ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 388 เวทีมวยที่เงินเดิมพันหนึ่งพันล้าน

บทที่ 388 เวทีมวยที่เงินเดิมพันหนึ่งพันล้าน

“ถูกต้อง คือเขา ชื่อหลินอิ่ง ลูกเขยไร้น้ำยาในเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง คิดว่าตัวเองมีวิชากังฟู มีคริสคอยช่วย ก็กล้าลงมือโหดเหี้ยมกับผม” เซียวจวงพูด

“หลินอิ่ง แกจะต้องชดใช้กับเรื่องโง่ที่แกทำลงไป อย่างเจ็บปวด” ชายชุดจีนโบราณพูดเสียงเย็นชา “ได้ยินว่า แกกับประธานโม่เก๋อติงจะขึ้นเวทีมวย? ดีมาก เซียวซื่อกรุ๊ปของพวกเราก็จะส่งคนเข้าร่วม แกกล้ารับคำท้าไหม?”

“แกมันไอ้ไร้น้ำยา ไม่กล้ารับ? แกก็คิดว่าตัวเองวิชาสูงส่งไม่ใช่เหรอ?” เซียวจวงพูดอย่างดูถูก “กังฟูแกแค่นั้น ในงานใหญ่โตแบบนี้ ไม่พอดูด้วยซ้ำ”

“นั่งบนรถเข็นแล้ว ยังไม่รู้จักเจียมตัวอีก?” หลินอิ่งฝืนยิ้ม “ผมทำคุณพิการได้หนึ่งครั้ง ก็ทำครั้งที่สองได้เช่นกัน”

น่าสนใจ เซียวจวงคนนี้ยังไม่ตายใจที่จะหาตัวเองเพื่อแก้แค้น หาคริสเพื่อจะลอบฆ่า เขายังไม่มีเวลาเพื่อไปคิดบัญชีกับเซียวซื่อ เขากลับร่วมมือกับโม่เก๋อติง เข้ามารนหาที่เอง?

พอดีเลย จัดการยกรังเลย

“เหอะ แกไม่มีโอกาสเหมือนตอนอยู่เมืองชิงหยูนแล้ว” เซียวจวงสายตาเย็นชา กำหมัดไว้แน่น

ครั้งที่แล้วที่เมืองชิงหยูนหลินอิ่งทำให้เขาพิการ เซียวจวงหลังจากนั่งบนรถเข็นแล้ว สภาพจิตใจก็ย่ำแย่ ไม่มีวันยอมแน่ หลังเกิดเรื่องแล้วก็คิดไม่หยุด หาวิธีเพื่อจะแก้แค้นหลินอิ่ง

ระหว่างที่เซียวจวงกำลังคิด ในเมืองชิงหยูน ก็เพราะว่าเขาไม่มีลากฐาน ไม่ได้พาคนมีฝีมือไปด้วย ตอนแรกอยากใช้อำนาจของคริส แต่กลับถูกคริสหักหลัง เป็นเพราะแบบนี้ถึงสู้กับลูกเขยไร้น้ำยาในเมืองเล็กๆอย่างหลินอิ่งไม่ได้

เรือล่มในหนองอย่างสิ้นเชิง

คิดดูคุณชายใหญ่แห่งเซียวซื่อกรุ๊ปประเทศMอย่างเขา ปะทะกันซึ่งๆหน้า หลินอิ่งเอาอะไรมาสู้กับเขา?

ในเมืองก่าง เซียวซื่อกรุ๊ปมีสำนักงานสาขาอยู่ที่นี่ มีความสัมพันธ์กว้างขวาง และยังได้ร่วมมือกับผู้มีอำนาจอย่างโม่เก๋อติง เขามั่นใจว่าจัดการหลินอิ่งกับคริสให้ตายได้แน่

……..

สิบนาทีผ่านไป

ชั้นหกสิบอาคารสุ่ยจิน เป็นห้องจัดงานขนาดใหญ่ ถูกออกแบบใหม่เปลี่ยนให้เป็นเหมือนห้องใต้ดิน

ตำแหน่งตรงกลาง ถูกทำเป็นเวทีขนาดใหญ่ เหมือนกับแท่นบูชาโบราณ บนเวทียังมีร่องรอยคราบเลือดอยู่

รอบข้าง เป็นโต๊ะวงกลมหรูหรา ยังทำเป็นห้องรับรอง คล้ายกับสนามต่อสู้โบราณ

หลินอิ่งเดินเข้าไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย เข้าไปนั่งในที่นั่งแถวหนึ่ง ข้างหลังเป็นคริสและฮาเดส

เดินเข้าไป เขาก็ได้กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นจนแสบจมูก ในสนามเต็มไปด้วยกลิ่นอายคล้ายสนามรบ

วินาทีนี้ บนเวทีมีชายเอเชียกับชายผิวดำยอดฝีมือทั้งสองกำลังต่อสู้กัน ทั้งสองคนสู้กันจนเสื้อผ้าฉีกขาด เผยกล้ามเนื้ออันบึกบึน เนื้อตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด เหงื่อเต็มหน้าผาก สายตาเต็มไปด้วยความหวังแห่งชัยชนะ เหมือนสัตว์ดุร้ายสองตัว

“ราชามวยเถื่อนแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่อยลงไปหนักๆเลย พนันไปตั้งสองล้าน”

“เอามันให้ตายเลย จัดการไอ้ดำนั่นให้ตายไปเลย”

บนที่นั่งเป็นชายหญิงที่แต่งกายสุภาพมีระเบียบ ต่างตะโกนออกมาเสียงดัง เหมือนกับนักพนันที่ตาแดงจากการแพ้พนัน สายตาเต็มไปด้วยความโลภ

“เอื๊อกอ๊าก”

ราชามวยเถื่อนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คนนั้น ถูกยอดฝีมือผิวดำต่อยจนกระเด็น จากนั้นก็ถูกหมัดต่อยเข้าที่ท้อง ต่อยจนกระอักเลือด เนื้อตัวเต็มไปด้วยเลือด ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ขาดใจไปทันที

มีชายชุดดำสีหน้าเย็นชาเดินขึ้นบนเวที ดึงตัวคนที่แพ้ออกไป

“แม่ง ราชามวยเถื่อนบ้าอะไร ซวยจริงๆ ถูกซ้อมจนตายแล้ว?”

“สะใจ สะใจมาก กำไรแล้ว ฉันบอกแล้ว ไอ้ผิวดำนี้มาจากแก๊งมาเฟียต่างประเทศ เก่งมาก ฉันพนันไปห้าล้าน”

“แม่งเอ้ย นี่มันยิ่งกว่าแข่งรถ เล่นกับพวกนางแบบสนุกกว่าเยอะเลย รอฉันกลับไป จะให้พ่อฉันช่วยฉันหายอดฝีมือคนหนึ่งมาแข่งบ้าง แม่งสะใจมาก”

เวทีความเป็นความตายผ่านไปหนึ่งคู่ ในสนามเต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องเฮฮา

หนุ่มสาวกลุ่มหนึ่ง สายตาจ้องไม่กะพริบ แม้แต่ลมหายใจเร็วผิดปกติ

หลินอิ่งกวาดตามองไป คนที่นั่งอยู่ ล้วนเป็นผู้คนที่มีอำนาจเงินทองในเมืองก่างหรือไม่ก็พวกคุณชายเจ้าชู้ เอาการต่อสู้แบบความเป็นความตายมาเป็นกิจกรรมบันเทิง

การต่อสู้ที่โหดเหี้ยมด้วยความเป็นความตาย และการพนันที่น่าตื่นเต้น

แน่นอน เวทีความเป็นความตายแบบนี้ สำหรับเหล่าลูกหลานเศรษฐีที่เลี้ยงดูมาอย่างดีและตามใจนั้น ไม่เห็นแม้แต่เลือด และพวกเถ้าแก่ที่นั่งอยู่แต่ในออฟฟิศเป็นเวลานาน ล้วนมีแรงดึงดูดอย่างสูง

“เป็นอะไร? คุณหลิน คุณคงไม่ใช่ไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้หรอกนะ? ตกใจแล้วเหรอ?”

ดาราสาวสวยแห่งเมืองก่างหนีซิงจ้องหน้าหลินอิ่ง พูดจาเสียดสี

“ฮาฮา คุณหลิน ถ้าตอนนี้รู้สึกกลัวแล้ว ก็ยอมแพ้ได้” โม่เก๋อติงสีหน้าหยอกล้อ พูดด้วยวาจากวนประสาท “เพราะว่า คุณก็แค่คนไร้น้ำยาที่เกาะผู้หญิงกิน เวทีสำหรับชายแท้แบบนี้ คุณต้องไม่เคยผ่านมันมาแน่นอน”

โม่เก๋อติงหลังจากได้พูดกับเซียวจวงแล้ว เขาถึงรู้ว่า ที่แท้คนประเทศหลุงอันลึกลับที่อยู่ข้างกายคริสนั้น เป็นแค่ลูกเขยไร้น้ำยาที่มาจากเมืองเล็กๆเท่านั้น?

ทำให้โม่เก๋อติงหัวเราะจนหยุดไม่ได้ ก่อนหน้านี้หลินอิ่งยังทำให้เขาตกลงจนอึ้งไป ที่แท้เป็นแค่คนไร้น้ำยา?

คาดว่า หลินอิ่งคงมีกังฟูอยู่บ้าง ติดตามเถ้าแก่ใหญ่เป็นลูกน้อง ตอนแรกยังคิดว่าหลินอิ่งเป็นนายทุนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังคริส ดูแล้ว เขามองผิดไปแล้ว

“เหอะเหอะ ไอ้แซ่หลิน การต่อสู้บนเวทีที่แกคิดเป็นยังไงเหรอ? นึกว่าเป็นการต่อสู้แบบอาชีพแบบต่อยไปถีบมาเหรอ?” เซียวจวงพูดอย่างเย็นชา สายตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม

“จะบอกแกให้ นี่ล้วนเซ็นสัญญาชีวิตไว้แล้ว ขึ้นไปเวทีนี้แล้ว ก็คือต้องสู้ให้ตายถึงลงจากเวทีได้ บนเวทีจะมีคนมีชีวิตลงมาเพียงคนเดียว” เซียวจวงพูดอย่างเย็นชา “แกมันแค่ไอ้ไร้น้ำยาที่พวกเยอะแล้วรังแกคน กล้าขึ้นไปสู้ตัวต่อตัวไหม? หือ?”

โม่เก๋อติงกับเซียวจวงนั่งด้วยกัน ต่างก็มองมาด้วยสายตาเยาะเย้ย

หลินอิ่งยิ้มไม่พูดอะไร อายุสิบกว่าปีเขาอยู่ต่างประเทศ เดินออกมาจากท่ามกลางศพและกองเลือด สถานการณ์แบบนี้ จะถือว่าเป็นอะไร?

“ทุกท่าน ผมคือเซียวจวงแห่งเซียวซื่อกรุ๊ป มีเรื่องสำคัญจะแจ้งให้ทุกท่านทราบ”

เวลานี้ บอดี้การ์ดข้างกายเซียวจวงยื่นไมค์มา เขาพูดกับทุกคนในงานสีหน้าได้ใจ

“ผมตัดสินใจ ลงเงินหนึ่งพันล้าน เพื่อพนันการแข่งขันหนึ่งยกบนเวที”

“คู่แข่งพนัน ก็คือหลินอิ่งที่นั่งอยู่ฝั่งโน้น นัดนี้ผมกับประธานโม่เก๋อติงลงเงินหนึ่งพันล้าน พนันกันหนึ่งต่อหนึ่ง ยินดีต้อนรับทุกท่านเข้าร่วม”

พูดจบ เซียวจวงก็มองหลินอิ่งอย่างหยอกล้อ

“คุณชายเซียวกับประธานโม่นี่ไม่ธรรมดาจริงๆ เล่นใหญ่ขนาดนี้ หนึ่งพันล้านเพื่อพนันมวยหนึ่งยก? นี่จะเล่นใหญ่ไปไหม”

“โอ้โห? โม่เก๋อติงกับประธานโม่เก๋อติงเปิดเกมพนันแข่งขัน? อัตราการพนันหนึ่งต่อหนึ่ง นี่ไม่ใช่ให้ทุกคนเก็บเงินเหรอ? ใครจะไปสู้กับคุณชายเซียวกับประธานโม่ร่วมมือกัน?”

“อะไรหลินอิ่ง? ฉันอยู่เมืองก่างยังไม่เคยได้ยินเลย ใจกล้าขนาดนี้ กล้าเล่นเวทีมวยกับคุณชายเซียวและประธานโม่? นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ?”

“ใช่แล้ว คุณชายเซียว คุณบอกแล้วว่าเขาเป็นลูกเขยไร้น้ำยา ไอ้คนจน หนึ่งพันล้านจะไปมีเงินเล่นได้ยังไง?” หนีซิงก็พูดจาเสียดสีตาม

เซียวจวงสีหน้าได้ใจ มองไปที่หลินอิ่ง พูดว่า “คุณหนีถามแกแล้วว่ามีปัญญาเล่นไหม? ถูกผู้หญิงคนหนึ่งดูถูกแบบนี้แล้ว ดูเหมือนคุณจะพิสูจน์ตัวเองได้ยากนะ?”

“หนึ่งพันล้าน?” หลินอิ่งส่ายหัว “คุณเล่นน้อยเกินไป”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท