ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 382 หาเรื่องถึงที่?

บทที่ 382 หาเรื่องถึงที่?

บทที่ 382 หาเรื่องถึงที่?

หลินอิ่งกับคริสเดินออกจากห้องอาหาร “ดรีมคริสตัล”

แผนกต้อนรับร้านอาหารผองเฟย มีชายต่างชาติผมทองในชุดสูทสีแดงเข้มคนหนึ่ง ข้างกายยังมีชายต่างชาติร่างใหญ่ผิวดำอีกคน

“ออ? คุณคริส ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” ชายผมทองพูดด้วยสีหน้ายิ้ม “ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง?”

“ข่าเอ๋อร์ โม่เก๋อติงให้คุณมาพูดอะไรกับผม?” คริสพูดด้วยสีหน้าเย็นชา ไม่ได้สนใจชายผมทองที่ทักทายอย่างเสแสร้ง

ข่าเอ๋อร์ยิ้ม พูดอย่างใจเย็น “คริส คุณไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้? ไม่ว่ายังไงก็เป็นเพื่อนเก่าแก่แล้ว คุณก็เป็นนายเก่าผมนะ?”

เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็พูดว่า “คริส ผมเป็นตัวแทนของประธานโม่เก๋อติงมาคุยกับคุณ”

“ประธานโม่เก๋อติงมีคำพูดให้ผมมาบอกคุณ อย่าเสียเวลาคิดทำอะไร ในเมืองก่าง คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประธานโม่ และอย่าคิดทำเรื่องอะไรไร้สาระ พูดอย่างไม่เกรงใจนะ คริส เรื่องที่คุณทำหลังจากมาถึงเมืองก่าง มันโง่เขลามาก” ข่าเอ๋อร์ใบหน้ายังคงยิ้มแย้ม มุมปากมีรอยเยาะเย้ย

คริสสีหน้าโมโห พูดเสียงเฉยชา “ฉันควรจัดการเรื่องยังไง ยังไม่ใช่สิทธิ์ที่คุณจะมาพูด กลับไปบอกโม่เก๋อติง กล้ายุ่งเรื่องฉันอีก ระวังฉันจะไม่เกรงใจ”

“ฮาฮา คริส อย่าโกรธขนาดนี้” ข่าเอ๋อร์สีหน้าได้ใจ “โกรธจะไปช่วยอะไรได้? คุณไม่เกรงใจแล้วจะทำอะไรได้?”

“พูดตามตรง ผมไม่เข้าใจ สมองคุณนี่คิดอะไรอยู่ ถึงได้มาเมืองก่างรับซื้อบริษัทผองเฟยที่ประธานโม่ถูกใจ ยังอยากแย่งลงมือก่อน รับซื้อบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจิน?”

ข่าเอ๋อร์พูดอย่างล้อเล่น “ผมไม่รู้ว่ามีใครสนับสนุนเงินทุนให้คุณอยู่เบื้องหลัง แต่ผมอยากบอกว่า นายทุนที่ลงทุนให้คุณ ช่างเป็นคนโง่จนหมดทางช่วยแล้ว”

ข่าเอ๋อร์เป็นรองประธานบริษัทลาตินกรุ๊ปแห่งเมืองก่าง เป็นลูกน้องคนเก่งอันดับหนึ่งรของโม่เก๋อติง รู้เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับคริส อีกอย่าง สำหรับฝีมือการกระทำของบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจิน เขาเป็นคนลงมือด้วยตัวเอง

เขารู้ดี ถึงแม้คริสจะเป็นตัวแทนบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ลำพังเขาคนเดียวไม่มีทรัพย์สินมากมายขนาดนี้ ที่สามารถรับซื้อบริษัทผองเฟยและบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจิน

ต้องรู้ว่า โม่เก๋อติงเป็นผู้คุมอำนาจที่แท้จริงของลาตินกรุ๊ปแห่งเมืองก่าง จากสถานการณ์การใช้เงินหมุนเวียนของลาตินกรุ๊ป ก็ต้องใช้เรี่ยวแรงไม่น้อย ใช้เวลาอยู่นานมากถึงบีบจนบริษัทผองเฟยจนถึงเหวได้

ส่วนคริส กลับซื้อบริษัทผองเฟยได้เพียงชั่วพริบตา นี่มันไม่คู่ควรกับฐานะของคริส

ดังนั้น โม่เก๋อติงก็เลยตัดสินเอง คริสต้องได้รับการสนับสนุนจากนายทุนลึกลับบางคนแน่นอน ดังนั้นจึงคิดอยากจะต่อต้านเขาโดยไม่ดูความสามารถตัวเอง

“เหอะ งั้นก็รอดูละกัน” คริสหัวเราะเย็นชา “โม่เก๋อติงนึกว่าอยากทำอะไรตามใจชอบที่เมืองก่างได้ แต่อย่าลืม ฉันต่างหากที่เป็นตัวแทนผู้มีอำนาจสูงสุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของลาตินกรุ๊ป”

“ฮาฮา ตัวแทนลาตินกรุ๊ปในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก? ท่านคริสของผม ท่านช่วยบอกผมหน่อย ในเมืองก่าง ท่านทำอะไรได้บ้าง?” ข่าเอ๋อร์สีหน้าล้อเล่น ถามอย่างเสียดสี “คุณไปรับซื้อบริษัทผองเฟยที่เกือบถูกประธานโม่เก๋อติงเล่นงานจนจะล้มแล้ว? หรือคุณคิดว่าตัวเองยังพลิกสถานการณ์ได้? จากนั้นละ อยากไปซื้อบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจิน ทำลายแผนการโครงการสถานบันเทิงของประธานโม่เก๋อติง?”

“แล้วไงละ? มีใครไว้หน้าคุณไหม? ในเมืองก่าง คุณก็เป็นแค่หมาไร้บ้านคนเดียวเท่านั้น”

ข่าเอ๋อร์พูดจาไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย โจมตีคริสอย่างบ้าคลั่ง เหมือนมีความเกลียดแค้นคริสอย่างมาก

“เหอะเหอะ” คริสหัวเราะอย่างเย็นชา “ข่าเอ๋อร์ นายไม่มีสิทธิ์มาอวดดีต่อหน้าฉัน ก็แค่ลูกน้องที่ล้มเหลวคนเดียวเท่านั้น ในอดีตนายอยู่สำนักงานใหญ่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉัน ตอนนี้ก็ร่วมมือกับโม่เก๋อติง มาต่อต้านฉันแล้ว?”

ข่าเอ๋อร์หัวเราะ พูดว่า “คริส วันนี้ไม่เหมือนในอดีตแล้ว คุณต้องดูให้ชัดเจน ในเมืองก่างใครกันแน่ที่มีอำนาจที่แท้จริง”

“ใช่เหรอ? มีอำนาจที่แท้จริง?” คริสพูดเสียงเรียบ “นายมาหาถึงที่ ก็เพื่อมาอวดดีหาเรื่องฉัน? นายคิดว่าฉันทำอะไรนายได้เหรอ?”

ฮาเดสสายตามีแรงอาฆาต จ้องหน้าข่าเอ๋อร์

“ออ? ฮาเดส ลืมทักทายนายไปเลย” ข่าเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าได้ใจ “นี่นายกำลังตักเตือนข่มขู่ฉันเหรอ? ขอโทษด้วยนะ ข้างกายฉันก็มีคนฝีมือดีเหมือนกัน นายสองคน ทำอะไรฉันไม่ได้แม้แต่น้อย”

ชายร่างใหญ่ผิวดำข้างกายข่าเอ๋อร์ เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว สวมใส่ชุดหนังกะทัดรัด กล้ามเนื้อบนร่างกายอันบึกบึน ดูแล้วน่าโหดเหี้ยม

“ควรพูดเรื่องงานแล้ว คริส คืนนี้ที่อาคารสุ่ยจิน มีงานเลี้ยงของแวดวงสังคมเมืองก่างที่ประธานโม่เก๋อติงจัดขึ้น ขอเชิญคุณไปร่วมงานด้วย คุณอยากแย่งชิงบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินไม่ใช่เหรอ? ก็ดูว่าคุณจะกล้าไปไหม?” ข่าเอ๋อร์สีหน้าหยอกล้อ พูดอย่างมั่นใจ “ออ ใช่แล้ว ช่วยฉันไปบอกนายทุนเงินเยอะน่าโง่ที่อยู่เบื้องหลังนายคนนั้น เขาช่างโง่เหลือเกิน โง่เกินไร้ทางเยียวยาแล้ว”

“พอแล้ว สิ่งที่ควรพูดก็พูดแล้ว คริส ช่วงนี้ผมฝึกคำพูดของประเทศหลุงคำหนึ่ง ผมขอมอบให้คุณ คุณควรรู้ดีในใจ”

เยอะเย้ยคริสจบแล้ว ข่าเอ๋อร์ก็ท่าทางพอใจอย่างมาก หมุนตัวไปช้าๆ อยากจากไป

“ผมให้คุณไปได้แล้วเหรอ?”

หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

มาหาเรื่องเยาะเย้ยถึงที่ ท่าทางหยิ่งยโสด่าทุกคนที่อยู่ในนี้หนึ่งรอบ อยากเดินออกไป?

คิดว่าที่นี่ไม่มีคนแล้วเหรอ?

“นายพูดอะไร? แก้นี่มันไอ้ลิงผิวเหลืองต่ำต้อย แน่จริงพูดอีกรอบ?” ข่าเอ๋อร์หันไปมองหน้าหลินอิ่งอย่างเย็นชา พูดอย่างโมโห

“คริส ไอ้ลิงผิวเหลืองนี่เป็นลูกน้องคุณเหรอ? ในมือคุณขาดคนมีฝีมือถึงขนาดนี้เลยเหรอ? แม้กระทั่งสัตว์หน้าโง่อย่างไอ้ลิงผิวเหลือง คุณยังรับสมัคร?” ข่าเอ๋อร์พูดด้วยสีหน้าดูถูก ท่าทางดูถูกประเทศหลุงอย่างชัดเจน

คริสสีหน้าเย็นชา ไม่กล้าพูดไปเรื่อย ไม่กล้าล้ำเส้นหลินอิ่ง

“ไอ้ลิงผิวเหลืองน่าโง่อย่างแกกล้าปะทะกับฉันเหรอ เฟยบี่ ไปต่อยมันจนให้มันคุกเข่าลง”

ข่าเอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา “ฉันจะทำให้แกรู้ อะไรคือนายฝรั่งของแก แกมันไอ้ลิงผิวเหลืองหน้าโง่”

เขาเพิ่งพูดจบ ชายร่างใหญ่ผิวดำคนนั้นก็เดินเข้าไปด้วยสายตาดูถูก

“ไอ้ลิงผิวเหลืองผอมแห้ง ดูว่าฉันจะฆ่าแกยังไง”

ปัง

มีเสียงกระทบดังกลางอากาศ ร่างหลินอิ่งขยับอย่างสายฟ้าแลบ เร็วจนไม่มีใครมองมัน

เพียงแค่ยกเท้า ถีบเฟยบี่กระเด็น ถีบจนเขากระเด็นไปไกลสิบเมตร ร่างล้มลงที่ข้างกำแพงอย่างแรง จนเป็นหลุม ล้มลงบนพื้นจนกระอักเลือด ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย

“นี่”

ข่าเอ๋อร์ตกใจจนตาแทบกระเด็น

“คุกเข่า”

หลินอิ่งสายตาเย็นชา ตะโกนเสียงเข้ม

ตุ๊บตั๊บ

ข่าเอ๋อร์ถูกความเยือกเย็นของหลินอิ่งทำให้ตกใจจนเข่าอ่อน ฮวั๊กคุกเข่าลงบนพื้น ร่างสั่นไปทั้งตัว

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท