ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 376 หลินอิ่ง นายคิดว่านายเป็นใคร?

บทที่ 376 หลินอิ่ง นายคิดว่านายเป็นใคร?

เมื่อได้ยินคำพูดแดกดันของหยังเสียง ใบหน้าของหลุ่ยซานกวนกลายเป็นสีแดงเหมือนตับหมู

“ประธานหยัง คุณต้องการให้เรื่องเป็นแบบนี้จริงๆหรอ?” หลุ่ยซานกวนดื้อดึง ต้องการกู้ศักดิ์ศรีของตัวเองกลับมาต่อหน้าเพื่อนๆ “คุณตบผมอย่างไม่มีสาเหตุ พ่อของผมก็คงไม่ปล่อยไปแบบนี้!”

หยังเสียงมองไปยังหลุ่ยซานกวนและพูดว่า “นายยังแกล้งทำเป็นกล้า? บริษัทติ่มซำของบ้านนายอยู่ในระดับไหนนายไม่รู้หรอ?”

“กล้าเรียกบอดี้การ์ดมาจัดการกับประธานหลิน ฉันว่านายกำลังรนหาที่ตาย!”

ในขณะที่พูด ประธานหยังก็ดีดนิ้ว ทำสัญญาณให้บอดี้การ์ดลงมือได้

เสียงดังตุ๊บตับ บอดี้การ์ดหลายคนที่สวมชุดสูทผลักหลุ่ยซานกวนล้มลงบนพื้น แล้วยกเก้าอี้ขึ้นมา ฟาดไปหลายครั้ง จนใบหน้าของหลุ่ยซานกวนบวมช้ำดำเขียว หัวแตกเลือดอาบ กุมศีรษะและขอร้อง

“ไม่ต้องตีแล้ว! เดี๋ยวหน้าเสียโฉม!” หลุ่ยซานกวนตะโกนด้วยความเจ็บปวด

หลุ่ยซานกวนยิ่งตะโกนเสียงดัง บอดี้การ์ดหลายคนก็ลงมือหนักขึ้น ตีจนเขาลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น จนน้ำหูน้ำตาไหล ทำให้คนในร้านอาหารหัวเราะเยาะ อับอายขายขี้หน้ามาก

หลุ่ยซานกวนเหมือนกับหมาที่ตายอยู่บนพื้น ในใจข่มขืน เดิมทีขอให้ประธานหยังมาช่วยเหลือตัวเอง จัดการไอ้ไร้ค่าหลินอิ่ง สุดท้ายกลับโดนเขาตีอย่างรุนแรง?

“ประธานหลิน ไอ้โง่คนนี้มาลามปามคุณ คุณว่าจะจัดการเลยมั้ย?” หยังเสียงพูดด้วยความเคร่งขรึม

หยังเสียงเป็นคนรู้ความ เรื่องนี้เกิดขึ้นในร้านอาหารผองเฟย เขาในฐานะที่เป็นเจ้าของเรื่อง งั้นก็ต้องจัดการอย่างยุติธรรม

หลุ่ยซานกวนมาเยาะเย้ยหลินอิ่งแบบนี้ แถมยังเอารูปของคุณนายหลินมาพูดสนุกปาก กล้าคิดอะไรกับคุณนายหลิน?

ถึงแม้จะไม่รู้นิสัยที่แท้จริงของประธานหลิน แต่ว่าตามวิธีการจัดการของเจ้านายหวู่เฟยคนก่อน

หวู่เฟยต้องให้พี่น้องในกลุ่มของเขา มาโยนคนในครอบครัวของหลุ่ยซานกวนทั้งหมดลงในแม่น้ำเซียงเจียง

“เขาไม่ใช่บอกว่าพ่อของเขามีอำนาจหรอกหรอ? รอให้พ่อของเขามาก่อน” หลินอิ่งพูดอย่างเฉยเมย

“ครับ!” หยังเสียงพยักหน้าด้วยความเคารพ

“นี่? ตกลงเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ ลู่จิ้ง เธอไม่ใช่พูดว่า พี่เขยของเธอหลินอิ่งที่แต่งเข้าบ้านผู้หญิงเป็นคนไม่ได้เรื่องไม่ใช่หรอ? ทำไมถึงได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประธานหยัง?” ใบหน้าของชายหนุ่มคนหนึ่งเปลี่ยนไปเลย และถามลู่จิ้งเบาๆ

“ก็ใช่ไง ลู่จิ้ง เธอคงไม่ได้หลอกเราอยู่ใช่ไหม? นี่ เหมือนกับลูกเขยที่ไม่ได้เรื่องตรงไหน?”

เมื่อกี้คนที่เยาะเย้ยหลิ่นอิ่งตามคนอื่น สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้เลย ไม่กล้าที่จะมองไปยังหลินอิ่งโดยตรง

แม้แต่ประธานหยังยังสามารถเคลื่อนย้ายได้ตามใจชอบ เป็นเหมือนกับที่ลู่จิ้งพูดตรงไหน ลูกเขยที่ไร้ความสามารถไม่ได้เรื่อง?

หลินอิ่งยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยท่าทางที่สงบ มีประธานหยังยืนอยู่ข้างๆคอยประจบประแจงด้วยรอยยิ้ม

ในท่าทางนี้ หลินอิ่งเป็นคนที่ไม่พูดไม่จาคนหนึ่งอย่างชัดเจน

ถ้ารู้ว่า คนที่ยิ่งมีความสามารถมากเท่าไหร่ ก็อาจจะเจ้าอารมณ์น้อยกว่า

“ฉัน ฉัน! เขาเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านผู้หญิงที่ไม่ได้เรื่องจริงๆ คือคนที่เกาะพี่สาวฉันกิน” ลู่จิ้งพูดอย่างไม่พอใจ “สามารถรู้จักกับประธานหยังได้ นั้นก็เป็นเพราะว่าเส้นสายของพี่สาวฉัน เขาแค่ทำตัวเหมือนเสือก็เท่านั้นเอง!”

ลู่จิ้งมองหลินอิ่งอย่างไม่พอใจ ตีให้ตายยังไงเขาก็ไม่เชื่อ หลินอิ่งจะมีความสามารถอะไรได้ ต้องกำลังพูดพร่ำทำเพลงอย่างแน่นอน

เธอเคยได้ยินคุณป้าลู่หย่าฮุ่ยพูดกับคุณลุงจางซิ่วเฟิงพูดถึงการกระทำของหลินอิ่ง เป็นคนไร้ที่เกาะผู้หญิงกิน

หลินอิ่งคนนี้ แม้แต่พ่อตาแม่ยายก็ยังดูถูกเขา เขาก็แค่ลูกเขยที่ไม่ได้เรื่อง จะมีความสามารถอะไรได้?

“หลินอิ่ง นายอย่าทำเกินไป? พวกคุณชายหลุ่ยเป็นเพื่อนของฉัน! นายอาศัยความสัมพันธ์ของพี่สาวฉัน อยากจะทำอะไรก็ได้ในที่ตรงนี้ ฉันจะบอกกับพี่สาวของฉัน”ลู่จิ้งพูดอย่างไม่พอใจ

หลินอิ่งมองไปยังลู่จิ้งแล้วพูดว่า “ทำสิ่งที่ตัวเองควรทำ เธอยังเรียนมหาลัยอยู่ เป็นนักศึกษาคนหนึ่ง วันวันเอาแต่ไปเทียบกับคนอื่นไร้สาระ ยังเหมือนนักศึกษาอยู่อีกหรอ?”

“เธอยังเรียนอยู่ที่มหาลัยแห่งตี้จิง พี่สาวของเธอติดตามเธอตลอด และคาดหวังกับเธอมาก ฉันไม่สนใจว่าเธอจะมีอคติอะไรกับฉัน แต่ว่าฉันหวังว่า อย่าทำให้เธอผิดหวัง”

ลู่จิ้งใบหน้าแดงก่ำและพูดอย่างเย็นชา “นายไอ้คนไร้ประโยชน์มีสิทธิ์อะไรมาสอนฉัน? ยังเอาพี่สาวของฉันมากดดันฉัน? นายก็แค่คนที่เกาะผู้หญิงกิน!”

หลินอิ่งส่ายหัว เห็นแก่ฉีโม่ เขาถึงพูดสองคำนี้

ลู่จิ้งไม่ฟังอะไรเลย ตอนเรียนอยู่ก็รู้จักไล่ตามความทรนงในศักดิ์ศรี คิดหาทุกวิถีทางเข้าหาวงการของลูกคนรวย หลงระเริงในความหรูหรา

ในโลกของวัตถุนิยม เธอคงคิดว่ารู้จักกับบุคคลที่เก่งและมีอำนาจเยอะหรอ

แต่กลับไม่รู้ ว่าได้ทิ้งสิ่งที่มีค่าที่สุดนั่นก็คือ ความธรรมดาเรียบง่าย

“เธออยู่ข้างนอกจะเป็นยังไงก็ช่างฉันขี้เกียจไปยุ่ง แต่ว่า ฉันจะบอกเธอให้นะ เธอไม่ต้องเอาพี่สาวของเธอมาโอ้อวด!”หลินอิ่งมองไปยังลู่จิ้งด้วยสายตาที่เย็นชา

“ฉัน……”ลู่จิ้งอยากตอบอะไรกลับไป แต่เห็นแววตาที่เย็นยะเยือกหลินอิ่ง ก้มหัวลงอย่างไม่เต็มใจ

“หยังเสียง ส่งเธอออกไป”หลิยอิ่งพูดอย่างเฉยเมย

ผู้จัดการหยังพยักหน้า ส่งสัญญาณทางสายตาให้บอดี้การ์ดลงมือ พยุงลู่จิ้งเดินออกไปยังร้านอาหารผองเฟย

ในเวลานี้ ก็มีชายวัยกลางที่สวมชุดสูทสีเทาคนหนึ่ง เดินเข้ามายังร้านอาหารผองเฟยอย่างรีบร้อน

“ประธานหยัง เกิดอะไรขึ้น? ลูกชายผมทำอะไรให้คุณโกรธเคืองแล้วใช่มั้ย?”

ใบหน้าของชายวัยกลางคนเต็มไปด้วยเหงื่อ เดินไปยังข้างกายหยังเสียงด้วยความตื่นตระหนก

“พ่อ! พ่อมาแล้ว! หยังเสียงเขาไม่สนใจว่าใครผิดใครถูกก็ลงมือกับผม พ่อต้องช่วยผมทวงความยุติธรรมคืนมา!”

“เขาต้องการช่วยคนที่มาจากมณฑลบ้านนอก เป็นลูกเขยที่ไม่ได้เรื่อง ก็ทุบตีผมจนเป็นแบบนี้!”

ใบหน้าของหลุ่ยซานกวนเต็มไปด้วยความไม่พอใจ พอเห็นพ่อของเขามา ก็เริ่มตะโกนเสียงดัง

หลุ่ยหวนมองไปยังหยังเสียงด้วยความสงสัยแล้วถามว่า “ประธานหยัง พวกเราก็นับว่ามีความสัมพันธ์ทางธุรกิจ นายทำแบบนี้ มันจะมากเกินไปหรือเปล่า?”

“เกินไป?” หยังเสียงส่ายหัวและหัวเราะอย่างเย็นชา “หลุ่ยหวน นายรู้มั้ยว่าลูกชายของนายทำเรื่องโง่ๆอะไรลงไป?”

หลุ่ยหวนคือเจ้าของบริษัทอาหารและเครื่องดื่มบริษัทหนึ่ง ในถนนอาหารที่อยู่ใกล้เคียงนี้ก็มีชื่อเสียงอยู่บ้าง

ซึ่งมีมูลค่ากว่าหนึ่งถึงสองพันล้าน

ปกติเขาและหลุ่ยหวนมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ก็จะให้ความเกรงใจหน่อย แต่ว่านี้มันเกี่ยวข้องกับประธานหลินเจ้าของคนใหม่ของร้านอาหารผองเฟย จะต้องลงมือจัดการอย่างไร้ความปรานี

หลุ่ยหวนขมวดคิ้วมองดูลูกชายที่หน้าดำช้ำเขียว ก้มหัวแล้วพูดคุยกับหลุ่ยซานกวนลูกชายของเขา

“งั้นเอาแบบนี้ ประธานหยัง นายก็ถือสาว่าเห็นแก่หน้าฉัน ปล่อยเรื่องนี้ให้มันผ่านไป” หลุ่ยหวนพูดอย่างเคร่งขรึม “แต่ว่า นายต้องส่งตัวหลินอิ่งคนนี้มาให้ฉันจัดการ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เป็นเพราะว่าคนที่มาจากมณฑลบ้านนอกคนนี้”

“นายจะจัดการฉัน?” หลินอิ่งมองไปยังหลุ่ยหวนและถามอย่างเฉยเมย

หลุ่ยหวนพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “นายคิดว่านายเป็นใคร? ลูกเขยที่ไม่ได้เรื่องที่มาจากมณฑลอื่น ชื่อหลินอิ่งใช่ไหม? ยังมาทำเป็นกล้าอยู่ที่นี่อีก?”

“ประธานหยัง ทางที่ดีอย่าไปสนิทสนมกับคนแบบนี้จะดีกว่า พึ่งพานายและหาเรื่องไปทั่ว สร้างแต่ปัญหา ไม่ช้าก็เร็วจะเกิดภัยครั้งใหญ่”

บูม!

ทันทีที่พูดจบ หลินอิ่งพุ่งเข้าไปเตะหลุ่ยหวน รองเท้ากดเหยียบใบหน้าของหลุ่ยหวนอย่างแรง เหยียบจนเขากระอักเลือด

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท