ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 394 เปิดมือเป็นเมฆ คว่ำมือเป็นฝน

บทที่ 394 เปิดมือเป็นเมฆ คว่ำมือเป็นฝน

“ออ? จี้ฉงซานส่งคนมาทักทาย?” หลินอิ่งมีความสนใจ “ว่ายังไง?”

ตัวเองสร้างเรื่องรวมใหญ่โตในอาคารสุ่ยจิน จากอำนาจของจี้ฉงซานในเมืองก่างแล้ว คิดว่าจะสืบหารายละเอียดแล้ว คงไม่ใช่เรื่องยาก

แต่ว่า จี้ฉงซานรู้ช้าไปแล้ว วันนี้ถึงรู้ตำแหน่งของเขาก็ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย

เพราะว่า ได้ลาตินกรุ๊ปเมืองก่างมาครอบครอง แค่มือเดียวก็เปลี่ยนเจ้าของผู้ครอบครองแล้ว ยืนหนักแน่นในวงการธุรกิจเมืองก่างแล้ว

คราวนี้ จี้ฉงซานอยากหลบซ่อนตัวไม่ออกมา หลบอยู่ในที่ลับมาทำร้ายเขา ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

คริสพูด “ประธานหลิน เป็นรองประธานของบริษัทฉงซานหลิวสฺยงโทรมา บอกว่าให้ผมบอกประธานหลิน ให้ชื่นชมวิวอันสวยงามของเมืองก่างดีๆ พวกเขาจะต้อนรับท่านอย่างดี”

คริสไม่รู้ว่าประธานหลินกับมหาเศรษฐีเมืองก่างคนนี้มีความโกรธแค้นอะไร แต่ว่าเท่าที่ดูแล้ว ทั้งสองได้ปะทะกันแล้ว

“จะต้อนรับผมอย่างดี?” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา

“คริส ผมมีแผนการอย่างหนึ่ง คุณเริ่มดำเนินการพรุ่งนี้เลย” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “จากนั้น ขอให้เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับบริษัทวั่นซาน หลินซื่อกรุ๊ปต้องยุ่งเกี่ยวทุกอย่าง ธุรกิจที่บริษัทวั่นซานไม่มี หลินซื่อยิ่งต้องมี”

“สรุปก็คือ ในด้านธุรกิจทั้งหมด ไม่ห่วงผลกระทบ ไม่ต้องกลัวเรื่องผลประโยชน์ เจาะจงบริษัทวั่นซานทุกอย่าง”

ได้ยินแล้ว คริสสีหน้าตกใจ คิดไม่ถึงว่าประธานหลินจะให้เขาไปจัดการเรื่องใหญ่ขนาดนี้

จะแข่งขันกับมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งเมืองก่างจี้ฉงซาน ในวงการธุรกิจเมืองก่าง?

ต้องรู้ว่า นี่คือการต่อสู้กับอำนาจที่จี้ฉงซานบริหารเมืองก่างมานานหลายสิบปี และยังเป็นวิธีที่ศัตรูสูญเสียหนึ่งพัน ตัวเองสาหัสแปดร้อย

สงครามการเงินระดับนี้ต่อสู้การขึ้นมา นั่นก็เหมือนเทวดาสู้รบกัน จำนวนเงินมหาศาล

“ครับ ประธานหลิน ผมกลับไปแล้ว จะรีบจัดการทุกด้านให้พร้อมครับ” คริสพูดอย่างจริงจัง ความรู้สึกตื่นเต้นมาก

หลินอิ่งพยักหน้า นี่เป็นวิธีที่เขาทำในที่แจ้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

ลำพังแค่การขัดขวางในธุรกิจทุกด้าน การดำเนินงานปกติในตลาดหุ้น ชั่วเวลาเดียวสะเทือนรากฐานของจี้ฉงซานไม่ได้แน่

เขามีไม้ตาย รอแค่เวลาที่เหมาะสม ค่อยให้แรงกระทบอย่างหนักกับจี้ฉงซาน

ดื่มชาไปหนึ่งคำ หลินอิ่งพูดต่อ “บริษัทสาขาเมืองก่างของเซียวซื่อกรุ๊ปมีความเคลื่อนไหวไหม? ทางด้านสำนักงานใหญ่ลาตินกรุ๊ป ว่ายังไง?”

คริสพูด “ประธานหลิน สาขาเซียวซื่อกรุ๊ปเมืองก่างประเทศM เมื่อคืนทุกคนก็หนีออกจากเมืองก่างแล้วครับ เซียวซื่อกรุ๊ปเลือกปิดกิจการชั่วคราว ทิ้งธุรกิจในเมืองก่างชั่วคราว”

“ส่วนทางด้านสำนักงานใหญ่ลาตินกรุ๊ป ถ้วยคำแข็งมาก พวกเขาตัดขาดแหล่งเงินทุนทั้งหมดของเขตเอเชียแปซิฟิกแล้ว เพราะว่าผมกำความลับของบริษัทไว้มากมาย พวกเขาเขากลัวผมจะทำอะไรกับบริษัทสาขาอื่น อีกอย่าง ประกาศต่อภายนอกว่ายกเลิกตำแหน่งตัวแทนเขตภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก” คริสพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พวกเขายังส่งคำขู่สุดท้ายมาให้ผมด้วย ให้ผมรับผิดชอบต่อการตายของโม่เก๋อติง”

“ประธานหลิน ตามที่ผมรู้เกี่ยวกับผู้บริหารระดับสูงของสำนักงานใหญ่ลาตินกรุ๊ปแล้ว พวกเขาต้องส่งคนมาหาเรื่องท่านที่เมืองก่างแน่นอน โดยเฉพาะ ลุงของโม่เก๋อติงเป็นสมาชิกของคณะกรรมการสำนักงานใหญ่ ต้องมาแก้แค้นแน่นอน” คริสพูดอย่างจริงจัง

เรื่องมาถึงจุดนี้ คริสตัดสินใจจะติดตามประธานจนถึงที่สุด

คนอยู่แดนไกลทำอะไรไม่ได้ ลาตินกรุ๊ปถึงแม้จะมีอำนาจแข็งแกร่ง แต่ในประเทศหลุง ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของประธานหลิน

“คุณไม่ต้องใส่ใจทางด้านลาตินกรุ๊ป” หลินอิ่งพูดอย่างใจเย็น “คุณแค่วางใจบริหารหลินซื่อกรุ๊ปที่เมืองก่างให้ดีก็พอ ผมจะมอบอำนาจให้คุณเป็นคนจัดการธุรกรรมทุกอย่างเอง”

“ครับ” คริสก้มหัวอย่างเคารพ สายตาซาบซึ้งและตื่นเต้น

เป็นลูกน้องสำคัญของหลินอิ่ง จากนี้ไป เขาก็อยู่ภายใต้คนหนึ่งคน อยู่เหนือคนนับหมื่น(หมายถึงมีอำนาจสูง มีฐานะสูง)

ไม่ต้องเหมือนสมัยก่อนที่อยู่สำนักงานใหญ่ลาตินกรุ๊ป ต่อหน้ามีศักดิ์ศรี ความเป็นจริงถูกกดดันทุกอย่าง

หลินอิ่งนิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ สถานการณ์เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้

หลังจากเซียวจวงของเซียวซื่อกรุ๊ปประเทศMตายแล้ว กลัวสาขาที่เมืองก่างถูกชำระบัญชี ต้องเลือกที่จะหนีแน่นอน

ส่วนสำนักงานใหญ่ลาตินกรุ๊ป ถูกเขากลืนบริษัทสาขาอย่างโจ่งแจ้งในเมืองแห่งตลาดหลากทรัพย์ระหว่างประเทศอย่างเมืองก่าง สูญเสียผลกระทบอย่างสิ้นเชิง ต้องไม่มีวันยอมแน่นอน

อำนาจของสองบริษัทข้ามชาตินี้อยู่ที่ต่างประเทศเป็นหลัก ไม่จำเป็นต้องไปกังวลมากนัก ใครกล้ามาก็จัดการแค่นั้น

“ใช่แล้ว ประธานหลิน ยังมีอีกเรื่อง ไม่ได้สำคัญมาก แต่ผมคิดว่า ควรจะรายงานท่านหน่อย” คริสพูดอย่างระมัดระวัง

หลินอิ่งจีบชาไปคำหนึ่ง “พูดเลย”

“ประธานหลิน เช้าวันนี้ ประธานบริษัทภาพยนตร์และโทรทัศน์จื่อจินหวางเฟิงเที๋ยน พาดาราสาวคนนั้นมาตั้งแต่เช้า มาอาคารสุ่ยจิน ขอพบท่าน” คริสรายงาน

“ออ นกสองหัวนั่น หวางเฟิงเที๋ยน?” หลินอิ่งนึกขึ้นได้ มุมปากยิ้มขึ้น

“ใช่ครับ ประธานหลิน ก็คือคนที่ฉีกสัญญาแล้วหันมากัดพวกเราคนนั้น หวางเฟิงเที๋ยน” คริสพูด “วันนี้โม่เก๋อติงแพ้แล้ว เขาก็ไม่มีที่พึ่งในเมืองก่างแล้ว ประธานหลินท่านก็เอาลาตินกรุ๊ปเมืองก่างมาแล้ว เขาคงหวาดกลัวมาก”

หลินอิ่งใบหน้าเย็นชา ก่อนหน้านี้หวางเฟิงเที๋ยน ดูถูกคน ออกหน้าแทนโม่เก๋อติง ตอนนี้ยังกล้ามีหน้ามาหาถึงที่?

อาคารสุ่ยจิน ห้องโถงชั้นหนึ่ง

หวางเฟิงเที๋ยนพาหนีซิงนั่งอยู่บนโซฟา ทั้งสองสีหน้าหวาดกลัวไม่สบายใจ

“ประธานหวาง ท่านว่า หลินอิ่ง ไม่ ประธานหลิน เขาจะปล่อยเราสองคนไปไหม?” หนีซิงถามอย่างระมัดระวัง

หวางเฟิงเที๋ยนรู้สึกปวดหัว นวดตรงขมับ สีหน้าเต็มไปด้วยความขมขื่น ท้องไส้ปั่นป่วนไปหมดแล้ว

คิดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย เพิ่งฉีกสัญญาของหลินอิ่งไปเข้าพวกกับโม่เก๋อติง ปรากฏว่า โม่เก๋อติงกลับจบสิ้นแล้ว แม้แต่บริษัทก็โดนเขายึดไปแล้ว ยังเปลี่ยนชื่อเป็นหลินซื่อกรุ๊ป

มีตาหามีแววไม่จริงๆ

ตอนแรกนึกว่าหลินอิ่งเป็นแค่ลูกน้องของคริส ใครจะไปรู้ เขาแค่สูดลมหายใจในเมืองก่างแค่คำเดียว เมืองก่างถึงกับท้องฟ้าแปรปรวน ฟ้าฝนคะนอง

ชั่วค่ำคืนเดียว ดินแดนธุรกิจอันใหญ่โตของโม่เก๋อติงล้มละลาย เปลี่ยนยุคเปลี่ยนสมัย

หลินอิ่งนี่เป็นมังกรที่แท้จริง เปิดมือเป็นเมฆ คว่ำมือเป็นใน

หวางเฟิงเที๋ยนตบหน้าตัวเอง สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวังเสียใจ ตอนแรกทำไมถึงฉีกสัญญาทิ้ง? ร่วมงานประธานหลินโดยดีแต่แรกก็ดี ถ้าอย่างนั้นก็กำไรเต็มถังแล้ว?

“ฉันก็ไม่รู้นิสัยของประธานหลิน ไม่รู้จะพูดยังไง” หวางเฟิงเที๋ยนพูดด้วยสีหน้าลังเล “แต่ก็ต้องผ่านด่านนี้ไปให้ได้ ต้องประจบประธานหลินให้ดี ไม่อย่างนั้นบริษัทไม่ลอดแน่ ชีวิตการเป็นดาราของเธอก็จบแน่”

“อ้า ฉันยังไม่อยากจบเส้นทางการเป็นดาราของฉัน” หนีซิงพูดอย่างเสียดาย

“เพราะฉะนั้น ฉันคิดวิธีที่ดีได้แล้ว” หวางเฟิงเที๋ยนสูบบุหรี่ไปคำหนึ่ง พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “พวกเราไม่รู้จักประธานหลิน แต่ว่า ประธานยังหนุ่ม กำลังเป็นวัยร่างกายแข็งแกร่ง อายุประมาณนี้เห็นสาวสวยต้องมีความสนใจแน่นอน”

“เธอรูปร่างหน้าตาดี ในเมืองก่าง ยังไงก็อยู่สิบอันดับต้น” หวางเฟิงเที๋ยนพูดอย่างจริงจัง “หนีซิง เธอเข้าใจความหมายของฉันไหม?”

“ฉันเข้าใจ ประธานหวาง” หนีซิงพยักหน้า แววตาสดชื่น คิดภาพถ้าตัวเองได้เข้าหาหลินอิ่งจริง ถ้าอย่างนั้นต่อจากนี้ในเมืองก่าง ก็ความสามารถเหนือคนอื่น ไม่มีอะไรทำไม่ได้แล้ว

วันนี้เธอเตรียมตัวมาอย่างดี ตั้งใจใส่เสื้อยึดสีขาวตามแฟชั่นสวยงาม คู่กับกางเกงยีนขาสั้น โชว์ขาอันขาวนวล หุ่นอันเซ็กซี่เย้ายวน ข้างหน้าอวบอั๋นได้รูป เต็มไปด้วยเสน่ห์อันเย้ายวน

ในเวลานี้เอง ประตูลิฟต์ถูกเปิดออก หลินอิ่งเดินออกมา มีฮาเดสกับคริสเดินอยู่ซ้ายขวา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท