ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 397 หลินอิ่งเป็นคนที่เธอด่าได้?

บทที่ 397 หลินอิ่งเป็นคนที่เธอด่าได้?

หลินอิ่งมาถึงชั้นหกของคอนโด เคาะประตูอยู่หน้าห้อง628

ติ๊ด

ทันใดนั้น มือถือดังขึ้น จางฉีโม่โทรมา

หลินอิ่งรับโทรศัพท์

“ฉีโม่ มีเรื่องอะไรไหม?” หลินอิ่งถาม

“หลินอิ่ง ตอนนี้ฉีโม่ไม่อยู่ ฉันเอง ฉันมีเรื่องจะถามเธอให้รู้เรื่อง” ในโทรศัพท์ เป็นเสียงของชายวัยกลางคนคนหนึ่ง

หลินอิ่งขมวดคิ้ว เขาฟังออก ว่านี่เป็นเสียงของพ่อตาจางซิ่วเฟิง

นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน

พ่อตาแม่ยาย จางซิ่วเฟิงกับลู่หย่าฮุ่ยสองท่านนี้ ไม่เคยมีสีหน้าที่ดีให้เขาเห็นแม้แต่ครั้งเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดว่าโทรมาหาเขา

ดูแล้ว ฉีโม่กลับไปถึงตงไห่แล้ว ไม่อย่างนั้น จางซิ่วเฟิงก็คงไม่ใช้มือถือของฉีโม่โทรมาหาเขา

“ท่านมีเรื่องอะไรครับ?” หลินอิ่งถาม

“ฉันถามหน่อย เธอไปเมืองก่างใช่ไหม?” ในโทรศัพท์ จางซิ่วเฟิงถามเสียงเรียบ

หลินอิ่งพูด “ผมอยู่ที่เมืองก่าง”

“ถ้าอย่างนั้นเธอได้เจอน้องสาวของฉีโม่ลู่จิ้งแล้วใช่ไหม?” จางซิ่วเฟิงถามต่อ น้ำเสียงไม่ดีเลย

“ครับ” หลินอิ่งตอบ

“หลินอิ่ง เธอตั้งใจให้ฉันขายหน้าใช่ไหม? ไปรังแกเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังไม่เข้าเรียน เธอไม่อายเหรอ? ผู้ชายตัวโตขนาดนี้ ไม่ขายหน้าเหรอ?” จางซิ่วเฟิงถามด้วยสีหน้าโมโห ท่าทางโกรธมาก

หลินอิ่งสีหน้านิ่งเฉย พูดว่า “ท่านมีเรื่องอะไรครับ พูดให้ชัดเจน”

“ฉันอายุปูนนี้แล้ว ทำเรื่องบ้าอะไร ฉันยังอายที่จะพูด ทำไมฉันถึงได้มีลูกเขยอย่างเธอ?” จางซิ่วเฟิงพูดอย่างโมโห

“เห้อ ไม่ต้องพูดแล้ว คุณพูดเรื่องแค่นี้ก็พูดไม่ชัดเจน ฉันมาพูดกับเขา”

ในโทรศัพท์ เป็นเสียงของลู่หย่าฮุ่ยที่พูดอย่างรำคาญ

“หลินอิ่ง เธอคิดว่าตอนนี้ฉีโม่รวยแล้ว เธอก็พองโตแล้วใช่ไหม? ฉีโม่ให้โอกาสเธอ ให้เธอไปขยายธุรกิจที่เมืองก่าง เธอก็ใช้อำนาจของฉีโม่ แม้แต่คนของตระกูลลู่เรายังกล้ารังแก ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่ไหม?” ลู่หย่าฮุ่ยด่าอย่างสายฟ้าแลบ

“ลู่จิ้ง? เธอไปพูดอะไรกับพวกท่าน?” หลินอิ่งถามอย่างใจเย็น

เขาเดาออกแล้ว น้องสาวของฉีโม่ลู่จิ้ง ไปพูดจาใส่ไข่อีกแล้ว

ครั้งนี้ ไม่ได้ไปฟ้องฉีโม่ แต่กลับฟ้องไปถึงผู้ใหญ่ลู่หย่าฮุ่ยทั้งสอง

“เหอะเหอะ เธอไปคบเพื่อนเลวที่เมืองก่างใช่ไหม? ไปเธอไปกินเหล้าเมายา? ลู่จิ้งก็เพราะว่าไปเห็นการกระทำของเธอโดยบังเอิญ ต่อว่าเธอหน่อย เธอกลับให้คนไปตบเขา? ได้ยินว่า ก่อนหน้านี้ที่ตี้จิง เธอยังไปยุ่งกับผู้หญิงคนอื่น ก็ไปตบเขา?” ลู่หย่าฮุ่ยถามเสียงเย็นชา “เธอนี่กล้ามากเลยนะ”

“ผมไม่เคยทำร้ายลู่จิ้ง” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

ไม่อยากพูดมาก เขาไม่อยากอธิบาย

ลู่หย่าฮุ่ยทั้งสองคนยอมเชื่อคนนอก ก็ไม่เชื่อเขา

คนที่ไม่เชื่อใจเขา ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก

“ยังแก้ตัวอีก รอยแผลบนหน้าที่ลู่จิ้งถูกตบ ยังมีรูปถ่ายที่ไปรักษาที่โรงพยาบาล พวกเราเห็นหมดแล้ว เธอนี่มันไร้ยังอายจริงๆ” ลู่หย่าฮุ่ยตะโกนด่าอย่างโมโห “แม้แต่หลานฉันยังกล้าตบ เธอลืมไปแล้วใช่ไหมว่าสองปีนี้ใครเลี้ยงเธออยู่บ้าน? ยังเอาเงินของฉีโม่ ไปดื่มเหล้ามั่วสุมที่เมืองก่าง? เธอไปทำงานอะไรของเธอ?”

“ตอนนี้ พ่อแม่ของลู่จิ้งอยู่บ้านฉัน รอฟังว่าเธอจะพูดยังไง เธอรู้ไหมว่าทำให้ฉันขายหน้าแค่ไหนในตระกูลลู่? ถูกเธอทำให้ขายหน้าจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว”

“หลินอิ่ง เธอกลับมาที่เมืองชิงหยูนเดี๋ยวนี้ ฉันจะเจอเธอพรุ่งนี้ ไปขอโทษแต่โดยดี ไม่อย่างนั้น ฉันจะให้ฉีโม่ไล่เธอออกจากบ้าน ดูว่าเธอจะเอาอะไรไปใช้ชีวิตสุขสบายแบบนี้ได้อีก” ลู่หย่าฮุ่ยสั่งด้วยเสียงเย็นชา

“ผมยังมีธุระที่เมืองก่าง กลับไม่ได้” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

“เธอจะไปมีเรื่องอะไร? ……”

ลู่หย่าฮุ่ยยังอยากพูดอะไรอีก หลินอิ่งก็วางสายไปแล้ว

เพราะว่า หลินอิ่งเห็นห้อง628 ผู้ชายคนหนึ่งใส่Tเชิ้ตสีขาว ถือถุงขยะใบหนึ่งออกมา

ชายเสื้อTเชิ้ตมองหลินอิ่ง แววตานิ่งไปทันที หรี่ตาลง ทะลุแสงไฟที่แสบตา

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ไม่ขยับ สายตามองไปอย่างเรียบเฉย

บรรยากาศในทางเดิน เหมือนอากาศแข็งตัวทันที

ติ๊ดติ๊ดติ๊ด โทรศัพท์หลินอิ่งดังขึ้นอีกครั้ง……

อีกด้านหนึ่ง เมืองชิงหยูน วิลล่าหิมะมังกร

เสียงดังปัง มือถือถูกโยนไปบนกระเบื้อง

“หลินอิ่งไอ้ไร้น้ำยา เก่งมากแล้วใช่ไหม แม้แต่โทรศัพท์ฉันก็กล้าวาง ยังไม่รับ?” ลู่หย่าตะโกนอย่างโมโห สีหน้าโกรธเคือง

“พี่สาม ฉีโม่บ้านพี่ตอนนี้เจริญรุ่งเรืองแล้ว แต่ก็รังแกคนแบบไม่ได้นะ? ลู่จิ้งของเราไม่ได้ทำอะไรเลย ก็แค่พบเห็นหลินอิ่งมีผู้หญิงข้างนอก ก็ทำร้ายลูกสาวฉันจนขนาดนี้?” เสียงผู้ชายวัยกลางคนพูดอย่างไม่พอใจ

คนนี้ เป็นพ่อของลู่จิ้งชื่อลู่เจียน น้องชายแท้ๆของลู่หย่าฮุ่ย

“พี่สาม ถ้าพี่ไม่ให้คำอธิบายกับลู่จิ้งของเราหน่อย ถ้าผมกลับไปแล้ว ก็ต้องเชิญพวกพี่ชายพี่สาวมาขอความเป็นธรรมพร้อมกัน” ลู่เจียนพูด

“อย่า น้องชาย เรื่องนี้พี่ต้องถามให้รู้เรื่องแน่นอน” ลู่หย่าฮุ่ยรีบพูด “รอหลินอิ่งกลับมา พี่ให้เขาไปขอโทษด้วยตัวเองถึงบ้าน”

“พี่ พี่ต้องสั่งสอนหลินอิ่งดีๆนะ เขาเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านพี่ ยังมากล้าดีแล้วใช่ไหม? กล้าแสดงสีหน้ากับพี่สองคนแล้วเหรอ? ให้ผมพูดนะ มันมาเกาะฉีโม่กิน บอกคุกเข่าก็ต้องคุกเข่า บอกให้รีบกลับมาก็กลับมา พี่สามพี่เป็นหัวหน้าครอบครัว จะไร้ระเบียบแบบนี้ไม่ได้” ลู่เจียนพูด

ลู่หย่าฮุ่ยสีหน้ายิ่งไม่ดี ถูกว่าแบบนี้ก็รู้สึกเสียหน้า

รู้สึกแค่ว่า ทุกอย่างนี้หลินอิ่งเป็นคนก่อขึ้นมา ทำให้เธอต้องอับอายขายหน้า

“พี่ให้ฉีโม่กลับจากบริษัทตอนนี้ ให้เขาไปตักเตือนหลินอิ่ง ดูว่าเขาจะกล้าไม่กลับมาไหม หลินอิ่งยังกล้าทำอะไรไปเลื่อยข้างนอกไหม? ตัดขาดเงินการเดินทางทั้งหมดของเขา ดูว่าไอ้ไร้น้ำยานี่มันจะเอาเงินที่ไหนไปเล่นผู้หญิง?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างไม่พอใจ กำลังจะไปเก็บมือถือ

เสียงดังกั๊ก ประตูคฤหาสน์ถูกเปิดออก

หญิงสาวหน้าตาสวยงาม บุคลิกไม่ธรรมดา สวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียว มือกอดอก เดินเข้าบ้าน ข้างกายเป็นบอดี้การ์ดหญิงสีหน้าเย็นชาสองคน

“ที่นี่เป็นบ้านของหลินอิ่งใช่ไหม?” หญิงสาวชุดเขียวถามอย่างยโส

“เธอเป็นใคร? ทำไมบุกเข้าบ้านคนอื่นแบบนี้? ยังทำประตูบ้านเราพังอีก?” ลู่หย่าฮุ่ยถามอย่างไม่พอใจ

“ฉันชื่อจ้าวหลินเอ๋อร์ เพื่อนของหลินอิ่ง เรียกหลินอิ่งออกมาพบฉัน” จ้าวหลินเอ๋อร์ถามเสียงเรียบ

“เพื่อนของหลินอิ่ง? เธอมาหาหลินอิ่ง?”

ได้ยินว่ามาหาหลินอิ่ง ลู่หย่าฮุ่ยสีหน้าเปลี่ยนทันที ใบหน้าเย็นชา สำรวจจ้าวหลินเอ๋อร์หัวจรดเท้า

“ข่าวลือข้างนอกเป็นความจริง ฉันพูดไม่ผิด หลินอิ่งไอ้ไร้น้ำยานี่รู้แก่เกาะผู้หญิงกิน ยังให้หญิงชู้มาหาถึงที่”

“เธอไม่ต้องมาหาแล้ว ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งตายแล้ว” ลู่หย่าฮุ่ยกัดฟันพูดอย่างไม่เกรงใจ

เท่าที่เธอดู จ้าวหลินเอ๋อร์อะไรนี่ต้องเป็นผู้หญิงที่หลินอิ่งมั่วสุมอยู่ข้างนอกแน่ บุกมาหาถึงบ้าน ยังมาเจอเข้ากับญาติตระกูลลู่อีก นี่ทำให้เธอไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหนแล้ว

เพี๊ยะ

จ้าวหลินเอ๋อร์เดินเข้าไป ตบเข้าที่หน้าของลู่หย่าฮุ่ยอย่างแรงจนล้มไปกับพื้น เจ็บจนร้องโหยหวน

“เธอลองพูดอีกครั้ง? หลินอิ่งเธอก็ด่าได้เหรอ?” จ้าวหลินเอ๋อร์หน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง ดั่งคนอยู่เหนือกว่า ต่อว่าเย็นชา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท