ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 377 ฉันหาหยังสวนเจิง

บทที่ 377 ฉันหาหยังสวนเจิง

“นาย! นายอยากจะทำอะไร? ประธานหยัง นายยังไม่มาห้ามคนของนาย!”หลุ่ยหวนคำราม

หลังจำที่เขาได้ฟังเรื่องราวจากลูกชายแล้ว รู้ว่าหลินอิ่งเป็นลูกเขยไร้ค่าที่แต่งเข้าบ้านผู้หญิงและมาจากมณฑลบ้านนอก แค่มีความสัมพันธ์กับประธานหยังก็เท่านั้น

คิดไม่ถึงว่า ยังกล้าลงมือกับเขา? ไม่รู้จักอยู่หรือตาย!

ป๊าบ!

หลินอิ่งตบลงบนใบหน้าของหลุ่ยหวนหนึ่งที ตบจนฟันของเขาหลุดออกจากปากหลายซี่

“ลูกชายของนายไม่รู้ความ คนแก่อย่างนาย ก็ไม่รู้ความ?”

“นายและลูกชายของนาย หนึ่งคำสองคำก็หลินอิ่งเป็นลูกเขยไม่ได้เรื่อง” หลินอิ่งพูดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ ให้หลินอิ่งสองคำนี้ ทับพวกนายเอาไว้ตลอดชีวิตจนไม่สามารถเงยหัวได้!”

เมื่อพูดจบ หลินอิ่งเอามือไขว้หลังแล้วหันหลังกลับ ทิ้งคำไว้หนึ่งประโยคอย่างเย็นชา

“หยังเสียง ทำให้พวกเขาสองคนหายไปจากเมืองก่างตลอดไป”

“ครับ!”

หยังเสียงท่าทางเย็นชา เดินไปดึงหลุ่ยหวนอย่างกะทันหัน

“ไอ้โง่อย่างพวกนายสองคน รู้ไหมว่าประธานหลินเป็นใครไหม? ฉันจะบอกอะไรให้นาย ประธานหลินเป็นหัวหน้าใหญ่ที่เพิ่งจะซื้อร้านอาหารผองเฟย”

เมื่อได้ยินคำพูดของหยังเสียง สายตาของหลุ่ยหวนและหลุ่ยซานกวน เต็มไปด้วยความตกใจและความสิ้นหวัง

เป็นคนใหญ่คนโตที่ซื้อผองเฟยกรุ๊ป? จะเป็นไปได้ยังไงที่พวกเขาจะสามารถมีปัญหาด้วยได้!

……

หลังจากนั้นสิบนาที

ทางประตูของร้านอาหารผองเฟย ฮาเดสขับรถเบนท์ลี่ย์สีดำมา หลินอิ่งนั่งอยู่เบาะหลังของรถ และลดกระจกรถลงครึ่งหนึ่ง

หยังเสียงเดินมา ก้มหัวลงข้างหน้าต่างและรายงานด้วยความเคารพ

“ประธานหลิน ผมได้จัดการเตรียมคนส่งหลุ่ยหวนสองพ่อลูกไปยังแอฟริกาไปเป็นทาสในเหมือง รับรองว่าพวกเขาไม่มีโอกาสที่จะพลิกผันได้ตลอดชีวิต” หยังเสียงพูดอย่างเคร่งขรึม “และบริษัทของพวกเขา ผมได้ให้ทีมธุรกิจและทนายความไปจัดการชำระบัญชีแล้ว”

“ส่งไปแอฟริกาไปเป็นทาสในเหมือง?” หลินอิ่งมีความสนใจ หยังเสียงคนนี้ขึ้นมา ทำงานได้ไม่เลวเลย

“ประธานหลิน เรื่องนี้ต้องคือผมเรียนรู้มาจากเพื่อนนามสกุลจูที่ชอบดื่มด้วยกัน รับมือกับพวกคนที่มีตาหามีแววไม่ วิธีนี้ใช้ได้มาก”หยังเสียงพูดด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

“นอกจากนี้ ประธานหลิน เมื่อกี้ประธานหวู่โทรมา ถ้าเกิดมีปัญหาอะไรให้ผมรับคำสั่งจากคุณได้เลย การส่งมอบงานของผองเฟยกรุ๊ป เสร็จสมบูรณ์แล้ว คุณสามารถเข้าสำนักงานประธานได้ตลอดเวลา” หยังเสียงพูด

หลินอิ่งพยักหน้าแล้วพูดว่า “กิจการทั้งหมดของผองเฟยกรุ๊ป คุณมีหน้าที่บริหารงานชั่วคราว”

“ครับ! ประธานหลิน! ผมสัญญาว่าจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด”หยังเสียงพูดอย่างตื่นเต้น

กระจกรถเลื่อนขึ้นไป ฮาเดสสตาร์ทรถและขับไปยังถนนที่มีรถพลุ่งพล่าน

หยังเสียงมองรถเบนท์ลี่ย์ที่จากไป ในใจรู้สึกตื่นเต้น รู้ว่าครั้งนี้เขาทำได้ดีต่อหน้าประธานหลิน ครั้งนี้ได้รับรางวัลใหญ่แล้ว ให้อำนาจการบริหารผองเฟยกรุ๊ปแก่เขา!

หลินอิ่งนั่งอยู่เบาะหลังของรถและหลับตาพักผ่อน

หยังเสียงเป็นคนที่มีชีวิตชีวา บริหารผองเฟยกรุ๊ปคงไม่ใช่ปัญหา

ทางด้านบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจิน การเจรจาของคริสในคืนนี้ก็จะมีผลสรุปออกมา

หมากตัวแรกก็ได้วางลงในเมืองก่างอย่างมั่นคงแล้ว รอที่เหลือทั้งหมดเข้าที่เข้าทาง กำจัดโม่เก๋อติงและเข้าควบคุมลาตินกรุ๊ปในเมืองก่าง

วางงานในมือ ได้เวลาออกไปตามหา อดีตองครักษ์มังกรดำแห่งเมืองก่าง……

หลินอิ่งลืมตาขึ้นมาช้าๆ และออกคำสั่งให้ฮาเดส “ไปเขตหยังเจีย”

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง

ฮาเดสขับรถไปในถนนที่แคบและยาวออกไป

หลินอิ่งลงจากรถ สายตามองไปยังรอบๆ

ถนนเส้นนี้เป็นถนนที่เก่าแก่และทรุดโทรมมาก ตึกรามบ้านช่องข้างถนนยังเป็นแบบสมัยศตวรรษที่แล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านที่มีหกถึงเจ็ดชั้น

และไม่ไกล แค่มองไปก็จะเห็นตึกสูงๆหลากหลายสไตล์

เนื่องจาก ถนนเก่าแก่แห่งนี้ปฏิเสธที่จะให้นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์เข้ามาพัฒนา และไม่มีใครกล้ามาบังคับให้รื้อถอนสถานที่แห่งนี้

ที่นี่ก็คือเขตหยังเจีย ที่ตั้งของหอบรรพบุรุษตระกูลหยัง

หอบรรพบุรุษตระกูลหยัง นอกจากนี้ยังเป็นองครักษ์มังกรที่ทรงพลังในแก๊งมังกรแห่งเมืองก่าง แท่นบูชาหลักขององครักษ์มังกรดำ

หลินอิ่งมาถึงหอบรรพบุรุษตระกูลหยัง พบว่าวัดถูกกักกัน มีทีมก่อสร้างกำลังขุดดิน ข้างนอกวัดมีคำสั่งรื้อถอนแปะอยู่ สิ่งแวดล้อมยังเหมือนเดิมแต่คนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว

หลินอิ่งพาฮาเดส มาถึงร้านขายซุปเล็กๆร้านหนึ่ง เจ้าของร้านเป็นป้าวัยกลางคนหนึ่ง กำลังยุ่งอยู่กับซุปหวานในหม้อที่อยู่ตรงหน้า

สั่งซุปหวานมาสองถ้วย หลินอิ่งดื่มคำหนึ่ง และถามอย่างสบายๆ “คุณป้า เพราะอะไรถึงต้องรื้อถอนหอบรรพบุรุษตระกูลหยัง? ไม่ใช่ว่าในเขตหยังเจียยังมีคนที่ชื่อว่าหยังสวนเจิงเคยพูดเอาไว้ว่า ไม่ว่าใครก็ตามไม่มีสิทธิ์มารื้อถอนวัดแห่งนี้ไม่ใช่หรอ? คุณป้ารู้เรื่องนี้ไหม?

ในปีนั้นได้เกิดแก๊งมังกรที่สร้างอำนาจในเมืองก่าง คือสำนักมังกรดำ หัวหน้าสำนักก็คือหยังสวนเจิง

สำนักอู่เหมินสิบสองของแก๊งมังกร ล้วนถูกซ่อนอยู่ในเมือง

เป็นถึงขั้นหัวหน้าของสำนัก ต้องมีข้อมูลไม่น้อยแน่เลย

ครั้งนี้หลินอิ่งมาหาหยังสวนเจิงโดยเฉพาะ เป็นเพราะว่า คนนี้ถือเป็นลูกศิษย์ที่อยู่ในรายชื่อของอาจารย์ ดูแลลูกศิษย์อย่างเขาตั้งแต่เล็กจนโต เขาเคารพอาจารย์ของเขาเป็นอย่างมาก และไม่ทางหักหลังเขาอย่างแน่นอน

ตอนเด็ก หลินอิ่งยังค่อยติดตามอาจารย์ และยังเคยเจอกับหยังสวนเจิงยังเจอกันโดยบังเอิญ

หาหยังสวนเจิงเจอ บางทีก็อาจจะได้รู้ เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นกับแก๊งมังกร ถึงกับทำให้มีการแย่งชิงตำแหน่งหัวหน้าไป

“ไอ่หยา ต้องรู้จักหยังสวนเจิงอยู่แล้ว เป็นคนที่มีชื่อเสียงในเขตหยังเจีย การรื้อถอนวัดนี้เริ่มขึ้นเมื่อครึ่งปีที่แล้ว” ป้าเจ้าของร้านพูด “ได้ยินมาว่าเป็นคนในครอบครัวของหยังสวนเจิงเองที่ติดต่อกับบริษัทอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายวัด ฉันไม่รู้รายละเอียดของสถานการณ์ที่แน่ชัด

“ถ้าอย่างนั้นคุณรู้จักที่อยู่ของหยังสวนเจิงไหม?” หลินอิ่งถามอย่างนิ่งเรียบ

“ก็อยู่ข้างในสุดของซอยนั้น วิลล่าที่ใหญ่ที่สุดหลังนั้น ก็คือบ้านของพวกเขา” คุณป้าเจ้าของร้านพูด

จ่ายเงินเสร็จ หลินอิ่งยืนขึ้นและเดินจากไป เดินไปสุดซอย

ในตรอกของถนนสายเก่านี้ มีการสร้างวิลล่าในสไตล์สวนที่หรูหราและไม่ธรรมดา

ป้อมยามตรงทางเข้าของประตู มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคาบบุหรี่ในปากลกำลังเล่นโทรศัพท์อยู่

“ฉันมาหาหยังสวนเจิง”หลินอิ่งพูดอย่างเฉยเมย

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ในป้อมยาม ปากคาบบุหรี่ไว้ เงยหน้าขึ้นเหลือบมองหลินอิ่ง สายตาราวกับมองคนโง่ “หยังสวนเจิงตายไปกี่ปีแล้ว นายมาหาความอับโชคใช่ไหม?”

“ลูกหลานของหยังสวนเจิงล่ะ?” หลินอิ่งถามด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์

“คุณเป็นใคร? คุณอยากจะหาใครก็หาใคร?” เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดอย่างไม่พอใจ “ที่นี่คือคฤหาสน์ของตระกูลสวี ห้ามบุคคลภายนอกเข้ามาเด็ดขาด บอกให้คุณ อย่ามาสร้างปัญหาที่นี่”

“ให้เจ้าของคฤหาสน์ออกมาพบกับผม” หลินอิ่งพูดอย่างเฉยเมย

“นี่ นายจะไม่จบไม่สิ้นใช่ไหม? แม่งเอ้ย ระวังกู……”เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพูดอย่างหมดความอดทน ลุกขึ้นยืนกำลังเดินไปไล่หลินอิ่ง

ฮาเดสเดินไปยังหน้าไม่กี่ก้าว สีหน้าของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยดูหวาดผวา กลัวจนถอยหลังไปหลายก้าว

“ใคร? มาหาหยังสวนเจิง?”

ในเวลานี้ ประตูสีแดงในสวนของวิลล่าเปิดออก ผู้หญิงเจ้าเสน่ห์คนหนึ่งเดินออกมา จ้องมองไปยังหลินอิ่ง

“หยังสวนเจิงตายไปหลายปีแล้ว คนในบ้านของเขาก็ตายหมดแล้ว ถูกตัวเขาไอ้อาภัพอับโชคคนนี้ทำให้ตาย!” หญิงสาวเจ้าเสน่ห์พูดอย่างเกรี้ยวกราด “นายอยากหาไอ้คนโชคไม่ดีคนนั้น ก็ไปหาที่อื่น ไม่ต้องมาหาที่หน้าบ้านฉันช่างอับโชคจริงๆเลย!”

“ในบ้านไม่มีคนอื่นแล้ว?” หลินอิ่งขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นเธอเป็นอะไรกับหยังสวนเจิง?”

“ฉันเป็นอะไรกับเขา แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนาย!”หญิงสาวเจ้าเสน่ห์หมดความอดทน และพูดสาปแช่ง“ต้องการหาหยังสวนเจิง นายลงไปหาเขาสิ? ช่างอับโชคจริงๆ!”

“คุณลุง คุณมาหาพ่อของหนูหรอ?”

ในเวลานี้ มีเด็กหญิงที่สวมกระโปรงเก่าๆเดินออกมาจากประตู สาวน้อยที่เปียผมหางม้า สกปรกและท่าทางน่าสงสาร จ้องมองหลินอิ่งด้วยแววตาที่คาดหวัง

“เธอคือลูกสาวของหยังสวนเจิง?”หลินอิ่งถามด้ายความสงสัย

“หนูชื่อหยังสู้สู้ หยังสวนเจิงคือพ่อของหนู” สาวน้อยพูด

“หุบปาก! ฉันสอนเธอว่ายังไง? อย่าคุยกับคนนอก! ถ้าพูดอีกจะโดนตบปาก!”

หญิงสาวผู้มีเสน่ห์ดุสาวน้อยผมหางม้าอย่างโกรธจัด คว้าตัวเธอแล้วลากเข้าไปในวิลล่า

“ปิดประตู! ใครก็ตามที่มาหาหยังสวนเจิงไอ้คนตายคนนั้น ไล่มันไม่ออกไปให้หมด!”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท