ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 391 แพ้แล้วไม่ยอมรับ?

บทที่ 391 แพ้แล้วไม่ยอมรับ?

“นี่ นี่ นี่มัน…….”

เซียวจวงเสียงสั่น เหงื่อท่วมหัวนั่งอยู่บนรถเข็น สายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว จ้องหน้าหลินอิ่งตาไม่กะพริบ

คิดถึงตอนที่ถูกหลินอิ่งทำลายขาของเขา ความรู้สึกเหมือนกับใจสั่นอย่างควบคุมไม่ได้

ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งมันทำได้ยังไง? ทำให้หูโหม่งกับยอดฝีมือเยอะขนาดนี้ล้มไปได้อย่างง่ายดาย?

“ทำไม……ถึงได้เก่งกาจขนาดนี้?” โม่เก๋อติงมองหลินอิ่ง สูดลมหายใจเข้าอย่างแรง ในใจรู้สึกหวาดกลัว

น่ากลัวจริงๆ ทำเหมือนกับจัดการมดตัวเล็กๆ จัดการยอดฝีมือที่เก่งกาจบนเวทีทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย

ตั้งแต่หลินอิ่งขึ้นไปบนเวที จนถึงฆ่าทุกคนบนเวที น่าจะไม่เกินห้านาที?

พวกเขามองไม่ชัดด้วยซ้ำว่าหลินอิ่งใช้วิธีอะไรจัดการคนทั้งหมดบนเวที

ไม่มีข้อสงสัย คนของตัวเองไม่มีแม้แต่แรงต่อต้าน โค่นล้มได้อย่างง่ายดาย ฆ่าล้างจนหมดสิ้นอย่างง่ายดาย

ทุกคนงานสนามเงียบไปยี่สิบวินาที บนหน้าของทุกคนต่างเต็มไปด้วยสีหน้าแห่งความหวาดกลัว จากนั้นก็เป็นเสียงตะโกนโฮ่ร้องกันอย่างเสียงดัง

“ฉันคงไม่ได้ฝันไปหรอกนะ? บนโลกนี้มีคนเก่งกาจขนาดเลยเหรอ?”

“แม้แต่ในหนังยังไม่ได้แสดงขนาดนี้? ยอดฝีมือมากมายขนาดนี้ไม่ได้เตะต้องตัวเขาแม้แต่น้อย ก็ล้มกันไปหมดแล้ว? นี่มันโหดเหี้ยมมากกว่าผู้ล้างโลกอีก”

“นี่ถึงจะเป็นยอดฝีมือตัวจริง ถ้ามีโอกาส ฉันอยากไหว้เขาอาจารย์ ฝึกวิชาที่แท้จริง……”

ชายหญิงทั้งหมดที่นั่งในนี้ต่างพูดคุยโต้แย้งกันขึ้นมา มองหลินอิ่งไปด้วยสายตาหวาดกลัว ในสายตาของพวกเขาตอนนี้ หลินอิ่งก็เป็นเหมือนคนในตำนาน

สีหน้าหลินอิ่งเรียบเฉย มือข้างหนึ่งไขว้หลัง เดินเข้าไปหาโม่เก๋อติงกับเซียวจวงอย่างช้าๆ

โม๋เก๋อติงและเซียวจวงมองหลินอิ่งด้วยสีหน้าไม่ดี เหงื่อท่วมหน้าผาก ถอยหลังไปอย่างหวาดกลัว

“นี่คือ? สถานการณ์ตอนนี้ เซียวจวงกับประธานโม่แพ้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทำตามเดิมพัน? เขา กล้าไปเอาชีวิตของคุณชายเซียวกับประธานโม่เหรอ?”

“นี่มันเป็นเกมเดิมพันชีวิต คุณชายเซียวกับประธานโม่จะชดใช้ชีวิตไหม?”

“นี่ นี่มันก็พูดยาก พวกเขาไม่ชดใช้ชีวิต ถ้าหลินอิ่งเข้าไปเอาด้วยตัวเอง?”

หลินอิ่งเข้าไปเอาชีวิต?

คำพูดนี้ ทำให้ทุกคนในสนามต่างรู้สึกหวาดกลัว ต่างก็คิดถึงภาพเหตุการณ์ที่หลินอิ่งฆ่าคนเมื่อครู่ ในใจยังรู้สึกหวาดกลัว

ซาตานอย่างหลินอิ่ง เหมือนดั่งยมทูต มาล่าชีวิตคน นั่นมันเป็นเรื่องน่ากลัวแค่ไหน?

บรรยากาศเคร่งเครียดไปทันที

ทุกคนที่นั่งต่างปิดปากเงียบ ไม่กล้าออกเสียงแม้แต่น้อย

พวกเขาไม่กล้าแม้แต่จะคิด หลินอิ่งจะจัดการกับคนมีอำนาจใหญ่โตแห่งเมืองก่างสองคนนี้เซียวจวงและโม่เก๋อติงยังไง?

“หลินอิ่ง แก แกอย่าเข้ามานะ แกอยากทำอะไร?” เซียวจวงถามอย่างหวาดกลัว แกล้งทำเป็นใจเย็นมีสติไม่ได้อีกแล้ว รถเข็นที่นั่งอยู่ก็สั่นอย่างรุนแรง

“หลินอิ่ง แกอย่าทำเกินไปนะ” โม่เก๋อติงสีหน้าตกใจถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ให้บอดี้การ์ดขวางอยู่ข้างหน้า “เรื่องการเดิมพันชีวิต นับไม่ได้ ฉัน ฉันสามารถชดใช้ของอย่างอื่นให้แก…….”

“นับไม่ได้?” หลินอิ่งมุมปากยิ้มขึ้น “พวกคุณแพ้แล้ว จะไม่ยอมรับเหรอ?”

“ไม่ยอมรับ? ฉันไม่ยอมรับ แกจะทำอะไรได้? อย่าลืมนะ ที่นี่เป็นถิ่นของฉัน” โม่เก๋อติงพูดเสียงเย็นชา สายตายังมีแววอาฆาต

ถึงแม้จะถูกฝีมืออันโหดเหี้ยมของหลินอิ่งทำให้ตกใจ แต่ว่า จะให้เขาส่งชีวิตตัวเองออกไป นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

“เร็ว เข้าไปขวางมันไว้”

“พวกแกเข้าไปพร้อมกัน ขวางมันไว้”

โม่เก๋อติงกับเซียวจวงรีบตะโกน สั่งบอดี้การ์ดข้างกายให้เข้าไปขวางหลินอิ่ง

หลินอิ่งมุมปากยังคงยิ้ม แล้วก็เดินเข้าไปทีละก้าว บอดี้การ์ดของโม่เก๋อติงกับเซียวจวงสีหน้าหวาดกลัว ต่างก็หลีกทาง ไม่มีใครกล้าเข้าไปขวางทาง ต่างก็ถูกฝีมืออันร้ายกาจของหลินอิ่งทำให้ตกใจและหวาดกลัว

คนโหดที่เปรียบเสมือนผู้ล้างโลก ใครจะไปกล้าขวาง?

“ไม่ ประธานโม่ คุณต้องรีบคิดหาวิธี ที่นี่เป็นถิ่นของคุณ จะให้มันทำตามใจชอบได้ยังไง?” เซียวจวงเลื่อนรถเข็นด้วยความหวาดกลัว ถามโม่เก๋อติงที่อยู่ข้างๆ

โม่เก๋อติงสีหน้าก็แย่จนถึงสุดขีด พูดอย่างเย็นชา “ไม่เป็นไร อย่างมากก็ล้มโต๊ะเท่านั้น มันจะเก่งแค่ไหน ฉันไม่เชื่อว่ามันจะขวางทางพวกเราหนีออกไปได้”

“หนีก่อน หนีออกไปแล้วค่อยว่ากัน”

โม่เก๋อติงโบกมือ จากนั้นก็รีบวิ่งไปทางออกฉุกเฉิน ส่วนเซียวจวงก็กลิ้งลงจากรถเข็น ถูกบอดี้การ์ดสองคนพยุงวิ่งหนี

“รีบยิงมัน เอามันให้ตาย”

ก่อนออกไป โม่เก๋อติงยังออกคำสั่งฆ่าด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม

เหลือบอดี้การ์ดต่างชาติยี่สิบกว่าคน ดึงปืนDesert Eagleออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

ชิ๊ว

ขณะที่บอดี้การ์ดกำลังหยิบปืนออกมา ร่างของหลินอิ่งก็พุ่งออกไปดั่งสายลม

คักคักคัก

บอดี้การ์ดแต่ละคนยังไม่ทันได้ยิงปืน หลินอิ่งมือข้างละคน หักข้อมือของพวกเขาทันที ยึดปืนทันที

เสียงฮวั๊ก ปืนตกพื้นทันที บอดี้การ์ดต่างร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดแล้วล้มลงกับพื้น จับแขนตัวเองร้องโหยหวน

จากไหวพริบและความแข็งแกร่งของร่างกายพวกเขาแล้ว ถือปืนที่ตัวหลินอิ่ง ก็เหมือนส่งอาหารให้เท่านั้น

อาวุธปืนต่อหน้าหลินอิ่งแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับเศษทองแดงและเหล็กเน่าเสีย

จัดการมือปืนที่เข้ามาขวางแล้ว ลูกน้องที่เหลือของโม่เก๋อติงและเซียวจวง ต่างก็พากันถอยห่างด้วยสีหน้าหวาดกลัว แม้แต่หยิบปืนออกมายังไม่กล้า

“แม่งเอ้ย ประธานโม่ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ กลับหยิบปืนออกมาแล้ว รีบไปกันเถอะ”

“เกิดเรื่องใหญ่แล้ว หนีเข้าไปทางออกฉุกเฉินก่อนค่อยว่ากัน”

คราวนี้ แขกในห้องต่างก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหัน ต่างพากันยิ่งหนีไปทุกทิศทุกทาง วิ่งเข้าไปในทางออกฉุกเฉิน

“ดี คนถึงแล้ว ยิงกราดเลย ยิงไม่ยั้ง ต้องทำให้หลินอิ่งมันตายในชั้นนี้” โม่เก๋อติงตะโกนเสียงดังดั่งสัตว์ดุร้าย มองหลินอิ่งสายตาอาฆาตโหดเหี้ยม

ฮวั๊ก คนต่างชาติในทุกทหารพร้อมอาวุธปืนพุ่มออกมาจากทุกทิศทุกทาง ทุกคนต่างใส่ชุดเกราะ แบกปืนไรเฟิลกันทุกคน

ซือซือซือ

เวลาเดียวกัน ระเบิดควันทางยุทธวิธีถูกโยนขึ้นมาจากอุโมงค์ ทันใดนั้นควันโขมงแสบจมูกไปทั่วห้อง เพียงแค่พริบตาก็ปกคลุมไปทั่วห้อง

ระเบิดควันชนิดนี้เป็นเกสน้ำตาและสามารถทำให้หายใจไม่ออก ระเบิดควันทำให้กระทบต่อการเคลื่อนไหว หากสูบเข้าไปแล้ว ยังทำให้ร่างเกิดอาการประสาทชาจนเป็นลมไปได้

หลินอิ่งอยู่ท่ามกลางหมอกควัน ตั้งสติกลั้นหายใจ การมองเห็นถูกบดบังไปหมดแล้ว ก็พึ่งการได้ยิน

ปัง ปัง ปัง ปัง

เวลานี้ ทางออกทุกทิศ เป็นทหารรับจ้างต่างชาติแต่ละนาย กราดยิงด้วยสีหน้าเย็นชา กระสุนในมือดังปังปังปัง จู่โจมอย่างกระชั้นชิด ยิงเข้าไปท่ามกลางหมอกควัน

กระบอกปืนพ่นกระสุนไม่หยุด ปลอกกระสุนก็ร่วงลงพื้น ดังเปรี๊ยงปรั้ง ห้องอันกว้างใหญ่นี้ โต๊ะคริสตัลและหน้าต่างกระจกถูกยิงจนแตกกระจาย สถานการณ์น่ากลัวมาก

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท