“ฉีโม่ ตอนนั้นทุกคนน่าจะเข้ากับเธอผิดนิดหน่อย เรื่องที่ให้พ่อเธอดื่มเหล้าครั้งก่อน ลุงใหญ่ขอโทษพวกเธอด้วย เป็นความผิดของลุงใหญ่เอง แต่ว่า ไม่ว่ายังไงก็ครอบครัวเดียวกัน คนบ้านเดียวกัน จะมีความแค้นข้ามคืนได้ยังไง?” จางหงจูนพูดสีหน้ายิ้มแย้ม มองไปที่จางซิ่วเฟิง “ซิ่งเฟิง เรื่องครั้งที่แล้ว นายก็อย่าถือสากันเลยนะ ไว้ค่ำๆพี่ใหญ่จะกินเหล้าเป็นเพื่อน เดี๋ยวดื่มขอโทษสามแก้วเลยนะ พี่น้องกันมีความแค้นข้ามคืนที่ไหน ใช่ไหม? หลายปีมานี้ พี่ใหญ่ก็ถือว่าดีกับครอบครัวพวกเธอไม่เบามั้ง?”
“ทุกวันนี้ ผู้ใหญ่อย่างพวกเรา ต่างก็อายุมากแล้ว จะเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลจางไม่ไหวแล้ว ฉีโม่ เธอยังอายุน้อย ลุงรู้สึกว่า หน้าตาของตระกูลจางต้องพึ่งเธอแล้ว” จางหงจูนพูดอย่างจริงจัง
จางซิ่วเฟิงสีหน้าดีใจและภาคภูมิใจ พอใจคำพูดของจางหงจูนมาก
“พี่ใหญ่ พี่พูดถูก ต่างก็เป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน ผมไม่ถือสาเรื่องพวกนี้หรอก” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉีโม่ ไว้หน้าพ่อหน่อยนะ เรื่องนี้ พ่อตัดสินใจแล้ว เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นบริษัทเครื่องประดับจางซื่อเลย” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ชื่อที่นายท่านเป็นคนตั้งไว้ จะทิ้งไปไม่ได้”
เท่าที่จางซิ่วเฟิงคิดได้ ชีวิตนี้ ทนมาจนถึงวันนี้ลูกสาวได้ดีแล้ว เริ่มมีหน้ามีตาในตระกูลจางแล้ว จะถูกชื่นชมสักครั้งไม่ได้เลยหรือ?
คุณตระกูลจางมากมายขนาดนี้ จะมาเคารพนับถือเขา
ชื่อบริษัทเก่าแก่ที่นายท่านสืบทอดลงมา จนได้มาถึงครอบครัว เขายังได้เป็นถึงตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลจางแห่งเมืองชิงหยูน?
นี่เป็นเรื่องน่าภูมิใจขนาดไหน?
ลูกสาวเจริญก้าวหน้า คนเป็นพ่อก็พลอยได้หน้าไปด้วย ไม่ใช่เรื่องปกติหรือ?
“คุณพ่อ พ่อ…….” จางฉีโม่ถอนหายใจ พูดอย่างจริงจัง “พ่อ เรื่องการเปลี่ยนชื่อบริษัทมันไม่ได้ง่ายอย่างที่พ่อคิด หนูไม่มีวันเปลี่ยนค่ะ”
“นี่……” จางซิ่วเฟิงสีหน้าลังเล อยากพูดอะไรอีก แต่ว่าอะไรลูกสาวก็ไม่เหมาะสม เพียงแค่รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
“ฉีโม่ ทำไมลูกถึงไม่ฟังคำพูดของพ่อ? นี่เป็นชื่อที่นายท่านสืบทอดลงมา บอกจะทิ้งก็ทิ้งได้ยังไง?” จางหงจูนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง
ลู่หย่าฮุ่ยขมวดคิ้ว มองไปทางจางฉีโม่ พยายามพูดเกลี้ยกล่อม ด้วยเสียงเบา “ฉีโม่ เรื่องนี้ยังไงก็ต้องฟังพ่อกับแม่ เกลือที่พวกเราเคยกิน เยอะกว่าข้าวที่ลูกเคยกินอีก ชื่อบริษัทจางซื่อนี้ ถ้าใช้ได้นั่นคือเรื่องที่ดี เพราะว่ามันเป็นตัวแทนของตระกูลจางแห่งเมืองชิงหยูน แค่เปลี่ยนชื่อไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร อย่างมากก็ให้คนตระกูลจางได้มีส่วนร่วมในความภาคภูมิใจหน่อย พวกเราก็ได้ชื่อเสียงที่ดีไม่ใช่เหรอ?”
จางฉีโม่หลับตา ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร
นี่มันไม่ใช่ปัญหาว่ามีส่วนร่วมในความภาคภูมิใจหรือไม่
เห็นได้ชัดว่า บริษัทเครื่องประดับจางซื่อใหม่ที่จางหงจูนกับจางหงซวนบริษัทมีปัญหา จนบริหารต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงคิดอยากหมุนเวียนทุนมาอยู่ภายใต้ชื่อบริษัทฉีซื่อ
พอตัวเองเปลี่ยนไปใช้ชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ แบบนี้ก็จะถูกผูกมัดรวมกัน จากพินัยกรรมคำสั่งเสียงของนายท่าน พวกจางหงจูนก็มีสิทธิ์แบ่งหุ้นส่วนของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ
ถึงตอนนั้นก็จะเป็นเรื่องผัวพันกันไม่จบไม่สิ้น ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ยอมปล่อยสิทธิ์การครอบครองหุ้น ชื่อเสียงก็จะถูกทำลาย
จางฉีโม่เคยเสียเปรียบมาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหลินอิ่งคอยช่วยเหลือ บริษัทเครื่องประดับที่เธอบริษัทต้องล้มละลายไปตั้งนานแล้ว เพราะจางหงจูนสองคนนี้คอยวางแผนชั่วร้ายคอยทำลาย
วันนี้ยังมาใช้แผนเดิมๆ คิดว่าคนอื่นจะโง่ขนาดนี้เหรอ?
ก็เหมือนดั่งว่า ไม่มีของฟรีในโลก อยากได้ก็ต้องปล้นต้องแย่ง
ว่าไปแล้ว บริษัทเครื่องประดับฉีซื่อประสบความสำเร็จจนทุกวันนี้ นั่นเป็นเพราะความพยายามของเธอ การออกแบบผลงานเครื่องประดับ บวกกับการสนับสนุนอยู่เบื้องหลังของหลินอิ่ง ช่วยขยายความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ทุ่มเงินลงทุนมหาศาล
คนตระกูลจางไม่เคยทำอะไรเลย มีสิทธิ์อะไรมาขอส่วนแบ่ง?
เพียงแค่ว่าทุกคนแซ่จางเหมือนกัน?
ถ้าอย่างนั้น ครอบครัวตัวเองเคยถูกจางหงซวนบีบจนเกือบจะล้มละลาย ตอนที่ถูกคนของตระกูลเหยียดหยาม พวกเขาทำอะไรอยู่?
จางฉีโม่รู้สึกผิดหวังกับคนตระกูลจางอย่างสิ้นเชิงแล้ว
“ฉีโม่ ถ้าเธอยังใส่ใจเรื่องในอดีต ลุงใหญ่ขอโทษก็ได้นะ” จางหงจูนพูดอย่างจริงจัง “คืนนี้ลุงจัดโต๊ะจีนเลี้ยงละกัน เพื่อเป็นการขอโทษครอบครัวเธอนะ”
“ฉีโม่ เมื่อก่อนลุงสามเคยทำเรื่องไม่ดีไว้เยอะ หวังว่าเธอจะไม่ใส่ใจนะ ครั้งนี้ พวกเราตั้งใจอย่างเต็มที่ที่จะบริษัทตระกูลจางให้ดีที่สุด” จางหงซวนพูดจาแบบเลียหน้าตัวเอง
พวกเขาสองคนมองครอบครัวจางฉีโม่ทั้งสามคนด้วยสีหน้าคาดหวัง หวังว่าจางซิ่วเฟิงผัวเมียจะใจอ่อนตอบตกลง
ต้องรู้ว่า ครั้งนี้ บริษัทเครื่องประดับจางซื่อใหม่ที่เขาสองคนบริหารอยู่จะรอดหรือตาย ก็ขึ้นอยู่กับว่าจางฉีโม่ยอมเปลี่ยนชื่อหรือไม่
ไม่อย่างนั้น บริษัทของตระกูลอันใหญ่โตของเขาสองคน ไม่นานก็จะหมดสิ้นทุกอย่าง จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในตลาดเครื่องประดับ ต้องล้มละลายหมดสิ้นทุกอย่าง
ถ้าไม่ได้เป็นเพราะต้องประสบวิกฤตอันใหญ่โตแบบนี้ เป็นไปได้ยังไงที่พวกเขาจะเข้ามาขอโทษด้วยความเต็มใจ? มาขอร้องครอบครัวจางฉีโม่?
การมาขอร้องครอบครัวจางฉีโม่ สำหรับเขาสองเขาแล้ว เป็นเรื่องน่าอับอายมาก
ไม่รู้ว่าจางฉีโม่ไปเหยียบขี้หมาที่ไหนมาถึงได้โชคดีขนาดนี้ หลังจากบริษัทเปลี่ยนชื่อแล้ว ไม่รู้ว่าใช่ปัญหาเรื่องฮวงจุ้ยจากการเปลี่ยนชื่อหรือเปล่า ถึงได้โชคดีขนาดนี้ มีคนส่งเสริม ถึงขั้นได้ไปเปิดบริษัทที่ตี้จิง สร้างชื่อเสียงโด่งดังขึ้นในตี้จิง จนได้ตำแหน่งหน่วยงานของสมาคมเครื่องประดับตี้จิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการเครื่องประดับประเทศหลุง
ส่วนบริษัทเครื่องประดับจางซื่อใหม่ที่พวกเขาบริหาร ก็โชคร้ายมาก
ก่อนหน้านี้ท่านกงซุนแห่งตระกูลกงซุนที่ทุ่มเงินลงทุนมากมาย กงซุนเฟยเจี้ยน ก็ออกจากเมืองชิงหยูนกะทันหัน ถอนทุนออกจากบริษัทก็แล้วไป
จากนั้น คริสของลาตินกรุ๊ปเมืองชิงหยูน ก็สร้างแรงกดดันให้บริษัทพวกเขา และยังถูกบริษัทอื่นในกิจการร่วมกันคว่ำบาตรต่อต้าน
ระยะเวลาสั้นๆเพียงหนึ่งเดือน บริษัทเครื่องประดับจางซื่อใหม่ก็ต้องตกตะวันลับฟ้าไป ไม่มีธุรกิจอะไรให้ทำ ต้องเผชิญกับการล้มละลาย
แม้กระทั่งกิจการภายในครอบครัวของพวกเขาสองคนเอง ก็ถูกชำระบัญชีไปไม่น้อย จนเกือบจะล้มละลายแล้ว
ถ้าไม่ถึงขั้นหมดหนทางจะเดิน พวกเขาสองคนคงไม่ต้องถึงกับดึงหน้าตัวเองลงมา วิ่งมาขอร้องจางฉีโม่?
คนของตระกูลจางทุกคนในนี้ ต่างจ้องหน้าจางฉีโม่ที่หลับตาพักผ่อน รอเธอตัดสินใจด้วยสายตารอคอย
จางฉีโม่ตอนนี้ เป็นถึงระดับคนมีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูน ผู้มีบารมี
ขอแค่จองฉีโม่ยอมเปลี่ยนชื่อบริษัท ถ้าเช่นนั้น จากชื่อเสียงผลกระทบของจางฉีโม่ คนตระกูลจางอย่างพวกเขาเหล่านี้ ก็ต้องได้ลาภไปด้วย
จางฉีโม่ลืมตาขึ้นช้าๆ พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “รู้แบบนี้แต่แรก จะทำทำไม?”
“ตอนนั้นหนูให้ข้อเสนอที่ดีขนาดนั้น ให้ทุกคนได้มีส่วนแบ่งในเงินปันผล อยากจะใช้ชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ ปรากฏว่า พวกท่านกลับเหยียบซ้ำ ไม่เหลือหนทางให้แม้แต่นิดเดียว” จางฉีโม่พูดอย่างหนักแน่น “ตอนนี้จะให้หนูเปลี่ยนกลับไปใช้ชื่อ เป็นไปไม่ได้”
คำพูดทั้งหมดนี้ เหมือนระเบิดดังอยู่ในใจของทุกคนในนี้ ดังจนสั่นสะเทือน จางหงจูนและจางหงซวนสีหน้าเปลี่ยนทันที ใบหน้าอันแก่เฒ่านั้นแดงก่ำ คนตระกูลจางที่อยู่ในนี้ก็สีหน้าไม่ดี
พวกเขาคิดไม่ถึง จางฉีโม่ที่อ่อนโยนเชื่อฟังง่าย ครั้งนี้จะปฏิเสธคนทั้งตระกูลจางอย่างแข็งแกร่งขนาดนี้