ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 411 ขอเตือนคุณว่าอย่าพาไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งไว้ข้างกาย

บทที่ 411 ขอเตือนคุณว่าอย่าพาไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งไว้ข้างกาย

“แกพูดอะไรนะ?”

หยินต้าชิวโมโหขึ้นมา จ้องหลินอิ่งด้วยความเย็นชา

“แกพูดอีกครั้งซิ?”

คำพูดของหลินอิ่ง ไม่มีคนอื่นในสายตาแม้แต่น้อย

สงสัยในนิสัยของเขาได้ แต่อย่าสงสัยในรสนิยมของเขา?

นี่ก็หมายความว่า เขาไม่มีวันชอบลูกสาวของตัวเองแม้แต่น้อย?

หลินอิ่งไม่ได้อธิบาย

ฮาเดสที่ยืนอยู่ข้างหลินอิ่ง หัวเราะเย็นชา พูดว่า “ไอ้อ้วนหน้าโง่ จะให้ประธานหลินพูดชัดเจนกว่านี้เหรอ?”

“หน้าตาอย่างลูกสาวนายนั่นเหรอ ถึงแม้ถอดเสื้อผ้าส่งมาถึงหน้าประตู ประธานหลินก็ไม่แม้แต่จะมอง”

ฮาเดสพูดอย่างไม่เกรงใจ ผู้หญิงที่ชื่อหยินปิงเหรอ? กล้าไร้ยางอายมาใส่ร้ายประธานหลิน ยังด่าประธานหลินว่าไม่ได้เจอผู้หญิงมาครึ่งปีแล้ว?

เขาติดตามประธานหลินเท่าที่เคยเห็น ผู้หญิงที่เข้ามาหาประธานหลินเอง แค่เลือกคนใดคนหนึ่งออกมา ไม่ว่าหน้าตา บุคลิก ไม่รู้ว่าเหนือกว่าหยินปิงตั้งกี่เท่า

“แกนี่รนหาที่ตายใช่ไหม กล้าดูถูกพี่สาวฉันขนาดนี้” หยินจุนเหวี่ยงหมัด ท่าทางโมโห จ้องหน้าหลินอิ่งและฮาเดส

“แก แก” หยินปิงหน้าแดงเพราะคำพูดของฮาเดส กัดฟันด้วยความโกรธ

“พ่อ บอดี้การ์ดของไอ้แซ่หลินมันดูถูกหนู” หยินปิงพูดด้วยท่าทางน่าสงสาร

“กล้ามากนะแก วันนี้ถึงไอ้น้องฉู่ก็ช่วยพวกแกไม่ได้แล้ว จัดการมันเดี๋ยวนี้” หยินต้าชิวตะโกนอย่างโมโห

พูดไป บอดี้การ์ดข้างหลังหยินต้าชิวเดินออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา เดินเข้าไปหาหลินอิ่ง

“หลินอิ่ง แกกล้าดูถูกลูกสาวฉันเหรอ?” หยินต้าชิวพูดด้วยสายตาเย็นชา “วันนี้ ฉันต้องตัดมือแกแน่นอน”

“หักมือมันเดี๋ยวนี้”

คำสั่งออกไป บอดี้การ์ดชุดสูทหลายคนพุ่งเข้าไปจับคน

หลินอิ่งไม่สะทกสะท้าน เขย่าแก้วไวน์ในมือ ยกแก้วดื่มไปคำหนึ่ง

ฮาเดสเดินขึ้นมาจากข้างหลัง หมุนคอไปมา ยิ้มออกมาอย่างเย็นชา

จัดการกับคนแบบนี้ จะให้หลินอิ่งลงมือเองไม่ได้

“ไม่ได้ ลุงหยิน ลุงจะทำอะไรคุณหลินไม่ได้”

ฉู่ฉู่รีบมาขวางไว้ข้างหน้าหลินอิ่ง ยื่นมือไปขวางบอดี้การ์ดที่จะเข้ามาทำร้ายหลินอิ่ง

“ลุงหยิน คุณหลินเป็นแขกของครอบครัวหนู ทางที่ดีลุงควรไว้หน้าพ่อหนูหน่อยนะคะ” ฉู่ฉู่พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

หยินจุนเห็นฉู่ฉู่ขวางไว้ข้างหน้าหลินอิ่ง มองด้วยสายตาที่อิจฉา พูดว่า “พ่อ ต้องลงมือจับไอ้หลินอิ่งไว้ มันดูถูกพี่ขนาดนี้ พวกเราจะปล่อยมันไปไม่ได้ ทางด้านลุงฉู่เรามีเหตุผลอยู่แล้ว รอหักมือไอ้หลินอิ่งก่อน ผมเชื่อว่าลุงฉู่ก็เป็นคนมีเหตุมีผล ต้องเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงว่าไอ้หลินอิ่งมันเป็นนักต้มตุ๋นแน่นอน”

คราวนี้พ่อของเขาหยินต้าชิวโมโหแล้ว ถึงแม้ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งจะมีฉู่สงซานคอยคุ้มหัวไว้ ก็ไม่มีวันปล่อยไปง่ายๆแน่

หักมือข้างหนึ่งของมันก่อน ฉู่สงซานแตกแยกกับตระกูลหยินเพราะคนแบบนี้เหรอ?

“ฉู่ฉู่ เธอหลีกไปก่อน เรื่องนี้เธอไม่ต้องยุ่ง ไอ้แซ่หลินนี่มันรนหาที่ตายเอง”

หยินจุนเดินเข้าไป จะเข้าไปดึงมือของฉู่ฉู่ ฉวยโอกาสลวนลาม

เพี๊ยะ

ฮาเดสตบเข้าที่หน้าของหยินจุน ตบจนหยินจุนตีลังการ้อยแปดสิบองศา กระเด็นไปไกลสิบกว่าเมตร ล้มลงกับพื้นอย่างแรง

“เอื้อก”

หยินจุนกระอักเลือด ถูกตบทีเดียวจนหน้าทั้งเขียวทั้งบวม เลือดกำเดาไหลไม่หยุด เจ็บจนกลิ้งอยู่บนพื้น ท่าทางตลก

“แก แกกล้าให้บอดี้การ์ดแกตบฉัน?”

หยินจุนจ้องไปด้วยความโมโห หลินอิ่งนั่งลงไปที่เก้าอี้ กำลังเขย่าแก้วไวน์ มองหน้าเขายิ้มเล็กน้อย

“ตัวอะไร? ยังอยากฉวยโอกาสลวนลาม? ตัวเองเป็นคนลามกสกปรก ยังจะใส่ร้ายประธานหลินอีก?” ฮาเดสพูดอย่างเย็นชา

“สำหรับไอ้ขยะอย่างแก ตบหน้าแกยังทำให้มือประธานหลินเปื้อน”

“เจ็บจะตายแล้ว พ่อ ไอ้แซ่หลินมันอวดดีเกินไปแล้ว”

หยินจุนจับแก้มที่แสบร้อนแล้วตะโกนพูดด้วยความโมโห

“ล้อมพวกมันไว้ วันนี้เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแล้ว”

หยินต้าชิวสีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห โบกมือออกคำสั่ง

ทันใดนั้น กลุ่มบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างกาย ก็ขยับตัวปฏิบัติการทันที บอดี้การ์ดยี่สิบกว่าคนเข้ามาล้อมพวกเขาไว้

บอดี้การ์ดทุกคน ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย ท่าทางดุเดือดพร้อมสู้รบ

ในเสื้อพวกเขามีของอะไรกันแน่ ใช้นิ้วมือคิดก็รู้ว่านั่นคืออะไร

“หลินอิ่ง ก่อนที่ฉันตัดสินใจสั่งฆ่า แกรีบคุกเข่าต่อหน้าลูกสาวและลูกชายฉันเดี๋ยวนี้ ขอโทษอย่างจริงใจ เห็นแก่หน้าฉู่สงซาน ฉันยังสามารถไว้ชีวิตแกได้ ไม่อย่างนั้น แกตายแน่”

หยินต้าชิวท่าทางมีบารมีล้นฟ้า ชี้หน้าพูดกับหลินอิ่ง

“โอ้แม่เจ้า นั่นมันสถานการณ์อะไร? ใครทำให้หัวหน้าสมาคมหยินโมโห?”

“กล้าหาเรื่องหัวหน้าสมาคมหยิน? มีใครไม่รู้ว่าหัวหน้าสมาคมหยินนั้นเป็นถึงหัวหน้าใหญ่ทั้งสองวงการ? นั่นเด็กหนุ่มแซ่หลินนั่นเป็นใคร? บ้าไปแล้วเหรอ?”

“ไม่รู้เหมือนกัน ดุเดือดเกินไปไหม? ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ดูเหมือนยังลงมือทำร้ายลูกชายหัวหน้าสมาคมหยินด้วย? หรือจะเป็นคุณชายตระกูลใหญ่ที่ไหนมาเมืองก่าง?”

คราวนี้ จากเสียงตะโกนอย่างโมโหของหยินต้าชิว ก็เกิดความโกลาหลขึ้นภายในงาน

เหล่าไฮโซที่สวมชุดราตรีชุดสูททั้งหลาย ต่างก็เดิมมุงดูเหตุการณ์ มองหลินอิ่งด้วยแววตาสงสัย

เท่าที่พวกเขาดูแล้ว นี่ก็เป็นเหมือนข่าวใหญ่

ชายหนุ่มแปลกหน้าในแวดวงไฮโซคนหนึ่ง กล้าท้าทายนักธุรกิจใหญ่แห่งเมืองก่างอย่างหยินต้าชิว?

“ที่นี่ เกิดเรื่องอะไรขึ้น? หัวหน้าสมาคมหยิน? นี่คุณอยากทำอะไร?”

เวลานี้ มีเสียงคนหนึ่งที่พูดด้วยอาการตกใจดังมา

ฉู่สงซานพาบอดี้การ์ดสองคน เดินลงมาจากชั้นบนอย่างรวดเร็ว รีบวิ่งเข้าไปในตำแหน่งที่หลินอิ่งนั่งอยู่

ในงานเลี้ยงเกิดเหตุการณ์โกลาหลขึ้น จนรบกวนถึงฉู่สงซาน ก็เลยรีบลงมาตรวจดู

ฉู่สงซานมองไป ก็เห็นหยินต้าชิวให้คนล้อมหลินอิ่งไว้?

หน้าผากเข้าเหงื่อไหลออกมาไม่หยุด

ไอ้บ้านี่ แม้แต่คุณชายอิ่งแห่งตี้จิงยังกล้าล้อม?

หยินต้าชิวไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ

ตำนานแห่งตี้จิงอย่างคุณชายอิ่ง มองไปทั่วเมืองก่างจะมีกี่คนที่กล้าไปหาเรื่อง?

“น้องฉู่ มาก็ดีเลย ไอ้หลินอิ่งอะไรนี่ เป็นแขกที่นายเชิญมาใช่ไหม?” หยินต้าชิวพูดอย่างจริงจัง “นายมาอธิบายให้ฉันฟังหน่อย ไอ้หลินอิ่งนี่ ทำอะไรทำใจชอบในงาน กล้ารังแกลูกสาวฉัน ฉันถามมันว่าเพราะอะไร กลับพูดจาดูถูกลูกสาวฉันอีก ยังให้บอดี้การ์ดตบหน้าลูกชายฉัน”

“น้องฉู่ ไม่ใช่ว่าฉันอยากยุ่งหรอกนะ คนไร้น้ำยาอย่างหลินอิ่ง ฉันขอเดือนนายว่าอย่าเอาไว้ข้างกาย” หยินต้าชิวพูดเคร่งขรึม

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท