ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 379 คนของฉัน ไม่ควรถูกเหยียดหยาม

บทที่ 379 คนของฉัน ไม่ควรถูกเหยียดหยาม

“คุณพ่อของหนูฝากของไว้ให้ฉัน?” หลินอิ่งมองไปยังหยังสู้สู้ด้วยแววตาที่เปล่งประกาย

เป็นอย่างที่ตัวเองคิดจริงๆด้วย หยังสวนเจิง ยังเหลือทางอื่นไว้อยู่

เมื่อถึงระดับของหยังสวนเจิง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำอะไรได้ในตอนที่แก๊งมังกรเปลี่ยนไปได้ แต่ว่าหลังจากนั้น ยังสามารถใช้ความคิดที่ดี ซ่อนวางแผนไว้

“ใช่ค่ะ พ่อของหนูบอกว่า จะต้องมอบให้คุณลุงอิ่งกับมือ” หยังสู้สู้พูดอย่างจริงจัง มือทั้งสองข้างจับก้อนกรวดสีดำที่ธรรมดาเอาไว้

หลินอิ่งมองดูท่าทางที่แน่วแน่ของหยังสู้สู้ เขาขยับหน้า และรับหินสีดำนี้มาอย่างจริงจัง วางไว้ตรงฝ่ามือ

หลังจากที่หายใจสามครั้ง ก้อนกรวดสีดำที่อยู่ในมือจองหลินอิ่ง ก็กลายเป็นผงขี้เถ้า และไหลลงมาที่ปลายนิ้ว

ก้อนกรวดสีดำ ชะล้างผงขี้เถ้าออก ข้างในเป็นหยกขาวกลมๆที่ใสแจ๋ว

หลินอิ่งบิดหยกขาวที่มีขนาดเท่าฝ่ามือ แบ่งออกเป็นสองส่วน และดึงม้วนจดหมายที่ทำจากวัสดุที่พิเศษออกมา

นี่เป็นวิธีส่งข่าวสารข้อมูลพิเศษของแก๊งมังกร หินดำซ่อนจดหมาย

ถ้าหากว่าใช้กำลังทุบหินก้อนนี้เพื่อเปิดมัน เชื้อเพลิงในหยกก็จะทำการเผาไหม้โดยอัตโนมัติ และเผาจดหมายไปด้วย ทำลายข้อมูลทิ้ง

และการเปิดหินที่ถูกต้องนั้น มีเพียงหลินอิ่งคนเดียวถึงจะรู้

“นี่คือ……”

“นี่เขากำลังเล่นมายากลอยู่ใช่ไหม?”

“เป็นไปได้มั้ย? ว่านี่คือสิ่งของมีค่าอะไรที่หยังสวนเจิงไดทิ้งเอาไว้ให้?”

พวกแม่สวีมองหลินอิ่งด้วยแววตาที่เหลือเชื่อ สายตาเต็มไปด้วยความตกใจ

พวกเขาไม่เข้าใจ หลินอิ่งทำได้ยังไง สามารถทำให้หินสีดำที่อยู่ในมือของหยังสู้สู้ให้กลายเป็นผงขี้เถ้า แล้วเปลี่ยนเป็นหยกขาว?

อย่างบอกนะว่า หินที่หยังสู้สู้เด็กโง่นั้นถืออยู่ทุกวัน นั้นจะเป็นของมีค่าจริงๆ?

หลินอิ่งหยิบจดหมายมาอ่านอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็ค่อยๆหลับลง ด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

หลังจากนั้นไม่นาน หลินอิ่งค่อยๆลืมตาขึ้นมองไปยังหยังสู้สู้แล้วพูดว่า “พ่อของหนูมีความตั้งใจมาก”

“นี่? นายเป็นเพื่อนของหยังสวนเจิงจริงๆหรอ? ในมือของนายถืออะไรไว้? นั้นคือสิ่งที่หยังสวนเจิงทิ้งไว้ให้ครอบครัวของเรานะ” แม่สวีพูดอย่างไม่พอใจและจัองไปที่หลินอิ่ง “นี่คือของของครอบครัวฉัน นายเอามันมาให้ฉัน!”

“ใช่แล้ว! นายมีสิทธิ์อะไรมาบุกรุกบ้านของคนอื่น? ยังมาหยิบของตามใจชอบ?”

“นายคิดว่านายเป็นใคร? ของนั้นเป็นของนายหรือไง ถือมันเอาไว้ในมือ? นายคิดว่าสามารถพึ่งพาบอดี้การ์ดที่เก่งของนาย อยากจะแย่งของอะไรก็ได้?”

ในความคิดของพวกเขา การที่หลินอิ่งมาหาหยังสวนเจิงโดยเฉพาะ ก็เพื่อก้อนหินก้อนนั้น ถ้าอย่างนั้นแสดงให้เห็นว่าก้อนหินก้อนนี้มีความลับที่ยิ่งใหญ่! อาจจะเกี่ยวข้องกับมรดกที่หยังสวนเจิงทิ้งเอาไว้ให้

จะต้องไม่ปล่อยให้บุคคลนอกมาเอาไป!

หลินอิ่งมองไปยังผู้คน และพูดอย่างเฉยเมย “พวกนายเป็นอะไรกับหยังสวนเจิงอีก?”

“ ฉันคือภรรยาของหยังสวนเจิง สวีชิงเยว่ มีอะไรหรอ?” สวีชิงเยว่พูด “ เนื่องจากเป็นของที่หยังสวนเจิงได้ทิ้งเอาไว้ ก็ควรที่จะมอบให้ฉัน! นายไม่มีสิทธิ์มาเอาไว้!”

“ภรรยาของหยังสวนเจิง? คุณคู่ควรไหม?” หลินอิ่งพูดอย่างเย็นชา “ หยังสวนเจิงมอบหมายให้คุณดูแลลูกสาวของเขา แต่คุณปฏิบัติกับเธอยังไง?”

“ ฉันจะปฏิบัติกับเธออย่างไร นั่นมันก็เป็นเรื่องของครอบครัวของฉัน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับคนนอกอย่างนาย?” สวีชิงเยว่พูดอย่างประชดประชัน “ นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร? มีบอดี้การ์ดที่เก่งก็มาทำเป็นอวดเก่ง? ยังมายุ่งเรื่องของครอบครัวสวีอีก?

หลินอิ่งส่ายหัว แล้วเหลือบมองหยังสู้สู้ที่ท่าทางน่าสงสาร บนใบหน้ายังมีรอยนิ้วมือที่ชัดเจน นอกจากนี้บนมือและขายังมีร่องรอยของแผลเป็นแถวๆจากการถูกแส้ฟาดมาเป็นเวลานาน

โดยเฉพาะ สีผิวที่เหลืองที่ราวกับว่าร่างกายขาดสารอาหาร สวมใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ดูเหมือนเด็กเร่ร่อนพเนจร เป็นเพราะว่าถูกขังอยู่ในวิลล่ามาเป็นเวลานาน ห้ามไม่ให้ไปโรงเรียน ดูเหมือนว่าสมองก็มีปัญหานิดหน่อย มีแนวโน้มที่จะเป็นเด็กออทิสติก

ต้องรู้ว่า หยังสวนเจิงก็เหลือวิลล่าหลังใหญ่ไว้หลังหนึ่ง ที่ดินหนึ่งผืนในเมืองก่าง ไม่ต้องพูดเยอะ ทรัพย์สินอย่างน้อยพันล้านที่เหลือเอาไว้

สุดท้าย สวีชิงเยว่ได้รับมรดกส่วนนี้ของหยังสวนเจิง แต่กลับปฏิบัติกับหยังสู้สู้อย่างโหดร้าย? ไม่ได้สนใจแม้แต่เสื้อผ้าและอาหารการกินของเด็ก?

หลินอิ่งรู้สึกปวดใจ

ตอนที่หยังสวนเจิงอยู่นับว่าเป็นบุคคลสำคัญในแวดวงผู้ลึกลับ เป็นหัวหน้าในสำนักมังกรดำแห่งแก๊งมังกร ศิลปะการต่อสู้กล่าวได้ว่าเหนือโลก ความร่ำรวยในโลกคือสิ่งที่ได้มาอย่างง่ายดาย หลังจากที่ตายไป ทายาทเพียงคนเดียว กลับต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้?

หยังสวนเจินทั้งชีวิตนี้ทำงานให้กับแก๊งมังกรด้วยความซื่อสัตย์ หลังจากที่ตายไป ก็ไม่เคยลืม ให้คนรุ่นหลังปกป้องข้อมูลและรอให้เขามารับของเอง

เรื่องของลูกสาวหยังสวนเจิง เขาหลินอิ่ง ไม่สามารถที่จะนั่งเฉยๆทำเป็นไม่สนใจไม่ได้!

“ไอ้โง่นี่นายหูหนวกหรือไง? ฉันให้นายเอาของคืนมา และก็ปล่อยหยังสู้สู้กลับมา! ฉันได้โทรเรียกคนมาแล้วนะ!” สวีชิงเยว่ตะโกน “ อย่าคิดว่าครอบครัวของเรารังแกง่าย ตระกูลสวีของพวกเรายังเป็นครอบครัวใหญ่ในเมืองก่างอีกด้วย!”

เมื่อเห็นว่าทำอะไรหลินอิ่งไม่ได้ สีหน้าของสวีชิงเยว่ดูไม่พอใจและพูดว่า “ หยังสู้สู้ ไอ้เด็กบ้านี่ ยังไม่เอาของนั้นแล้วใส่หัวกลับมา! แกลืมไปแล้วหรอ ว่าใครเป็นคนเลี้ยงแกมา? แกกินข้าวของบ้านใคร หรืว่าแกไม่รู้อะไรเลย?”

“หนู หนูกำลังคุยเรื่องบางอย่างกับคุณลุงอยู่ รออีกเดี๋ยวเดียวหนูกลับไป……” หยังสู้สู้พูดอย่างเชื่อฟัง เห็นได้ชัดว่าในใจของเธอกลัวสวีชิงเยว่มาก

“ แม้แต่คำพูดของฉันก็ไม่ฟังแล้ว? แกมันให้เด็กบ้า! ถ้าไม่เห็นว่าแกมีประโยชน์ ฉันฆ่าแกไปนานแล้ว! ถ้าเป็นห่วงเรื่องของพ่อที่ไม่ได้เรื่องของแกมากนัก ทำไมไม่ตายไปกับพ่อที่ไม่ได้เรื่องของแกตั้งแต่แรก?” สวีชิงเยว่พูดสาปแช่ง

ถ้าไม่ได้เป็นเพราะอยากรู้ว่าหยังสวนเจิงจะทิ้งมรดกอะไรไว้ให้กับหยังสู้สู้บ้าง ฉันก็ฆ่าเด็กนี่ไปนานแล้ว! ตอนนี้ยังกล้าที่จะสมรู้ร่วมคิดกับคนนอก?

ท่าทางแบบนี้ หยังสู้สู้กำลังบอกความลับที่หยังสวนเจิงทิ้งเอาไว้ให้กับคนนอกอย่างชัดเจน!

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใบหน้าของสวีชิงเยว่ปรากฏความอิจฉาและความเกลียดชังขึ้นมา

“นายคนที่นามสกุลหลิน ฉันจะบอกอะไรนายให้ นายมันก็แค่คนนอกคนหนึ่ง อย่ามาทำเป็นโลภมากกับมรดกที่หยังสวนเจิงทิ้งเอาไว้ให้ ฉันเป็นภรรยาของเขา มรดกที่เขาได้เหลือเอาไว้ นายไม่มีสิทธิ์มาแย่งเอามันไปได้!” สวีชิงเยว่ตะโกน “ รีบเอาของนั้นมาให้ฉัน! ระวังฉันจะไปฟ้องร้องนาย!”

“ หุบปาก!”

หลินอิ่งมองสวีชิงเยว่ด้วยสายตาที่เย็นชา และพูดอย่างเคร่งขรึม

“ นี่นายกำลังขู่ฉันใช่ไหม? นี่คือบ้านของฉัน!” สวีชิงเยว่พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ นายบุกรุกเข้าบ้านคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต รอฉันไปหาคนของตระกูลสวี จับนายส่งเข้าคุก!”

“เชื่อฉัน จะไม่อับอาย” หลินอิ่งพูดอย่างเฉยเมย

“ นายหมายความว่ายังไง?” สวีชิงเยว่ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ ความหมายของนายคือต้องการออกหน้าช่วยหยังสู้สู้? คิดว่าพวกเราดูถูกเธอ? หึ ช่างน่าตลกสิ้นดี”

“ ไม่เชื่อนาย จะทำให้อับอาย? คนที่นามสกุลหลิน นายคิดว่านายเป็นเทวดาหรือไง? หยังสู้สู้คือลูกสาวของฉัน ฉันอยากจะดูถูกเธอตามต้องการยังไงก็ได้ ฉันขายเธอให้กับซ่องโสเภณีแล้วจะยังไง? มีความเกี่ยวกับกับนายสักนิดไหม?”

สวีชิงเยว่เอามือท้าวเอว พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา ท่าทางราวกับว่าตัวเองถูกต้องที่สุด

หลินอิ่งไม่ได้พูดอะไรอีก เขาไม่ต้องการพูดมากกับผู้หญิงที่ร้ายกาจคนนี้ และไม่อยากจะพูดโต้แย้งอะไร

เหตุผล คือการพูดให้กับคนที่ฟังเข้าใจ

ผิดถูก คือการแยกแยะให้กับคนเข้าใจ

คนที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่คู่ควร

“ฮาเดส ฆ่าพวกเขาให้หมด”

หลินอิ่งทิ้งไว้ประโยคหนึ่งด้วยความเฉยเมย

หลังจากนั้น หันหลังแล้วพาหยังสู้สู้ เดินออกไปจากวิลล่าแห่งนี้

ฮาเดสยิ้มอย่างเย็นชา บนใบหน้าของเขาปรากฏความโหดร้าย ได้รับคำสั่งของหลินอิ่ง เขาก็เหมือนกับสัตว์ร้ายที่ออกมาจากกรง ดวงตาเต็มไปด้วยความกระหายเลือด

“อึก!”

“อึก!”

“อึก!”

เสียงกรี๊ดด้วยความเจ็บปวดดังมาจากข้างในของวิลล่า

ทันใดนั้นสวีชิงเยว่คุกเข่าลงตรงหน้าฮาเดส ตัวสั่งไปทั้งตัว ก้มคำนับขอความเมตตา

“ไม่! อย่าฆ่าฉันนะ ฉันเป็นภรรยาของหยังสวนเจิง! ได้โปรดเห็นแก่หน้าของหยังสวนเจิงเถอะ!”

“ฉันผิดไปแล้ว ฉันไม่ควรทรมานหยังสู้สู้ ให้โอกาสฉันหนึ่งครั้งเถอะ ต่อไปฉันจะดูแลเธออย่างดี”

แครก!

ฮาเดสคว้าคอของสวีชิงเยว่ด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ เย็นชาราวกับหุ่นยนตร์

ประธานหลินพูดว่าฆ่าทิ้งให้หมด เขาก็จะมาปล่อยให้รอดไปได้แม้แต่คนเดียว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท