ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 416 เมืองก่าง กระแสคลื่นโหมซัดสาด

บทที่ 416 เมืองก่าง กระแสคลื่นโหมซัดสาด

หยินต้าชิวแววตาตะลึง ภายใต้แรงกดกันของหลินอิ่ง ถึงกับเหงื่อท่วมหัว สั่นไปทั้งตัว

จากนั้น สีหน้าของเขาก็ดูเอือมระอา ก้มหัวอันหยิ่งยโสของเขาลง

“ประธานหลิน ขอโทษ……”

“ใช่ ผมไม่มีสิทธิ์คุยข้อเสนอกับคุณ”

หยินต้าชิวก้มหน้ารับผิด

“เป็นเพราะสอนลูกได้ไม่ดี ถึงได้ให้ไอ้ลูกไม่รักหยินจุนไปหาเรื่องคุณ ผมจะไปหักมือมันเดี๋ยวนี้ หวังว่าประธานหลินจะไม่เอาเรื่อง” หยินต้าชิวกัดฟันแน่น ก้มหน้า พูดด้วยเลือดตกใน

หยินต้าชิวไม่กล้าขัดใจหลินอิ่ง

หรือพูดได้ว่า เขาไม่มีทางเลือก

ในใจเขารู้ดี ว่านี่คือโอกาสครั้งเดียวที่หลินอิ่งให้เขา

ไม่เช่นนั้น หลินอิ่งต้องโมโหร้ายแน่ อย่าบอกว่าหักมือหนึ่งข้างเลย จะฆ่าล้างตระกูลหยินของพวกเขา ก็เป็นเรื่องที่ทำได้แค่คำสั่งเดียว

ครอบครัวของเขา ต้านทานอำนาจของหลินอิ่งไม่ได้แม้แต่น้อย ก็เป็นแค่ฝูงมดในสายตาของหลินอิ่งเท่านั้น แค่ยกเท้าก็เหยียบจนตายได้

“ไม่ พ่อ พ่อจะไปฟังเขาจริงเหรอ จะหักมือผมเหรอ?” หลินยุนพูดด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ

“หยินจุน นี่ถือเป็นบุญคุณของประธานหลินแล้วที่ให้หนทางกับครอบครัวเรา เพื่อครอบครัวของเรา ลูกก็เสียสละหน่อยนะ” หยินต้าชิวมองไปที่หยินจุน พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“พ่อ พ่อมีผมเป็นลูกชายเพียงคนเดียวนะ ผมไม่อยากกลายเป็นคนพิการนะ”

หยินจุนตกใจจนหน้าซีด ถอยหลังไปเรื่อยๆ พูดอย่างต่อต้าน

เขาไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

พ่อบังเกิดเกล้าของตัวเอง กลับหันไปช่วยไอ้หลินอิ่งนั่น จะมาหักมือตัวเอง?

หรือว่า หลินอิ่งจะมีความสามารถล้นฟ้าจริง?

แค่คำเดียว บีบจนพ่อของเขาต้องมาหักมือของเขา?

พ่อยังพูดอีกว่า นี่เป็นความเมตตาของหลินอิ่งแล้ว? ไม่อย่างนั้นตระกูลหยินจะถูกฆ่าล้างตระกูล?

“พ่อ พ่อ พ่อทำแบบนี้ไม่ได้นะ น้องเขาทำอะไรผิด ถึงต้องทำกันขนาดนี้? เขาก็แค่มีปัญหากับไอ้แซ่หลินนั่นนิดหน่อย? พ่อเป็นถึงนักธุรกิจชื่อดังแห่งเมืองก่าง มีอำนาจเงินทอง ทำไมต้องไปกลัวไอ้เด็กกระจอกคนเดียว?” หยินปิงเดินเข้าไปขัดขวาง พูดด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ

ในสายตาพวกเขา พ่อของพวกเขา หยินต้าชิว

เป็นถึงผู้มีอำนาจใหญ่โตระดับต้นๆแห่งเมืองก่าง รองประธานสมาคมธุรกิจเมืองก่าง

มาเฟียใหญ่แห่งโลกแห่งความมืดเขตเชียงเจียง เหล่าหัวหน้าแก๊งในโลกแห่งความมืดต่างต้องไว้หน้าและเคารพเขา

แต่ว่า กลับถูกตนบีบจนต้องทำร้ายลูกชายตัวเอง? ยังทำด้วยความเต็มใจ?

“หุบปาก หยินจุนต้องมีจุดจบแบบนี้ ก็เพราะเธอคอยตามใจ” หยินต้าชิวสีหน้าโมโห จ้องหยินปิงเย็นชา “เธอกล้าพูดอะไรไร้สาระอีกคำเดียว พ่อจะจัดการเธอด้วย”

พูดจบ หยินต้าชิวก็โบกมือ “กดตัวไอ้ลูกโง่คนนี้ไว้”

ทันใดนั้น บอดี้การ์ดหลายนายเข้าไปกดตัวหยินจุนไว้ กดตัวเขาไว้บนโต๊ะ

“ปิดปากมันไว้ ยกแขนมันขึ้น”

หยินต้าชิวถอนหายใจ สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา

บอดี้การ์ดเอาผ้าเช็ดโต๊ะสีขาวผืนหนึ่ง มาอุดปากของหยินจุนไว้

“อืออือออ”

หยินจุนถูกบอดี้การ์ดหลายนายกดตัวไว้บนโต๊ะ พยายามขัดขืน มองดูบอดี้การ์ดอีกหลายนายหยิบกระบองเหล็กออกมา ในสายตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ปัง ปัง ปัง

บอดี้การ์ดสองนาย ในมือถือกระบองเหล็ก ทุบไปที่แขนของหยินยุ่น ครั้งแล้วครั้งเล่า ทุบจนเสียงดังสนั่น

“อ๊ากอ๊ากอ๊าก”

หยินจุนสีหน้าซีด กรอกตาขาว ร้องเสียงดังด้วยความเจ็บปวด กระตุกไปทั้งตัว เจ็บปวดจนหมดสติไป

แขนข้างหนึ่งของเขา ถูกฟาดจนคดงอจนเปลี่ยนรูป เลือดไหลออกมา

ตั๊บ

หยินจุนร่างอ่อนเหมือนไร้กระดูก ล้มลงไปกับพื้น สีหน้าซีดขาว น้ำตาไหลพรากไม่หยุด จ้องหน้าหลินอิ่ง ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

น่ากลัวเหลือเกิน

ผู้ชายคนนี้

ความสามารถที่เขามี กดทับทุกสิ่งที่เขามีได้อย่างง่ายดาย

เพราะอะไร ถึงไปทำให้เขาขุ่นเคือง……

ในใจหยินจุนมีความรู้สึกเสียใจอย่างล้นหลาม จากนั้น ก็หมดสติเป็นลมไป

“ประธานหลิน ท่าน ท่านอภัยให้ตระกูลหยินของเราได้หรือยังครับ?” หยินต้าชิวสีหน้าหวาดกลัว ถามอย่างระมัดระวัง

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย พูดว่า “คริส เซ็นสัญญาให้เขาหนึ่งฉบับ”

“ครับ ประธานหลิน”

คริสพยักหน้าอย่างเคารพ ดีดนิ้วทันที เลขาธุรการที่ติดตามอยู่ข้างกาย ก็ยื่นเอกสารสัญญาที่เตรียมมาให้อย่างรวดเร็ว

คริสหยิบปากกาจากกระเป๋าเสื้อ เซ็นชื่อลงไปในเอกสาร แล้วให้เลขานำสัญญายื่นให้หยินต้าชิว

“ขอบคุณประธานหลิน บุญคุณของประธานหลิน ขอบคุณมากครับ”

หยินต้าชิวถือสัญญาฉบับนี้ไว้ด้วยความรู้สึกตื้นตัน ตั้งใจอ่านอย่างละเอียด

สีหน้าเขาแดงก่ำ ทั้งดีใจทั้งเศร้า

คำพูดประโยชน์เดียวของหลินอิ่ง ให้ลูกน้องเซ็นชื่อเท่านั้น ก็มีมูลค่าหลายร้อยล้าน

นี่ก็คือผู้มีอำนาจที่แท้จริง แค่ชั่วพริบตาเดียว ก็ตัดสิบชีวิตของคนมากมาย

มีสัญญาฉบับนี้แล้ว หยินต้าชิวก็สามารถต่อชีวิตได้แล้ว รักษากิจการของครอบครัวไว้ ไม่ต้องให้ถึงขั้นครอบครัวแตกแยกล้มละลาย..

“ประธานฉู่ เรื่องทางด้านสมาคมธุรกิจเมืองก่าง ก็ให้คุณจัดการเลย ส่วนรายละเอียด คุณไปคุยกับหยินต้าชิว” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย “ผมยังมีธุระ ต้องกลับไปก่อน”

“คุณหลิน เรื่องทางสมาคมธุรกิจเมืองก่าง ผมจะจัดการให้เรียบร้อยเอง” ฉู่สงซานพูดอย่างจริงจัง “เชิญท่านกลับได้ครับ”

หลินอิ่งพยักหน้า เดินออกจากโรงแรมเชียงเจียง

“ประธานหลิน เดินทางปลอดภัย” หยินต้าชิวพูดจาอย่างเคารพและอ่อนน้อม

หยินต้าชิวรู้ดี สถานการณ์วันนี้ เขาถือว่าอยู่เรือลำเดียวกับหลินอิ่งแล้ว

หลินอิ่งสามารถช่วยชีวิตเขาได้ เช่นเดียวกันกับสามารถเหยียบเขาให้ตายได้

สิ่งที่เขาทำได้ ก็คือทำตามให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ กับเรื่องที่หลินอิ่งมอบหมายให้ฉู่สงซานทำ

หลินอิ่งออกจากโรงแรมเชียงเจียง ฮาเดสและคริสติดตามอยู่ข้างหลัง

เรื่องที่ควรคุยกับฉู่สงซาน คุยกันเรียบร้อยแล้ว

วางแผนเรียบร้อยแล้ว

รอเพียงทางด้านเย่เฮย มารายงานข่าว

หลังจากหลินอิ่งจากไปแล้ว

หยินต้าชิวที่อยู่ในงาน ยังรู้สึกหวาดกลัวในใจ ขนลุกเต็มตัว เหมือนดั่งกลับมาจากนรก

เขาอยู่ในเมืองก่างครึ่งค่อนชีวิต ไม่ว่าธุรกิจหรือโลกแห่งความมืด ยังไม่เคยได้เห็นเด็กหนุ่มคนหสนึ่งที่มีบุคลิกน่ากลัวขนาดนี้

ระหว่างคำพูดที่เรียบง่าย ทำให้คนรู้สึกสิ้นหวังไร้ที่พึ่ง

“พ่อ พ่อทำแขนน้องพิการไปหนึ่งข้าง แลกมากับสัญญาหนึ่งฉบับ มันคุ้มค่าไหม?” หยินปิงถามอย่างระมัดระวัง

“คุ้มค่าแน่นอน ลูกไม่เข้าใจ” หยินต้าชิวพูดอย่างจริงจัง “น้องชายเธอไม่เสียแขนข้างนี้ ตระกูลหยินก็ต้องจบ เธอเข้าใจไหม? พวกเธอควรที่จะไปขอบคุณประธานหลิน ประธานหลินเป็นคนสูงส่ง”

……

เวลาเดียวกัน

สนามบินซิงหวนเมืองก่าง

เครื่องบินส่วนตัวลำหนึ่งจอดเทียบอยู่กลางสนามบิน

ชายหนุ่มชุดสูทสีขาวค่อยๆเดินลงจากเครื่อง โดยมีบอดี้การ์ดกลุ่มหนึ่งเข้าแถวรออยู่

สถานที่ไม่ไกลนัก มีขบวนรถจอดอยู่เป็นแถว มีชายหนุ่มสีหน้าเย็นชาแต่ละนายยืนรออยู่ ล้วนมารับเที่ยวบินนี้

“ยินดีต้อนรับคุณชายจ้าวมาเยือนเมืองก่าง”

ภายในสนามบิน เสียงดังดั่งคลื่นซัดแรง

ชายหนุ่มถอดแว่นกันแดดออก เผยหน้าตาอันหล่อเหลา สายตาเฉียบคมดั่งใบมีด ท่าทางสง่าไม่ธรรมดา

“เหล่าหม่า จับตาดูตำแหน่งของหลินอิ่งในเมืองก่างได้หรือยัง?” จ้าวเฉิงเฉียนถามเสียงเรียบ ท่าทางมีอำนาจ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท