ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 385 กล้ามาก็ทุบให้ขาหัก

บทที่ 385 กล้ามาก็ทุบให้ขาหัก

“ให้นามบัตรฉันหนึ่งใบ? แกเสแสร้งอะไรอีก? แกรู้ไหมว่ารถคันนี้ของฉันราคาเท่าไหร่? แปดล้านกว่า ไอ้บ้านนอกอย่างแกมีเงินใช้ไหม?” คุณหนีมองร่างหลินอิ่งที่เดินจากไปอย่างดูถูก

“ไอ้บ้านนอกหยุดเดี๋ยวนี้ ชนรถแล้วยังอยากหนี?”

คุณหนีหน้าดำ สายตาโมโห เก็บนามบัตรขึ้นมา จากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

นามบัตรของคริส ประธานบริษัทของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

“นี่? นี่คือตัวแทนของบริษัทลาตินกรุ๊ปในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก?” คุณหนีสีหน้าตกใจ

“พวกคุณ ขอโทษด้วย ฉัน ฉันชื่อหนีซิง เป็นดาราของบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจิน หวังว่าท่านจะไม่ถือสา”

หนีซิงรีบวิ่งไปตามหลินอิ่ง เปลี่ยนทัศนคติไปทันที รีบทำหน้าตายิ้มแย้ม อยากขอโทษหลินอิ่งด้วยตัวเอง

ต้องรู้ว่า คืนนี้เธอมาร่วมงานที่จัดขึ้นโดยลาตินกรุ๊ปของเมืองก่าง อยากขยายความสัมพันธ์รู้จักคนเพิ่มขึ้น ทำตัวเป็นสาวประชาสัมพันธ์

ตัวแทนเขตภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของลาตินกรุ๊ป นั่นไม่ใช่ดาราเล็กๆในเมืองก่างอย่างเธอจะมีเรื่องด้วยได้

ปัง

หนีซิงเพิ่งถึงหน้าลิฟต์อยากเบียดเข้าไป เห็นเพียงใบหน้าอันเย็นชาของหลินอิ่ง จากนั้นลิฟต์ก็ขึ้นไป ถูกขวางไว้ข้างนอก

“จบกัน ทำให้คนแบบนี้ขุ่นเคือง” หนีซิงพูดด้วยสีหน้ากังวล “รีบโทรหาประธานหวางด่วน ดูว่าจะเชิญประธานโม่เก๋อติงมาช่วยพูดหน่อยไหม”

…….

อาคารสุ่ยจินชั้นแปดสิบแปด

ภายในห้องจัดเลี้ยงอันกว้างใหญ่นั้น โคมระย้าแบบยุโรปสวยหรู สว่างไสว จัดวางโต๊ะคริสตัลที่ปูไปด้วยผ้าสีแดง บนพื้นก็ปูไปด้วยพรมสีแดง

ภายในงาน ดูหรูหราตระการตา

ผู้คนเข้าๆออกๆ ล้วนดูไม่ธรรมดา ทั้งชายและหญิงที่แต่งกายหรูหรา

งานเลี้ยงประสานสัมพันธ์ในแวดวงธุรกิจ

ประธานโม่เก๋อติงของลาตินกรุ๊ปแห่งเมืองก่างจัดงานเลี้ยงสังคมแวดวงธุรกิจ คนที่มาร่วมงานก็ต้องเป็นคนมีหน้ามีตาในสังคม

คนที่นั่งอยู่ในงาน สามารถกระทบโครงสร้างทั้งหมดของเขตหยู้ติ่งเมืองก่างได้ ทุกสายกิจการในวงการธุรกิจ การเมือง โลกแห่งความมืด ล้วนมีผู้นำสูงสุดมาร่วมงาน

โต๊ะที่โดดเด่นที่สุดในงาน ชายหญิงที่แต่งตัวไม่ธรรมดาแต่ละคนยกแก้วดื่มเหล้า

“ประธานโม่ ผมชนแก้วให้ท่านหนึ่งแก้ว”

“ประธานโม่ มีโอกาสไปนั่งที่สำนักการต่างประเทศ ดื่มชาด้วยกัน”

“มีเวลามีนั่งที่ศุลกากร ประธานโม่”

แต่ละคนที่ฐานะไม่ธรรมดา ต่างก็พากันลุกขึ้นยกแก้ว หน้าตายิ้มแย้ม ยกแก้วดื่มเหล้าให้กับชายต่างชาติผมหยิกสีเหลืองคนหนึ่ง

“เรื่องพวกนี้ไม่มีปัญหา” ชายผมหยิกสีหน้ายิ้มแย้ม นั่งอยู่บนที่นั่งอย่างสง่า ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่ม

“นั่งกันเถอะ”

ชายผมหยิกพูดอย่างสบายใจ คนที่ลุกขึ้นดื่มเหล้าก็พากันนั่งลง

ชายผมหยิกคนนี้ที่ดูเหมือนเจ้าของงานเลี้ยง ก็คือผู้จัดงานเลี้ยงครั้งนี้ ก็คือประธานลาตินกรุ๊ปแห่งเมืองก่าง โม่เก๋อติง

ลาตินกรุ๊ปเป็นบริษัทข้ามชาติสิบอันดับต้นของโลก เมืองก่างคือเมืองแห่งตลาดหลักทรัพย์สำคัญแห่งหนึ่งของเขตภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ผลกระทบและอำนาจของลาตินกรุ๊ปแห่งเมืองก่าง ไม่บอกก็รู้

ในแวดวงธุรกิจเมืองก่าง ความสามารถอันแข็งแกร่งของลาตินกรุ๊ปแห่งเมืองก่างสามารถเข้าถึงห้าอันดับต้น

ดังนั้น ทุกคนในงานต่างก็ประจบโม่เก๋อติงอย่างสุดความสามารถ ต่างหวังมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

“ประธานโม่ คุณหนีที่ท่านพูดถึงครั้งก่อน คืนนี้ผมพามาแล้ว ท่านจะพบเธอไหมครับ” เวลานี้ มีบอดี้การ์ดชายชุดสูทร่างอวบคนหนึ่ง หน้าตายิ้มแย้ม

โม่เก๋อติงสายตากะพริบ พูดว่า “หวางเฟิงเที๋ยน พาเธอมาหรือยัง? ดีมาก เรียกเธอมา นั่งข้างฉัน”

ตาของหวางเฟิงเที๋ยนยิ้มจนเป็นเส้นตรง สั่งกับคนข้างหลัง ไม่นาน หนีซิงใส่ชุดกระโปรงดำ หน้าตาเบิกบาน มองโม่เก๋อติงหน้าตายิ้มแย้ม เข้าไปนั่งข้างๆ

“ดีมาก ไม่เลว หวางเฟิงเที๋ยน เรื่องนี้จัดการได้ดีมาก บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินของนาย ฉันต้องให้การสนับสนุนเต็มที่” โม่เก๋อติงพยักหน้า จ้องหน้าหนีซิงเลียปากตัวเอง สีหน้าพอใจ

“ขอบคุณประธานโม่สนับสนุน ประธานโม่เลื่อมใส” หวางเฟิงเที๋ยนพูดจายกย่อง

“ใช่แล้ว ประธานโม่ คุณหนีมีเรื่องจะรายงาน” หวางเฟิงเที๋ยนพูดจาสีหน้ายิ้มแย้ม

โม่เก๋อติงยิ้ม โบกมือแล้วพูดว่า “คุณหนี มีเรื่องอะไรพูดกับผมเลย ในเมืองก่าง ไม่มีเรื่องอะไรที่ผมทำไม่ได้”

“คืออย่างนี้ค่ะ ประธานโม่ เมื่อกี้ตอนฉันอยู่ที่ลานจอดรถ มีคนตั้งใจชนรถฉันพัง” หนีซิงท่าทางน่าสงสาร จับมือของโม่เก๋อติงพูดอ้อน

“ออ? จนชนพังแล้ว? ไม่เป็นไร เดี๋ยวฉันซื้อคันที่ดีกว่าให้” โม่เก๋อติงพูดอย่างสง่า แล้วก็ดึงมือของหนีซิงมาจับ

หนีซิงทำตายั่วยวน พูดว่า “อือ ไม่ใช่ปัญหาเรื่องรถพัง ประธานโม่ คนที่ชนรถฉันพัง เป็นคนที่อยู่กับคุณคริสตัวแทนลาตินกรุ๊ปแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก พวกเขาน่ากลัวมาก ยังพูดจาข่มขู่ฉัน ฉันกลัวพวกเขาจะหาเรื่องฉัน……”

“ประธานโม่ ช่วยฉันพูดกับคุณคริสหน่อยได้ไหมคะ”

“อะไร? คริส?” โม่เก๋อติงขมวดคิ้ว จากนั้นก็หัวเราะเย็นชา “คุณหนี คุณไม่ต้องกลัวคริส ต่อหน้าผม คริสก็ไม่ได้เป็นตัวอะไร?”

“ยังไปพูดกับเขา? คุณหนี คุณบอกว่าคริสชนรถของคุณ?” โม่เก๋อติงพูดด้วยสีหน้ามั่นใจ “คุณรอดูละกัน อีกสักครู่ คอยดูว่าผมจะจัดการยังไงกับไอ้คริสนั่น”

“ออ?” หนีซิงสีหน้าตะลึง ท่าทางสงสัย

“ฮาฮา หนีซิง ดูแล้วเธอยังไม่รู้ซินะ?” หวางเฟิงเที๋ยนยิ้มพูด “คริสเป็นแค่ตัวแทนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกในนามเท่านั้น ในเมืองก่างเขาไม่ใช่อะไรทั้งนั้น แค่หุ่นเชิดที่ไม่มีสิทธิ์อะไรทั้งนั้น ที่นี่ฟังประธานโม่เท่านั้น”

“สองวันก่อน ไอ้แก่คริสนั่น ไม่รู้ว่าช่วยไอ้โง่ที่ไหนทำงาน ยังอยากรับซื้อบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินของผม นั่นมันประธานโม่ถูกใจก่อน อยู่กับประธานโม่ ถึงจะถูก”

“ฮาฮา ใช้ได้ หวางเฟิงเที๋ยน คุณเป็นคนฉลาด” โม๋เก๋อติงหัวเราะได้ใจ “ไม่ว่าเบื้องหลังคริสจะเป็นไอ้หน้าโง่ที่ไหน กล้าเป็นคู่แข่งกับฉันที่เมืองก่าง ก็คือรนหาที่ตาย”

ได้ยินแล้ว สายตาหนีซิงเป็นประกาย ประกายแห่งความโกรธ ที่แก้ไอ้บ้านนอกนั้นก็คนจอมปลอม ชนรถตัวเองจนพัง ยังกล้าทำท่าอวดดี?

หนีซินใบหน้ายิ้มแย้ม พูดว่า “ประธานโม่ ท่านต้องช่วยฉันออกหน้านะคะ คนที่ชื่อคริสนั่นเมื่อกี้ทำฉันตกใจหมดเลย โดยเฉพาะเด็กหนุ่มคนประเทศหลุงที่อยู่ข้างกายคริส ท่าทางยโสโอหัง”

“เด็กหนุ่มประเทศหลุง?” โม่เก๋อติงขมวดคิ้ว คิดอะไรได้ “เหอะ คือยอดฝีมือลึกลับที่คริสเชิญมา? บ้าเอ้ย กล้าทำให้ลูกน้องฉันข่าเอ๋อร์ขาหัก คืนนี้รอมันมา ฉันจะทำขามันพิการทั้งสองข้าง”

“ประธานโม่ คนประเทศหลุงที่ฉันพูดถึงอยู่ตรงนั้น ท่านดู คนนั้นใช่คริสไหม พวกเขามาแล้ว” หนีซิงยกมือชี้คนกลุ่มนั้น

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท