ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 395 ตอนนี้ รู้ว่าต้องมาขอร้องผมแล้ว?

บทที่ 395 ตอนนี้ รู้ว่าต้องมาขอร้องผมแล้ว?

“ประธานหลิน ท่านมาแล้วหรือ”

พอเห็นหลินอิ่งเดินออกมา หวางเฟิงเที๋ยนกับหนีซิงก็รีบลุกขึ้น ทั้งสองเดินเข้าไป หน้าตายิ้มแย้ม ก้มหัวอย่างเคารพให้หลินอิ่ง

“ประธานหลิน สวัสดีตอนเช้า ผมมาครั้งนี้นำสัญญาการโอนบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจิน มาพบท่านโดยเฉพาะ” หวางเฟิงเที๋ยนก้มตัวยิ้มแย้ม สีหน้าเคารพ

“ประธานหลิน เมื่อคืนระหว่างเรามีเรื่องเข้าใจผิด ขอโทษจริงๆ” หนีซิงหน้าตายิ้มแย้ม แววตาเป็นประกายมองไปที่หลินอิ่ง

หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา แววตาเย็นชา มองไปที่หวางเฟิงเที๋ยนสองคน

สายตานี้ มองจนทั้งสองเงียบไม่กล้าออกเสียง ร่างกายสั่นไปทั้งตัว

“ตอนนี้ รู้ว่าต้องมาขอร้องผมแล้วเหรอ?” หลินอิ่งถามอย่างเย็นชา

หวางเฟิงเที๋ยนสีหน้าเคร่งเครียด ในใจกระวนกระวาย รู้สึกเสียใจมาก ทำไมต้องไปดูถูกหลิงอิ่งตามโม่เก๋อติง?

วันนี้ ที่พึ่งอย่างโม่เก๋อติงถูกหลินอิ่งเหยียบตาย คนฐานะเล็กๆอย่างตัวเอง จะเอาอะไรไปสู้กับอำนาจของหลินอิ่ง?

โดยเฉพาะ พวกเขาสองคนได้เห็นเหตุการณ์ทำเก่งกาจที่หลินอิ่งแสดงบนเวที รู้ว่าคนตรงหน้า ดูแล้วเหมือนเด็กหนุ่มที่สงบกันเอง แต่ความจริงเป็นคนโหดฆ่าคนตาไม่กะพริบ

ต๊อก

หวางเฟงเทียนทนรับแรงกดดันมหาศาลจากตัวหลินอิ่งไม่ไหว คุกเข่าไปทันที เหงื่อท่วมหน้าผาก

“ประธานหลิน ขอร้อง ปล่อยผมไปเถอะ ผมผิดไปแล้ว ผมไม่ควรไปอยู่ข้างคนโง่อย่างโม่เก๋อติงมาต่อต้านท่าน” หวางเฟิงเที๋ยนพูดทั้งน้ำตา

“ตอนแรกที่ฉีกสัญญาทิ้ง นั่นเป็นเพราะโม่เก๋อติงบังคับผม เขาเอาชีวิตผมมาข่มขู่ผม นั่นไม่ใช่ความหมายของผม ตอนแกผมอยากร่วมงานกับประธานหลิน” หวางเฟิงเที๋ยนก้มหัวหมอบกับพื้น หัวโคกพื้น ขอร้องไม่หยุด

“ประธานหลิน ครั้งนี้ผมเตรียมสัญญาโอนทั้งหมดมาแล้ว เอาบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินทั้งบริษัทให้ท่านเลย ผมขอแค่ครึ่งหนึ่งของราคาที่ท่านให้ก่อนหน้านี้ ไม่ ผมเอาแค่เศษหนึ่งส่วนสาม ขายให้ท่านทันที”

“แกคิดว่า บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินของแกตอนนี้ ยังคู่ควรกับราคาเท่าไหร่?” คริสพูดอย่างเย็นชา

หวางเฟิงเที๋ยนยังอยากพูดอะไรอีก แต่พูดไม่ออก

ใช่ ประธานหลินแม้แต่ลาตินกรุ๊ปบอกยึดก็ยึด โม่เก๋อติงจะฆ่าก็ฆ่า

บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินเล็กๆของเขา จะเป็นอะไรได้?

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย มองนักธุรกิจแบบนี้ออกอย่างถ่องแท้แล้ว

คนอย่างหวางเฟิงเที๋ยนที่หวังแค่ชื่อเสียงผลประโยชน์แบบนี้ ไม่ได้คุกเข่าให้เขา แต่คุกเข่าให้กับเงินทอง

บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินอันใหญ่โต หวางเฟิงเที๋ยนไม่อยากปล่อย

“ประธานคริส ขอโทษ ท่านช่วยผมพูดกับประธานหลินหน่อยนะ ต่อจากนี้ผมจะเชื่อฟังประธานหลินทุกอย่าง กิจการของบริษัททุกอย่างจะฟังคำสั่งท่านเท่านั้น” หวงเฟงเที๋ยนถูหัวเข่า ขอร้องอย่างตั้งใจ ต้องการอยู่รอดให้ได้

ไหว้พระผิดองค์ หวางเฟิงเที๋ยนพยายามอยากแก้ไข ไม่อย่างนั้น ถ้าถูกหลินอิ่งชำระบัญชี บริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินต้องล้มละลายแน่นอน

ถ้าเป็นแบบนี้ เขาก็จะสูญเสียงอำนาจเงินทองทุกอย่าง ชีวิตจะตกต่ำที่สุด

“ตอนนี้ถึงมาอ้อนวอนผม สายไปแล้ว”

หลินอิ่งทิ้งคำพูดไปหนึ่งประโยชน์

ทันใดนั้น หวางเฟิงเที๋ยนเหมือนถูกฟ้าผ่า สีหน้าซีดเซียว ตัวสั่นไปทั้งร่าง

“ประธานหลิน ท่านอย่าโกรธแบบนี้ซิคะ ประธานหวางเขาไม่ได้ตั้งใจจะต่อต้านท่าน” หนีซิงพูดเสียงออดอ้อน สายตาเย้ายวน เอียงตัวไปหาหลินอิ่ง

“ประธานหลิน ไม่ทราบว่า พอจะมีเวลากินข้าวกันไหมคะ ขอโอกาสให้ฉันได้ขอโทษประธานหลินหน่อยนะคะ” หนีซิงน้ำเสียงออดอ้อน พูดเสียงหวาน

หลินอิ่งไม่สะทกสะท้าน มุมปากยิ้มเย็นชา

“คริส ให้หยังเสียงของบริษัทผองเฟยมา จัดการสองคนนี้ซะ” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

พูดจบ เดินจากไป

“ครับ” คริสพูดอย่างเคารพ

“ประธานหลิน รอก่อนค่ะท่าน ให้โอกาสฉันสักครั้งนะคะ” หนีซิงยังทำตัวยั่วยวน เดินเข้าไปใกล้ชิดหลินอิ่ง

เธอรู้สึกมั่นใจในความสวยของตัวเอง ยังไงแล้วก็เป็นดาราสาวที่ชื่อเสียงโด่งดังในเมืองก่าง มีคุณชายตระกูลดังไม่รู้เท่าไหร่คอยเข้าแถวจะมาจีบเธอ เธอไม่เชื่อ คนหนุ่มวัยเจริญพันธุ์อย่างหลินอิ่ง จะไม่มีความรู้สึกกับเธอแม้แต่น้อย

เท่าที่เธอดูแล้ว ผู้ชายก็เจ้าชู้กันทั้งนั้น โดยเฉพาะผู้ชายหนุ่มหน้าตาดีอย่างหลินอิ่ง ต้องมีความชอบในเรื่องพวกนี้แน่

“ตามมาอีก เธอตาย”

ฮาเดสสีหน้าเย็นชาขวางหนีซิงที่จะเข้าใกล้หลินอิ่ง

“ผู้หญิงแต่งหน้าหนาอย่างเธอหรือ ยังอยากคิดจะยั่วยวนประธานหลิน?” ฮาเดสพูดอย่างเย็นชา

“ไสหัวไป”

ตลกจริงๆ ฮาเดสติดตามข้างกายหลินอิ่ง เห็นสาวงามดั่งเทพธิดาไม่รู้เท่าไหร่ที่อยากเข้าใกล้มอบตัวให้ ประธานหลินไม่แม้แต่จะมอง ยิ่งดาราเมืองก่างแต่งหน้าหนาไร้การศึกษาแบบนี้ ยังมีหน้ามายั่วยวนต่อหน้าประธานหลินอีก?

พูดจบ ฮาเดสก็ติดตามหลินอิ่งออกจากอาคารสุ่ยจิน หนีซิงอึ้งอยู่กับที่ ไม่กล้าขยับ

กลิ่นอายแรงสังหารบนตัวฮาเดส ทำให้หนีซิงตกใจถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าแดงก่ำ คิดไม่ถึงว่าจะถูกต่อว่าอย่างไร้เยื่อใยขนาดนี้

หลินอิ่งไม่ให้โอกาสเธอแม้แต่น้อย

เสนอตัวให้ขนาดนี้แล้ว กลับไม่แยแสไม่มองเลยแม้แต่น้อย

“ประธานคริส ท่านเป็นคนดังข้างกายประธานหลิน ช่วยคิดหาวิธีหน่อยได้ไหม ช่วยพวกเราพูดกับประธานหลินหน่อย ให้โอกาสพวกเราได้อยู่รอดด้วยนะ”

“ใช่ค่ะ ประธานคริส ท่านช่วยพวกเราหน่อยนะ พวกเราตกลงข้อเสนอทุกอย่าง” หนีซิงทำท่าทางน่าสงสาร พูดขอร้อง

คริสหัวเราะเย็นชามองดูหวางเฟิงเที๋ยนทั้งสองคน

เขาอยู่ในแวดวงธุรกิจนานาประเทศมานาน หน้าตาอันน่าสมเพชของหญิงสาวคนนี้ ก็ถือว่าเห็นมามากแล้ว

ต่อหน้าอำนาจเงินทองผลประโยชน์ ก็เปลี่ยนเป็นอีกคน และถูกขยายใหญ่ได้ไม่มีขีดจำกัด

คริสหัวเราะเย็นชา “พวกแกไปทำอะไรไว้? ตั้งแต่วินาทีแรกที่ทำให้ประธานหลินขุ่นเคือง ผลลัพธ์ของพวกแกก็ไม่มีดีแน่”

“คริส ประธานคริส เขา เขาจะจัดการยังไงกับพวกเรา?” หวางเฟงเทียนพูดอย่างหวาดกลัว

“พวกแกไม่มีวันได้เห็นตะวันอีกแล้ว” คริสพูดเสียวเรียบ “ชีวิตที่เหลือก็ไปขุดเหมืองที่แอฟริกาเถอะ”

พูดจบ คริสก็โทรหาหยังเสียง

หยังเสียงมีเหมืองอยู่ที่แอฟริกา เปิดบริษัทเหมืองแร่แอฟริกา ครั้งที่แล้วเพราะทำงานให้หลินอิ่งอย่างดี ถึงได้เป็นรางวัล

“หา? อะไรนะ? ไปขุดเหมือง?”

หวางเฟิงเที๋ยนกับหนีซิงตกใจจนหน้าซีด ในสมองเริ่มมีภาพชีวิตที่เหลืออีกครึ่งค่อนชีวิตก็ขุดเหมือง……..

……….

เมืองก่าง เกาะวงดาว คฤหาสน์เชียงปิง

จี้ฉงซานใส่ชุดลำลอง นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวริมทะเลสาบ ถือเบ็ดตกปลากำลังนั่งตกปลา

เขาสีหน้าเคร่งเครียด เหมือนมีความกดดัน ไม่ได้สบายใจเหมือนแต่ก่อน

“คุณท่านจี้ มีอะไรเหรอ? โทรหาฉันเร่งรีบขนาดนี้? เกิดเรื่องเร่งด่วนอะไร?”

เวลานี้ มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น

เหวินเทียนเฟิ่งสวมใส่เสื้อคลุมสบายคู่กับกางเกงยีน ใส่แว่นกันแดดทรงกลม ข้างกายมีบอดี้การ์ดเสื้อเท่าสองคน เดินเข้ามาช้าๆ นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง

“นายหญิงเหวิน เกิดเรื่องขึ้นนิดหน่อย” จี้ฉงซานค่อยๆพูด “หลินอิ่งยืนอย่างหนักแน่นที่เมืองก่างแล้ว ยึดลาตินกรุ๊ปเมืองก่างไปแล้ว สถานการณ์เกินความควบคุมของผมแล้ว”

“ดังนั้น ผมรู้สึกว่า ทางด้านนายหญิงเหวิน ต้องรีบหายอดฝีมือมา มาร่วมมือกับผมเพื่อลงมือ เดี๋ยวนานเข้าเรื่องจะยุ่งยาก” จี้ฉงซานพูดสีหน้าจริงจัง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท