ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 384 ให้นามบัตรคุณหนึ่งใบ แล้วรีบไสหัวไป

บทที่ 384 ให้นามบัตรคุณหนึ่งใบ แล้วรีบไสหัวไป

“ใช่แล้ว ประธานหลิน บริษัทวั่นซานของจี้ฉงซาน ช่วงนี้ก็พอมีความเคลื่อนไหวบ้าง”

คริสพูดอย่างจริงจัง “สองวันก่อน บริษัทวั่นซานลงมือกับกลุ่มเภสัชกรรมตระกูลฉู่แห่งเมืองก่าง ใช้เงินทุนหนัก ทำลายหุ้นของกลุ่มเภสัชกรรมตระกูลฉู่จนพังในชั่ววินาทีเลยทีเดียว อีกอย่าง จี้ฉงซานยังใช้นามของประธานสหพันธ์ธุรกิจเมืองก่าง ใช้อำนาจ ปิดล็อกกิจการผลิตยา ห้ามทุกบริษัทร่วมงานกับกลุ่มเภสัชกรรมตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน หากบริษัทที่ไม่ให้ความร่วมมือ จะถูกการร่วมกันคว่ำบาตรจากสหพันธ์ธุรกิจเมืองก่าง”

“จากการสำรวจของผม ก่อนหน้านี้ จี้ฉงซานกับบริษัทฉู่ซื่อไม่เคยมีเรื่องผิดใจอะไรกัน ต่างไม่กระทบกัน พฤติกรรมครั้งนี้กะทันหันมาก” คริสพูดเพิ่มเติม

“ออ? จี้ฉงซานลงมือกับบริษัทฉู่ซื่อแล้ว?” หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย รู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างแปลกใจ

ตอนที่เพิ่งลงจากเครื่องบินมาเมืองก่าง เพิ่งได้ทักทายฉู่สงซานประธานของบริษัทฉู่ซื่อ

ปรากฏว่าเพิ่งไม่นาน จี้ฉงซานก็ลงมือกับบริษัทฉู่ซื่อแล้ว?

ต้องรู้ว่า บริษัทฉู่ซื่อไม่ใช่บริษัทเล็กๆ นั่นเป็นกิจการของตระกูลฉูซึ่งเป็นตระกูลราชาแห่งยาของเตียนหนาน ปกติทำอะไรก็ค่อนข้างถ่อมตน ร่ำรวยอย่างเงียบๆ จี้ฉงซานไม่มีเหตุผลที่จะไปทำบริษัทฉู่ซื่อ

วันนี้ เขาใช้ฐานะราชาแห่งเมืองก่าง ลงมือจัดการกับบริษัทฉู่ซื่อ นั่นไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรเลย นี่ไม่ใช้พฤติกรรมการทำงานของจิ้งจอกพันปีอย่างจี้ฉงซาน

หรือว่า? จี้ฉงซานรู้ข่าวของคืนนั้น รู้ว่าเขามาถึงเมืองก่างแล้ว เข้าใจผิดคิดว่าฉูสงซานเป็นหมากของเขาในเมืองก่าง?

“คริส สั่งลงไป คอยสังเกตสงครามตลาดหุ้นของบริษัทฉู่ซื่อกับบริษัทวั่นซาน อีกอย่าง ความเคลื่อนไหวส่วนตัวของฉูสงซาน” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

เขาตัดสินใจ หาโอกาสไปพบหน้าคุยกับฉูสงซาน

“ครับ ผมจะรีบไปจัดการ” คริสพูดอย่างเคารพ

ระหว่างที่ทั้งสองคุยกัน อย่างไม่รู้ตัว ฮาเดสก็ขับรถเข้ามาจอดในอาคารสุ่ยจินแล้ว

อาคารสุ่ยจิน ที่นี่คืออาคารหลักของเขตหยู้ติ่งแห่งเมืองก่าง

อาคารสูงแปดสิบกว่าชั้น ใช้วัตถุดิบคริสตัลที่ใช้เทคนิคเทคโนโลยีพิเศษในการสร้าง ปูเต็มแปดสิบกว่าชั้น อาคารทั้งอาคารเหมือนหอคริสตัล แสงสะท้อนตระการตา

ในค่ำคืนภายใต้แสงราตรี อาคารสุ่ยจินก็เหมือนดวงดาวที่สว่างที่สุดในเมืองก่าง สว่างไสวดึงดูดสายตา แสดงความสง่างามและความหรูหรา

สถานที่นี้ ยังเป็นอาคารสำนักงานของลาตินกรุ๊ปในเมืองก่าง ช่างงดงามตระการตา

แม้แต่ตัวแทนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกอย่างคริส อาคารสำนักงานใหญ่ของเขาที่คาบสมุทรมลายูยังเปรียบไม่ได้

ใต้อาคารผู้คนไปๆมาๆ มีรถหรูระดับโลกจอดอยู่เป็นร้อยคัน ดูแล้วหรูหราน่าตะลึง

ตู๊ดตู๊ด

ฮาเดสกลับรถในลานจอดรถ กำลังจะจอดเข้าในที่จอดรถ

ทันใดนั้น ด้านหลังรถมีเสียงกดแตรดังขึ้น รถFerrariสีชมพูคันหนึ่งพุ่งออกมา หัวรถก็พุ่งเข้าไปในที่จอดรถ ขวางทางรถไว้

“ประธานหลิน มีคนแย่งที่จอดรถของเรา จะเหยียบคันเร่งไหม ผมมั่นใจว่าชนรถเขาให้แบนแน่นอน” ฮาเดสพูด

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย กำลังจะพูดอะไร

“พวกโง่นี่ขับรถกันยังไง? ไม่มีตาหรือไง?”

เสียงของผู้หญิงที่หยิ่งยโสคนหนึ่งดังขึ้น

เลื่อนกระจกลงมา หลินอิ่งมองไป เห็นสาวสวยเซ็กซี่ในชุดกระโปรงดำคนหนึ่งลงมาจากรถFerrariสีชมพู สีหน้าไม่พอใจ ท่าทางหยิ่งยโส ชี้หน้าด่าพวกเขา

“นี่คือที่จอดรถของฉัน พวกนายออกมาเดี๋ยวนี้ ขับออกไป” หญิงสาวในชุดกระโปรงพูดจายโส ท่าทางเหมือนควรจะเป็นเช่นนั้น

“คำพูดของคุณหนี ไม่ได้ยินหรือไง? ที่จอดรถตรงนี้คุณหนีเห็นก่อน รีบถอยออกมา”

เวลานี้ บอดี้การ์ดชุดสูทหน้าตาเคร่งขรึมเดินออกมา ต่อว่าอย่างโมโห

“ทางที่ดีพวกนายเจียมตัวหน่อยนะ แย่งที่จอดรถกับคุณหนี? พวกนายคู่ควรไหม?”

ที่จอดรถยังมีคู่ไม่คู่ควร? หลินอิ่งรู้สึกน่าสนใจ เอียงหน้ามองทั้งสองคน

สาวชุดกระโปรงดวงตาสดใส ท่าทางไม่ธรรมดา ผิวขาวหน้าตาดี รูปร่างก็ดีมาก เมื่อเทียบกับหน้าตาเน็ตไอดอลแล้วก็สวยกว่าเยอะ แต่ว่า ด้านบุคลิกก็ต่างกันเยอะ เห็นได้ชัดว่าทำมาทั้งหน้า หน้าตาเค้าโครงมีร่องรอยศัลยกรรม ไม่ธรรมชาติ

“ไอ้บ้านนอก มองอะไร? ไม่เคยเห็นสาวสวยหรือไง?” คุณหนีพูด สีหน้าไม่พอใจ พูดอย่างหยิ่งยโส “นั่งรถLincolnสีดำเชยขนาดนี้ รถโบราณของศตวรรษก่อนแล้วมั้ง? ไม่รู้จริงๆ ว่าเอาหน้าจากไหน มีหน้ามาจอดรถใต้อาคารสุ่ยจิง?”

“อย่าบังคับให้คุณหนีโมโห ดูท่าทางนายสองคนก็เชยขนาดนั้น ยังอยากแย่งที่จอดรถของคุณหนี?”

บอดี้การ์ดชุดสูทข้างกายก็พูดอย่างอวดดีตาม “พวกแกไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของคุณหนีหรือไง? คนชื่อเสียงโด่งดังในวงการบันเทิงเมืองก่าง เป็นดาราดังในวงการนักร้อง”

“พวกคุณเป็นของบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์ไหน?” คริสสีหน้าจริงจัง พูดเสียงเรียบ

“ออ? นี่ยังมาแกล้ง ถามว่าฉันเป็นของบริษัทไหนอีก?” คุณหนีพูดด้วยสีหน้าดูถูก “ฉันอยู่บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจิน อะไร ท่าทางเชยบ้านนอกอย่างพวกแก ยังอยากหาเถ้าแก่บริษัทฉันคุยเหรอ? คู่ควรเหรอ?”

“พอแล้ว ฉันรีบ ยังต้องไปงานเลี้ยง ถ้าอย่างนั้นฉันก็แสดงความเมตตากับพวกแกละกัน ให้ลายเซ็นพวกแกก็ได้ จากนั้นก็รีบขับรถโบราณคันนี้ รีบไสหัวออกไป” คุณหนี ท่าทางยโสโอหัง สั่งบอดี้การ์ดให้เขากระดาษปากกามาให้เซ็นชื่อ

คริสขมวดคิ้ว ผู้หญิงคนนี้ยังเป็นดาราของบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจิน? หยิ่งขึ้นสวรรค์ไปแล้ว

คริสมองไปทางหลินอิ่ง ขอคำสั่งการ

หลินอิ่งส่งสายตาให้คริสทั้งสองคน ฮาเดสเหยียบคันเร่ง เสียงดังโคร่ง รถพุ่งออกไป เหมือนเสียดุร้ายพุ่งชน เข้าไปจอด แล้วชนรถFerrariสีชมพูคันนั้นกระเด็นไปไกลสิบเมตร ชนจนรถแบน

“แก แกกล้า กล้าเตะต้องรถสุดรักของฉัน ไอ้บ้านนอกอย่างพวกแกมีปัญญาชดใช้เหรอ” คุณหนีสีหน้าไม่พอใจ จ้องหน้าหลินอิ่งสีหน้าเย็นชา ด่าอย่างโมโห

“โทรหาผู้จัดการลาตินกรุ๊ป ให้เขามาจัดการกับไอ้พวกบ้านนอกนี้หน่อย” คุณหนีพูดอย่างโมโห ท่าทางหาเรื่อง

“ครับ คุณหนี ผมโทรหาผู้จัดการถูเดี๋ยวนี้” บอดี้การ์ดชุดสูทต้องหน้าหลินอิ่งเย็นชา พูดอย่างอวดดี “พวกบ้านนอก กล้าเตะต้องรถของคุณหนี รู้ไหมว่ารถคุณหนีราคาเท่าไหร่? นี่มันรุ่นจำนวนจำกัด ที่นี่คืออาคารสุ่ยจิน คุณหนีกับประธานถูของลาตินกรุ๊ปเป็นเพื่อนกัน เดี๋ยวก็ให้ประธานถูพาคนมา จัดการพวกบ้านนอกอย่างพวกแก”

“คริส เอานามบัตรให้เขาใบหนึ่ง ค่าซ่อมรถ ผมจ่าย”

หลินอิ่งทิ้งคำพูดไว้ หันตัวเดินไปทางลิฟต์

คริสมองหน้าคุณหนียิ้มอย่างเย็นชา โยนนามบัตรไว้ตรงหน้าคุณหนี จากนั้นก็เดินตามหลินอิ่ง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท