ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 398 การแย่งชิงของผู้หญิงสองคน

บทที่ 398 การแย่งชิงของผู้หญิงสองคน

“เธอไอ้ผู้หญิงบ้า กล้าตบฉันได้ยังไง?” ลู่หย่าฮุ่ยถามอย่างโมโห สีหน้าไม่พอใจ

“เธอทำอะไร? วิ่งมาบ้านพวกเรายังกล้าทำร้ายคน?” จางซิ่วเฟิงเห็นภรรยาถูกตบ เขาก็ลุกขึ้นด้วยความโมโห ถามเสียงเย็นชา

จ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าดูถูก หัวเราะเย็นชา

“ตบเธอแล้วไง? กล้าด่าหลินอิ่ง ฉันก็จะตบ” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดเสียงเย็นชา “พวกเธอสองคน ก็คือพ่อแม่ของผู้หญิงสำส่อนจางฉีโม่เหรอ? มารยาทต่ำทราม”

“แก แก ยังกล้ามาอวดดีขนาดนี้? ซิ้วเฟิง รีบไปเรียกพนักงานรักษาความปลอดภัยของวิลล่าหิมะมังกรมา ไร้ผู้หญิงบ้าคนนี้ออกไป ต้องจับมันไว้ อธิบายให้ชัดเจน” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างไม่เกรงใจ

“ฉันจะบอกเธอให้ ลูกสาวฉันเป็นประธานบริษัทเครื่องประดับฉีซื่อ ไม่ใช่คนที่เธอจะมีเรื่องด้วยได้”

ต้องรู้ว่า ลูกสาวเริ่มมีชื่อเสียงบ้างในแวดวงสังคมธุรกิจตงไห่ ทุกวันนี้พวกเขาสองคนไปไหน ก็มีหน้ามีตา จะไปให้ใครทำร้ายแบบนี้ไม่ได้?

“ประธาน? เหอะเหอะ แค่เถ้าแก่บริษัทเล็กๆในบ้านนอกแบบนี้ ชื่อเสียงแบบนี้ก็กล้าเอาออกมาพูด?” จ้าวหลินเอ๋อร์หัวเราะ

จางซิ่วเฟิงสีหน้าโมโห หยิบมือถือจะออกไปหาพนักงานรักษาความปลอดภัยของวิลล่าหิมะมังกร ยังไม่ได้เดินออกไป ก็ถูกบอดี้การ์ดสองคนของจ้าวหลินเอ๋อร์ขวางไว้ ผลักกลับเข้าไป

“เธอต้องการอะไรกันแน่?” จางซิ่วเฟิงจ้องหน้าจ้าวหลินเอ๋อร์ ถามอย่างโมโห

“หลินอิ่งอยู่ไหน? ฉันหาเขา” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดเสียงเรียบ

“หาหลินอิ่ง?” จางซิ่วเฟิงยิ่งฟังยิ่งโมโห “หลินอิ่งไม่อยู่เมืองชิงหยูน เธอจะหาเขา เกี่ยวอะไรกับพวกเรา?”

“เธอหาหลินอิ่งทำไม? เธอเป็นอะไรกับเขา?” ลู่หย่าฮุ่ยถาม

“หลินอิ่งเป็นผู้ชายของฉัน” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างมั่นใจ

“อะไร? หลินอิ่งเป็นผู้ชายของเธอ? เธอ ช่างอวดดีจริงๆ ไอ้หลินอิ่งนี่ ช่างไม่เอาไหนใหญ่แล้ว” จางซิ่วเฟิงโมโหจนหน้าแดง

“โถ่เอ้ย ไอ้ไร้น้ำยาหลินอิ่งจะหานางแพศยาข้างนอก กลับกล้ามาหาเรื่องถึงบ้าน โอ้โห นี่จะทำยังไงกันดี” ลู่หย่าฮุ่ยด่าอย่างโมโห ร้องโหยหวนอยู่ที่พื้น “สมควรตายจริงๆหลินอิ่ง ไม่มีขื่อมีแปแล้ว”

“รีบเรียกฉีโม่กลับบ้าน บอกว่ามีนางแพศยาอยู่ที่บ้าน บอกว่ามาหาหลินอิ่ง” ลู่หย่าฮุ่ยรีบพูด สีหน้าโมโห

“ยังกล้าด่าอีก?” จ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าเย็นชา “ตบหน้ามัน”

พูดไป บอดี้การ์ดหญิงสองคนก็ลงมือทันที

ทันใดนั้น ชายสูงอายุชุดสูทท่านหนึ่งเดินออกมา ขวางทางบอดี้การ์ดสาวไว้

“คุณหนูจ้าว ถ้าทำเช่นนี้ หากคุณชายอิ่งทราบ ทางคุณจะอธิบายลำบากนะครับ” หลี่ผูมองจ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าเคร่งเครียด

“หือ? พ่อบ้านหลี่?” จ้าวหลินเอ๋อร์ขมวดคิ้ว มองหลี่ผูที่เดินออกมา

“พ่อบ้านหลี่? ได้ยินมานานว่าท่านหายตัวไป คิดไม่ถึงว่าจะมาอยู่ในเมืองเล็กๆแบบนี้” จ้าวหลินเอ๋อร์พูด “หลินอิ่งอยู่ไหน? เขาไปไหน?”

“ผมไม่รู้ว่าคุณชายอิ่งอยู่ไหน” หลี่ผูพูดสีหน้าจริงจัง

สมัยก่อนที่เขายังเป็นพ่อบ้านอยู่ตระกูลฉี อยู่ในแวดวงสังคมตี้จิง เห็นพบหน้ากับจ้าวหลินเอ๋อร์

และรู้เรื่องเกี่ยวกับจ้าวหลินเอ๋อร์ ท่านฉี ฉีเวิ่นติ่งกับนายท่านตระกูลจ้าวในอดีต เคยทำเรื่องหมั้นหมายให้คุณชาย

จ้าวหลินเอ๋อร์ขมวดคิ้ว มองลู่หย่าฮุ่ยสองผัวเมียสีหน้าเย็นชา

“บอกมา หลินอิ่งไปไหน?” จ้าวหลินเอ๋อร์ถาม

ลู่หย่าฮุ่ยกับจางซิ่วเฟิงหน้าดำเคร่งเครียด อย่าด่ากลับ แต่ถูกแรงกดดันในตัวจ้าวหลินเอ๋อร์กดดัน ในใจรู้สึกกลัวมาก

“พ่อ แม่? ที่บ้านเกิดอะไรขึ้น?”

เวลานี้ “จางฉีโม่ถือกระเช้าสองกล่อง เดินเข้ามา

วินาทีที่เห็นจ้าวหลินเอ๋อร์ สีหน้าจางฉีโม่เปลี่ยนเป็นโมโห

“คุณมาถึงบ้านฉันได้ยังไง?” จางฉีโม่ถาม

จ้าวหลินเอ๋อร์หันไปด้วยแววตาสนุก มองสำรวจจางฉีโม่

“เธอนางสาวบ้านนอกกลับมาแล้วเหรอ? เหอะ ฉันมาหาหลินอิ่ง” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดอย่างใจเย็น “บอกฉันมา หลินอิ่งไปไหน?”

“ฉีโม่ ลูกรู้จักนางแพศยานี่เหรอ? เมื่อกี้นางเพศยานี่ เมื่อกี้มันตบแม่ ลูกแม่ ลูกต้องสั่งสอนมันนะ” ลู่หย่าฮุ่ยรีบเข้าไปหาจางฉีโม่

“ลูก ลูกไม่รู้ใช่ไหม ผู้หญิงคนนี้มันมาหาหลินอิ่ง ยังกล้ามาหาเรื่องที่บ้าน ลูกจะไปทนไอ้หลินอิ่งต่อไม่ได้อีกแล้วนะ มันไร้น้ำยาก็แล้ว ยังทำเรื่องขายหน้าแบบนี้อีก ใช้ฐานะของลูกไปรังแกลู่จิ้ง วันนี้ ไปมีชู้ข้างนอก ยังมาหาเรื่องถึงบ้าน” ลู่หย่าฮุ่ยอดไม่ได้ที่จะรีบฟ้องจางฉีโม่

จางฉีโม่ยิ่งฟัง สีหน้าก็ยิ่งไม่ดี จ้องจ้าวหลินเอ๋อร์สีหน้าเย็นชา

“คุณมีสิทธิ์อะไรมาตบคน?” จางฉีโม่พูดอย่างโมโห

“แม่เธอด่าหลินอิ่ง ฉันก็ต้องตบ” จ้าวหลินเอ๋อร์พูดด้วยสายตายโส “ฉันไม่รู้จริงๆ พ่อแม่เธอมีสิทธิ์อะไรไปด่าหลินอิ่ง?”

จางฉีโม่เห็นรอยฝ่ามือบนหน้าลู่หย่าฮุ่ย ยิ่งโมโห

“ขอโทษแม่ฉันเดี๋ยวนี้” จางฉีโม่พูดอย่างโมโห

“ขอโทษ?” จ้าวหลินเอ๋อร์หัวเราะเย็นชา ในแววตามีแววแห่งความอิจฉา “เธออย่าคิดว่าหลินอิ่งรักใคร่เธอ ฉันก็ทำอะไรเธอไม่ได้”

“ครั้งนี้ฉันมาเมืองตงไห่ ก็เพื่อจะเอาความจริงมาบอกเธอ ระหว่างเธอกับฉันมาต่างกันมากแค่ไหน” จ้างหลินเอ๋อร์พูดอย่างเย็นชา

“เธอไม่คู่ควรที่จะได้อยู่กับหลินอิ่ง”

พูดไป จ้าวหลินเอ๋อร์หันตัวเดินออกไป “ในเมื่อพวกเธอไม่รู้ว่าหลินอิ่งอยู่ไหน ฉันก็ขี้เกียจอยู่ต่อ จางฉีโม่ รอดู อีกไม่นาน เธอจะเห็นความสามารถของฉัน”

“คุณ เข้ามาบ้านคนอื่นตบหน้าก็จะไปเหรอ?” จางฉีโม่หน้าดำ เดินเข้าไปขวางจ้าวหลินเอ๋อร์ไว้

“อย่ารบกวนคุณหนูของเรา”

บอดี้การ์ดหญิงสองคนขวางจางฉีโม่ไว้ จางฉีโม่กัดริมฝีปากแน่น รู้สึกโมโหมาก จ้องมองจ้าวหลินเอ๋อร์เดินจากไป

“ฉีโม่ รีบโทรหาหลินอิ่ง ให้มันไสหัวกลับมาเมืองชิงหยูนเดี๋ยวนี้” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างโมโห “ลูกเขยไร้น้ำยาอย่างมัน บ้านเราไม่ต้องการ”

“ลูก ครั้งนี้แม่ทนไม่ไหวแล้วนะ แม่จะพูดให้ชัดเจนนะ ลูกต้องหย่ากับหลินอิ่ง” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างโมโห “บ้านหลังนี้ แม่กับหลินอิ่ง มีได้แค่คนเดียว ถ้าหากลูกยังคิดว่าหลินอิ่งพึ่งได้ อย่างนั้นแม่ก็จะออกจากบ้านนี้ ลูกดูเองละกัน”

จางฉีโม่สีหน้าไม่ดีมาก ในสมองยุ่งไปหมด

“แม่ไม่ได้ดูถูกหลินอิ่ง แต่ว่า มันไม่ใช่ผู้ชายด้วยซ้ำ รู้ไหม?” ลู่หย่าฮุ่ยพูดอย่างไม่พอใจ “พ่อแม่ลู่จิ้ง ลุงกับป้าก็อยู่ พวกเขาก็รู้ หลินอิ่งอยู่เมืองก่าง รังแกเด็กผู้หญิงอย่างลู่จิ้งจนเขาอย่างโดดตึกตาย ยังเอาเงินของลูกไปกินเหล้าเที่ยวผู้หญิง”

“หลายปีนี้มา หลินอิ่งอาศัยอยู่บ้านเรา เคยทำเรื่องอะไรที่ดีบ้างไหม? ก็แค่คนไร้น้ำยา นอกจากทำให้พวกเราขายหน้า ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง”

“วันนี้ลูกก็เห็นแล้ว หลินอิ่งมันมีผู้หญิงข้างนอก ยังมาหาเรื่องถึงบ้าน ยังตบหน้าแม่อีก” ลู่หย่าฮุ่ยด่าอย่างโมโหไม่หยุด “ลูกพูดซิ หลินอิ่งนอกจากสร้างปัญหา มันยังมีประโยชน์อะไรอีก? ไอ้ไร้น้ำยา ตัวปัญหา”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท