ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 402 รู้แบบนี้แต่แรก จะทำทำไม?

บทที่ 402 รู้แบบนี้แต่แรก จะทำทำไม?

“ฉีโม่ ตอนนั้นทุกคนน่าจะเข้ากับเธอผิดนิดหน่อย เรื่องที่ให้พ่อเธอดื่มเหล้าครั้งก่อน ลุงใหญ่ขอโทษพวกเธอด้วย เป็นความผิดของลุงใหญ่เอง แต่ว่า ไม่ว่ายังไงก็ครอบครัวเดียวกัน คนบ้านเดียวกัน จะมีความแค้นข้ามคืนได้ยังไง?” จางหงจูนพูดสีหน้ายิ้มแย้ม มองไปที่จางซิ่วเฟิง “ซิ่งเฟิง เรื่องครั้งที่แล้ว นายก็อย่าถือสากันเลยนะ ไว้ค่ำๆพี่ใหญ่จะกินเหล้าเป็นเพื่อน เดี๋ยวดื่มขอโทษสามแก้วเลยนะ พี่น้องกันมีความแค้นข้ามคืนที่ไหน ใช่ไหม? หลายปีมานี้ พี่ใหญ่ก็ถือว่าดีกับครอบครัวพวกเธอไม่เบามั้ง?”

“ทุกวันนี้ ผู้ใหญ่อย่างพวกเรา ต่างก็อายุมากแล้ว จะเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลจางไม่ไหวแล้ว ฉีโม่ เธอยังอายุน้อย ลุงรู้สึกว่า หน้าตาของตระกูลจางต้องพึ่งเธอแล้ว” จางหงจูนพูดอย่างจริงจัง

จางซิ่วเฟิงสีหน้าดีใจและภาคภูมิใจ พอใจคำพูดของจางหงจูนมาก

“พี่ใหญ่ พี่พูดถูก ต่างก็เป็นพี่น้องครอบครัวเดียวกัน ผมไม่ถือสาเรื่องพวกนี้หรอก” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฉีโม่ ไว้หน้าพ่อหน่อยนะ เรื่องนี้ พ่อตัดสินใจแล้ว เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นบริษัทเครื่องประดับจางซื่อเลย” จางซิ่วเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ชื่อที่นายท่านเป็นคนตั้งไว้ จะทิ้งไปไม่ได้”

เท่าที่จางซิ่วเฟิงคิดได้ ชีวิตนี้ ทนมาจนถึงวันนี้ลูกสาวได้ดีแล้ว เริ่มมีหน้ามีตาในตระกูลจางแล้ว จะถูกชื่นชมสักครั้งไม่ได้เลยหรือ?

คุณตระกูลจางมากมายขนาดนี้ จะมาเคารพนับถือเขา

ชื่อบริษัทเก่าแก่ที่นายท่านสืบทอดลงมา จนได้มาถึงครอบครัว เขายังได้เป็นถึงตำแหน่งเจ้าบ้านตระกูลจางแห่งเมืองชิงหยูน?

นี่เป็นเรื่องน่าภูมิใจขนาดไหน?

ลูกสาวเจริญก้าวหน้า คนเป็นพ่อก็พลอยได้หน้าไปด้วย ไม่ใช่เรื่องปกติหรือ?

“คุณพ่อ พ่อ…….” จางฉีโม่ถอนหายใจ พูดอย่างจริงจัง “พ่อ เรื่องการเปลี่ยนชื่อบริษัทมันไม่ได้ง่ายอย่างที่พ่อคิด หนูไม่มีวันเปลี่ยนค่ะ”

“นี่……” จางซิ่วเฟิงสีหน้าลังเล อยากพูดอะไรอีก แต่ว่าอะไรลูกสาวก็ไม่เหมาะสม เพียงแค่รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก

“ฉีโม่ ทำไมลูกถึงไม่ฟังคำพูดของพ่อ? นี่เป็นชื่อที่นายท่านสืบทอดลงมา บอกจะทิ้งก็ทิ้งได้ยังไง?” จางหงจูนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

ลู่หย่าฮุ่ยขมวดคิ้ว มองไปทางจางฉีโม่ พยายามพูดเกลี้ยกล่อม ด้วยเสียงเบา “ฉีโม่ เรื่องนี้ยังไงก็ต้องฟังพ่อกับแม่ เกลือที่พวกเราเคยกิน เยอะกว่าข้าวที่ลูกเคยกินอีก ชื่อบริษัทจางซื่อนี้ ถ้าใช้ได้นั่นคือเรื่องที่ดี เพราะว่ามันเป็นตัวแทนของตระกูลจางแห่งเมืองชิงหยูน แค่เปลี่ยนชื่อไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร อย่างมากก็ให้คนตระกูลจางได้มีส่วนร่วมในความภาคภูมิใจหน่อย พวกเราก็ได้ชื่อเสียงที่ดีไม่ใช่เหรอ?”

จางฉีโม่หลับตา ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร

นี่มันไม่ใช่ปัญหาว่ามีส่วนร่วมในความภาคภูมิใจหรือไม่

เห็นได้ชัดว่า บริษัทเครื่องประดับจางซื่อใหม่ที่จางหงจูนกับจางหงซวนบริษัทมีปัญหา จนบริหารต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงคิดอยากหมุนเวียนทุนมาอยู่ภายใต้ชื่อบริษัทฉีซื่อ

พอตัวเองเปลี่ยนไปใช้ชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ แบบนี้ก็จะถูกผูกมัดรวมกัน จากพินัยกรรมคำสั่งเสียงของนายท่าน พวกจางหงจูนก็มีสิทธิ์แบ่งหุ้นส่วนของบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ

ถึงตอนนั้นก็จะเป็นเรื่องผัวพันกันไม่จบไม่สิ้น ถึงแม้ว่าตัวเองจะไม่ยอมปล่อยสิทธิ์การครอบครองหุ้น ชื่อเสียงก็จะถูกทำลาย

จางฉีโม่เคยเสียเปรียบมาแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะหลินอิ่งคอยช่วยเหลือ บริษัทเครื่องประดับที่เธอบริษัทต้องล้มละลายไปตั้งนานแล้ว เพราะจางหงจูนสองคนนี้คอยวางแผนชั่วร้ายคอยทำลาย

วันนี้ยังมาใช้แผนเดิมๆ คิดว่าคนอื่นจะโง่ขนาดนี้เหรอ?

ก็เหมือนดั่งว่า ไม่มีของฟรีในโลก อยากได้ก็ต้องปล้นต้องแย่ง

ว่าไปแล้ว บริษัทเครื่องประดับฉีซื่อประสบความสำเร็จจนทุกวันนี้ นั่นเป็นเพราะความพยายามของเธอ การออกแบบผลงานเครื่องประดับ บวกกับการสนับสนุนอยู่เบื้องหลังของหลินอิ่ง ช่วยขยายความสัมพันธ์ทางธุรกิจ ทุ่มเงินลงทุนมหาศาล

คนตระกูลจางไม่เคยทำอะไรเลย มีสิทธิ์อะไรมาขอส่วนแบ่ง?

เพียงแค่ว่าทุกคนแซ่จางเหมือนกัน?

ถ้าอย่างนั้น ครอบครัวตัวเองเคยถูกจางหงซวนบีบจนเกือบจะล้มละลาย ตอนที่ถูกคนของตระกูลเหยียดหยาม พวกเขาทำอะไรอยู่?

จางฉีโม่รู้สึกผิดหวังกับคนตระกูลจางอย่างสิ้นเชิงแล้ว

“ฉีโม่ ถ้าเธอยังใส่ใจเรื่องในอดีต ลุงใหญ่ขอโทษก็ได้นะ” จางหงจูนพูดอย่างจริงจัง “คืนนี้ลุงจัดโต๊ะจีนเลี้ยงละกัน เพื่อเป็นการขอโทษครอบครัวเธอนะ”

“ฉีโม่ เมื่อก่อนลุงสามเคยทำเรื่องไม่ดีไว้เยอะ หวังว่าเธอจะไม่ใส่ใจนะ ครั้งนี้ พวกเราตั้งใจอย่างเต็มที่ที่จะบริษัทตระกูลจางให้ดีที่สุด” จางหงซวนพูดจาแบบเลียหน้าตัวเอง

พวกเขาสองคนมองครอบครัวจางฉีโม่ทั้งสามคนด้วยสีหน้าคาดหวัง หวังว่าจางซิ่วเฟิงผัวเมียจะใจอ่อนตอบตกลง

ต้องรู้ว่า ครั้งนี้ บริษัทเครื่องประดับจางซื่อใหม่ที่เขาสองคนบริหารอยู่จะรอดหรือตาย ก็ขึ้นอยู่กับว่าจางฉีโม่ยอมเปลี่ยนชื่อหรือไม่

ไม่อย่างนั้น บริษัทของตระกูลอันใหญ่โตของเขาสองคน ไม่นานก็จะหมดสิ้นทุกอย่าง จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงในตลาดเครื่องประดับ ต้องล้มละลายหมดสิ้นทุกอย่าง

ถ้าไม่ได้เป็นเพราะต้องประสบวิกฤตอันใหญ่โตแบบนี้ เป็นไปได้ยังไงที่พวกเขาจะเข้ามาขอโทษด้วยความเต็มใจ? มาขอร้องครอบครัวจางฉีโม่?

การมาขอร้องครอบครัวจางฉีโม่ สำหรับเขาสองเขาแล้ว เป็นเรื่องน่าอับอายมาก

ไม่รู้ว่าจางฉีโม่ไปเหยียบขี้หมาที่ไหนมาถึงได้โชคดีขนาดนี้ หลังจากบริษัทเปลี่ยนชื่อแล้ว ไม่รู้ว่าใช่ปัญหาเรื่องฮวงจุ้ยจากการเปลี่ยนชื่อหรือเปล่า ถึงได้โชคดีขนาดนี้ มีคนส่งเสริม ถึงขั้นได้ไปเปิดบริษัทที่ตี้จิง สร้างชื่อเสียงโด่งดังขึ้นในตี้จิง จนได้ตำแหน่งหน่วยงานของสมาคมเครื่องประดับตี้จิงที่มีชื่อเสียงที่สุดในวงการเครื่องประดับประเทศหลุง

ส่วนบริษัทเครื่องประดับจางซื่อใหม่ที่พวกเขาบริหาร ก็โชคร้ายมาก

ก่อนหน้านี้ท่านกงซุนแห่งตระกูลกงซุนที่ทุ่มเงินลงทุนมากมาย กงซุนเฟยเจี้ยน ก็ออกจากเมืองชิงหยูนกะทันหัน ถอนทุนออกจากบริษัทก็แล้วไป

จากนั้น คริสของลาตินกรุ๊ปเมืองชิงหยูน ก็สร้างแรงกดดันให้บริษัทพวกเขา และยังถูกบริษัทอื่นในกิจการร่วมกันคว่ำบาตรต่อต้าน

ระยะเวลาสั้นๆเพียงหนึ่งเดือน บริษัทเครื่องประดับจางซื่อใหม่ก็ต้องตกตะวันลับฟ้าไป ไม่มีธุรกิจอะไรให้ทำ ต้องเผชิญกับการล้มละลาย

แม้กระทั่งกิจการภายในครอบครัวของพวกเขาสองคนเอง ก็ถูกชำระบัญชีไปไม่น้อย จนเกือบจะล้มละลายแล้ว

ถ้าไม่ถึงขั้นหมดหนทางจะเดิน พวกเขาสองคนคงไม่ต้องถึงกับดึงหน้าตัวเองลงมา วิ่งมาขอร้องจางฉีโม่?

คนของตระกูลจางทุกคนในนี้ ต่างจ้องหน้าจางฉีโม่ที่หลับตาพักผ่อน รอเธอตัดสินใจด้วยสายตารอคอย

จางฉีโม่ตอนนี้ เป็นถึงระดับคนมีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูน ผู้มีบารมี

ขอแค่จองฉีโม่ยอมเปลี่ยนชื่อบริษัท ถ้าเช่นนั้น จากชื่อเสียงผลกระทบของจางฉีโม่ คนตระกูลจางอย่างพวกเขาเหล่านี้ ก็ต้องได้ลาภไปด้วย

จางฉีโม่ลืมตาขึ้นช้าๆ พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “รู้แบบนี้แต่แรก จะทำทำไม?”

“ตอนนั้นหนูให้ข้อเสนอที่ดีขนาดนั้น ให้ทุกคนได้มีส่วนแบ่งในเงินปันผล อยากจะใช้ชื่อบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ ปรากฏว่า พวกท่านกลับเหยียบซ้ำ ไม่เหลือหนทางให้แม้แต่นิดเดียว” จางฉีโม่พูดอย่างหนักแน่น “ตอนนี้จะให้หนูเปลี่ยนกลับไปใช้ชื่อ เป็นไปไม่ได้”

คำพูดทั้งหมดนี้ เหมือนระเบิดดังอยู่ในใจของทุกคนในนี้ ดังจนสั่นสะเทือน จางหงจูนและจางหงซวนสีหน้าเปลี่ยนทันที ใบหน้าอันแก่เฒ่านั้นแดงก่ำ คนตระกูลจางที่อยู่ในนี้ก็สีหน้าไม่ดี

พวกเขาคิดไม่ถึง จางฉีโม่ที่อ่อนโยนเชื่อฟังง่าย ครั้งนี้จะปฏิเสธคนทั้งตระกูลจางอย่างแข็งแกร่งขนาดนี้

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท