ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 389 เดิมพันชีวิตคุณ!

บทที่ 389 เดิมพันชีวิตคุณ!

“เล่นน้อยเกินไป? อย่าทำผมตลกตายเลย” เซียวจวงพูดจาหัวเราะเยาะ “แกจะไปมีเงินเท่าไหร่? มาทำตัวรวยต่อหน้าฉัน? แกก็แค่พึ่งพวกคริสเท่านั้น มีเงินเล็กน้อย? ก็คิดว่าตัวเองเป็นคุณชายร่ำรวย?”

“เงินสดหมุนเวียนหนึ่งพันล้าน เกรงว่าแม้แต่คริสก็ยังไม่มีด้วยซ้ำ” เซียวจวงพูดจาได้ใจ

“แน่นอน ถ้าแกเอาเงินออกมาไม่ได้ แกสามารถเอาแขนขาแกมาเดิมพันได้”

“คุณชายเซียว กับชีวิตต่ำต้อยของมันเหรอ? คู่ควรกับเงินพันล้าน?” หนีซิงประจบคุณชายเซียว พูดจาเสียดสีหลินอิ่ง

“คุณจะพนันกันใช่ไหม?” หลินอิ่งสีหน้าเฉยชา

“ถ้าคุณชนะ ผมให้คุณห้าพันล้าน” หลินอิ่งพูดอย่างสบายใจ “ถ้าคุณแพ้ เอาชีวิตคุณมา”

ได้ยินแล้ว เซียวจวงสีหน้าตกใจ จากนั้นก็ยิ้มอย่างดูถูก

“แกมีห้าพันล้านเหรอ? ยังให้ฉันห้าพันล้าน? เดิมพันชีวิตฉัน?” เซียวจวงพูดจาเยาะเย้ย

กับหลินอิ่งลูกเขยไร้น้ำยาที่ถูกพ่อตาแม่ยายดูถูก จะไปมีเงินเท่าไหร่? ก็แค่มีวิชากังฟูนิดหน่อย แล้วมีความสัมพันธ์กับคริสเท่านั้น?

“โม้จนขึ้นสวรรค์ไปแล้ว ห้าพันล้าน แกคิดว่าแกเป็นใคร? ยังมาตอแหลต่อหน้าคุณชายเซียว?” หนีซิงพูดด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “โม้ใครจะโม้ไม่เป็น? ฉันยังพูดได้ว่าฉันออกหนึ่งหมื่นล้าน?”

เปิดปากก็บอกห้าพันล้าน ล้อเล่นอะไร?

ต้องรู้ว่า เขาเป็นคุณชายเซียวจวง เป็นถึงคุณชายใหญ่เซียวซื่อกรุ๊ปแห่งประเทศM สามารถเอาเงินสดหมุนเวียนออกมาได้ถึงสองพันล้าน ก็เก่งมากแล้ว

สำหรับหลินอิ่งคนนี้? ได้ยินคุณชายเซียวบอกว่าเป็นลูกเขยไร้น้ำยาจากบ้านนอก คิดว่าตัวเองได้เข้าไปอยู่กับคริส ก็คือคนใหญ่โตแล้ว?

“แสดงเก่งนักหรือ? ห้าพันล้าน? คงไม่มีความคิดเกี่ยวกับเงินซินะ? คิดว่าตัวเองเป็นมหาเศรษฐีเมืองก่างเหรอ?”

“แม่งเอ้ย ไม่เคยเห็นคนหน้าด้านขนาดนี้ คุณชายเซียวเขาบอกพนันหนึ่งพันล้าน นั่นมันเงินสดเห็นๆ มันก็เริ่มโม้ละ คนตระกูลจี้แห่งเมืองก่าง ก็เอาเงินสดหมุนเวียนห้าพันล้านออกมาไม่ได้?”

“ไอ้หนุ่มแซ่หลิน แกไม่กล้ารับคำท้าของคุณชายเซียวก็พูดมาตามตรง ยังไปโม้อะไรห้าพันล้าน ยอมแพ้โดยดี อย่ามาทำเรื่องขายหน้าที่นี่”

จากคำพูดที่หลินอิ่งพูดไป แขกในงานต่างก็โต้แย้งกัน ใบหน้าทุกคนต่างยิ้มอย่างดูถูก คิดว่าหลินอิ่งโม้

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา ดีดนิ้ว

“คริส เซ็นสัญญากับเขา”

คริสเดินออกมาสีหน้าเคร่งเครียด มองไปทางด้านพวกคุณชายเซียว พูดจริงจัง “ผมอยู่ที่เมืองก่าง เป็นผู้ครองกรรมสิทธิ์ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ผองเฟย จุดนี้ โม่เก๋อติงน่าจะรู้ดี”

“อาคารพาณิชย์และอาคารสำนักงานต่างๆที่อยู่ในนามของบริษัทผองเฟยทั้งหมด รวมกันแล้วมูลค่าเกินห้าพันล้านแน่นอน”

“ตอนนี้ ฉันโทรหาฝ่ายการตลาดและทีมทนายมาได้ตลอดเวลา เพื่อเดินขั้นตอนกฎหมาย”

“นี่……” สีหน้าเซียวจวงเป็นไปด้วยความตะลึง คิดไม่ถึงว่าหลินอิ่งจะมีทรัพย์สินขนาดนี้?

“ประธานโม่ มัน มันเอาบริษัทผองเฟยเมืองก่างมาพนันกับผมได้จริงหรือ?” เซียวจวงมองโม่เก๋อจิงอย่างไม่อยากเชื่อ ถามด้วยเสียงเบา

โม่เก๋อติงสีหน้าเคร่งเครียด พยักหน้า พูดเสียงเบา “หลายวันก่อน คริสรับซื้อบริษัทผองเฟยเมืองก่างจริง แต่ผมคิดไม่ถึง ไอ้หนุ่มแซ่หลินนั่น จะทำให้คริสเอาบริษัทผองเฟยออกมาเดิมพันได้อย่างง่ายดาย”

ต้องรู้ว่า บริษัทผองเฟยเมืองก่าง เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์ ร้านอาหาร และกิจการอื่นๆมากมาย โครงสร้างใหญ่มาก มูลค่าในตลาดเกินหมื่นล้าน

ตอนแรกโม่เก๋อเฟยอยากทำให้บริษัทผองเฟยล้มละลาย ทุ่มแรงทุ่มทุนไปตั้งมากมาย ใช้เงินหมุนเวียนจากสำนักงานใหญ่ลาตินกรุ๊ปมากมาย ถึงทำให้บริษัทผองเฟยล้ม ทำให้หวู่เฟยต้องหนีไปจากเมืองก่าง

เค้กชิ้นใหญ่นี้กำลังจะเข้าปากแล้ว ปรากฏว่า กลับถูกคริสดักเล่นกลางทาง ไม่รู้ไปเอาเงินมากมายมาจากไหนรับซื้อบริษัทผองเฟยไปทันที

“หลินอิ่งคนนี้ เป็นที่คุณพูดจริงเหรอ คือลูกเขยไร้น้ำยาจากบ้านนอก?” โม่เก๋อติงถามอย่างสงสัย

สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยถูก เขาไม่เข้าใจ หลินอิ่งเอาความมั่นใจมาจากไหน?

“ใช่ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ หลินอิ่งเป็นลูกเขยไร้น้ำยาจากเมืองตงไห่จริง ไม่มีความสามารถอะไรเลย ผมยังเคยพบกับพ่อตาแม่ยายเขาด้วยตัวเอง แม้แต่คนที่บ้านก็เห็นมันเป็นคนไร้น้ำยา” เซียวจวงพูดจริงจัง

โม่เก๋อติงครุ่นคิด รู้สึกว่าดูหลินอิ่งไม่ค่อยเข้าใจ

“ทำไม? ไม่กล้ารับ?” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชามองไปที่เซียวจวง “คุณจะแก้แค้นไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้ผมให้โอกาสแล้ว ผมทำขาคุณพิการ คุณกลับไม่กล้ารับ?”

“พนันเงิน ก็สู้ไม่ได้ พนันชีวิต ก็ไม่กล้า ถ้าอย่างนั้น เอาความมั่นใจมาจากไหน ยังมาหอนต่อหน้าผม?”

“แก”

เซียวจวงสีหน้าโมโห นั่งอยู่บนรถเข็นโกรธจนตัวสั่น

หลินอิ่งแสดงท่าทางมั่นใจ ทำให้เขารู้สึกกังวล คิดถึงตอนที่อยู่เมืองชิงหยูนที่ถูกหลินอิ่งจัดการอย่างน่ากลัว

“โอ้โห สถานการณ์รุนแรงขนาดนี้? ถึงกับเอาบริษัทผองเฟยมาเดิมพัน? คุณชายเซียว คุณจะทนไอ้หลินอิ่งที่ไร้ชื่อเสียงคนนี้ได้หรือ?”

“ใช่แล้ว คุณชายเซียว พนันกับเขาเลย มันต้องแพ้แน่นอน สั่งสอนมันให้สาสมไปเลย”

“คุณชายเซียวคงไม่ได้กลัวหรอกมั้ง? ดูท่าทางแล้ว คุณชายเซียวไม่ค่อยมั่นใจแล้ว ไม่กล้าเดิมพันชีวิต”

คราวนี้ ในสนามก็พูดกันขึ้นมาอย่างเมามัน ต่างคนต่างโต้แย้งกันขึ้นมา

ใบหน้าเซียวจวงทั้งกลัวทั้งโกรธ ถูกพูดจนรู้สึกอับอายมาก

“คุณชายเซียว คุณวางใจ มีผมอยู่ ไม่แพ้แน่นอน” ชายชุดจีนโบราณพูดจริงจัง

มีคำพูดนี้แล้ว เซียวจวงก็รู้สึกโล่งใจ จ้องหน้าหลินอิ่งด้วยสีหน้าอาฆาต พูดว่า “ได้ ฉันก็อยากดู ว่าแกจะมีความสามารถแค่ไหนกัน ฉันรับคำท้าพนันกับแก ฉันจะคอยดูว่าถ้าแกแพ้แล้ว จะไปพูดยังไงกับนายทุนที่อยู่เบื้องหลังแก”

ไม่ว่าหลินอิ่งจะเล่นสนุกอะไร เขาไม่มีวันเชื่อแน่ ลูกเขยไร้น้ำยาเพียงคนเดียว จะมีปัญญาเอาชนะยอดฝีมือที่เขาพามาได้

ครั้งนี้ เขาพายอดฝีมือสูงสุดของตระกูลเซียวซื่อกรุ๊ปแห่งประเทศM

กำลังพูดอยู่ ชายชุดจีนข้างกายเซียวจวง ขยับร่าง เหมือนดั่งสายลม ชิ๊วเดียวก็ถึงบนเวที สายตาจ้องหลินอิ่งอย่างยั่วยุ

“ว้าว นี่มันยอดฝีมือจริงๆ นี่มันวิชาตัวเบาใช่ไหม? สุดยอดเกินไปแล้ว?”

“ล้อเล่นอะไร นี่มันยอดฝีมือที่คนเขาเรียกกันว่าแก๊งเสือเขตใต้ บนเวลาใต้ดินเมืองก่าง ไม่รู้ว่าฆ่าคนโหดทั้งในและต่างประเทศมาเท่าไหร่แล้ว”

“เหอะเหอะ มีเกมสนุกให้ดูแล้ว ฉันสงสัย ไอ้หลินอิ่งนั่น จะให้ใครออกไปต่อสู้”

จากที่ชายชุดจีนขึ้นไปบนเวทีแล้ว เสียงร้องดังขึ้นในสนาม เห็นได้ชัดว่าเคยเห็นความสามารถของยอดฝีมือท่านนี้แล้ว

หลินอิ่งยิ้มแต่ไม่พูด มองไปที่โม่เก๋อติง พูดเสียงเรียบ “เมื่อกี้คุณก็พูดจาโอ้อวดบอกจะขึ้นเวทีกับผมไม่ใช่เหรอ? คนที่แพ้ไสหัวออกจากเมืองก่างตลอดไป เรียกคนของคุณขึ้นไปได้”

“แก แกหมายความว่ายังไง” โม่เก๋อติงถามด้วยสีหน้าสงสัย

หลินอิ่งมุมปากมีแววความโหดร้าย

“ความหมายของผมคือ เรียกคนของพวกคุณขึ้นไปให้หมด คนเดียว ไม่พอฆ่า

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท