”

“นายสองคนจับตัวมันเอาไว้ ตีเขาคุกเข่าลงก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่” คุณชายหลุ่ยพูดด้วยท่าทางที่เย็นชา

“คุณชายหลุ่ย เก่งจริงๆ เท่มากด้วย!” ลู่จิ้งพูดอย่างประจบประแจง

คุณชายหลุ่ยยังคงสงวนรอยยิ้มไว้ มีประโยชน์ต่อใจมาก สิ่งที่เขาต้องการก็คือผลลัพธ์นี้

ชายสองคนที่อยู่ถัดจากคุณชายหลุ่ยหยิบเก้าอี้ขึ้นมา แล้วขว้างไปยังบนใบหน้าของหลินอิ่ง

ปัง!

หลินอิ่งไม่ได้ขยับ ฮาเดสที่อยู่ข้างๆเหยียดมือออกไปชกสองครั้ง ปังๆ ชกเก้าอี้จนทะลุในขณะนั้น จัดการกับลูกเศรษฐีสองคนพลิกคว่ำและตีลังกาเก้าสิบองศา ล้มลงบนพื้นแล้วตะโกนด้วยความเจ็บปวด

“โอ๊ย! โอ๊ย!”

ลูกเศรษฐีสองคนกลิ้งอยู่บนพื้น ใบหน้าขาวซีด กลัวจนเกือบตาย

“ให้ตายสิ นี่มันแรงอะไรกัน ดุร้ายเกินไปแล้ว!”

“บัดซบ ข้างกายของชายไร้ค่าคนนี้มีบอดี้การ์ดที่แข็งแกร่ง?”

ทันใดนั้น ชายหนุ่มและหญิงสาวที่กำลังกินข้าวอยู่ที่โต๊ะ ก็ลุกขึ้นยืนทั้งหมด ชี้นิ้วไปทางหลินอิ่งและตะโกน

“หลินอิ่ง นายหาเรื่องใช่หรือไม่? ยังให้บอดี้การ์ดของนายลงมือ? นายคิดว่าตัวเองแน่มากใช่มั้ย?” ลู่จิ้งพูดอย่างดูถูก “ฉันจะบอกให้นะ คนไร้ค่าอย่างนายที่สร้างปัญหาอะไรในเมืองก่าง นายถูกคนต่อยตีจนตาย นั้นมันก็สมควรแล้ว!”

“แค่มีบอดี้การ์ดก็คิดว่าตัวเองเป็นหัวหน้าใหญ่แล้ว? ถ้าหากไม่ได้ฟังที่พูดลู่จิ้งว่าเขาก็คือลูกเขยที่ไร้ค่าเกาะผู้หญิงกิน เห็นเขาเป็นแบบนี้ ฉันคิดว่าเขาจะมีความสามารถมากแค่ไหน? ถึงกล้าให้บอดี้การ์ดลงมือ?”

“คุณชายหลุ่ย เพียงแค่เรียกคนมา เอาให้ตายเอาให้พิการไปเลยไอ้คนไร้ค่าแบบเขา ยังช่วยลู่จิ้งระบายความโกรธของเธอด้วย!”

แวดวงลูกคนรวยของคุณชายหลุ่ย พวกเขาตะโกนขึ้นมา ท่าทางป่าเถื่อนมาก

“หลินอิ่ง นายว่านายมาหาที่ตายใช่ไหม? คุณชายหลุ่ยแค่ต้องการที่จะตบหน้านายไม่กี่ทีเอง นายก็ให้บอดี้การ์ดของนายลงมือ? รนหาที่ตายจริงๆ” ลู่จิ้งพูดอย่างเย้ยหยัน

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท