ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 417 หลินอิ่งคนนี้น่าสนใจ

บทที่ 417 หลินอิ่งคนนี้น่าสนใจ

“รายงานคุณชายจ้าว ผมทำตามคำสั่งของท่าน ใช้คนทั้งหมดที่มีในเมืองก่าง รู้ตำแหน่งของคุณชายอิ่งที่แน่ชัดแล้วครับ และสืบได้เรื่องทุกอย่างที่เขาทำในเมืองก่างได้แล้วครับ”

ชายสูงอายุผมขาวในชุดจีนโบราณสีเขียวท่านหนึ่ง พูดอยู่ข้างกายจ้าวเฉิงเฉียนอย่างเคารพ

“พูดมา”

จ้าวเฉิงเฉียนพูดเสียงเรียบ

“คุณชายอิ่งท่านนั้นของตระกูลฉี หลังจากมาถึงเมืองก่างแล้ว ก็ทำเรื่องการใหญ่โต และยังทุ่มทุนมหาศาล” เหล่าหม่าพูดอย่างจริงจัง “เท่าที่ผมรู้ เขาจัดการกับคุณชายเซียวจวงของเซียวซื่อกรุ๊ปแห่งประเทศM และโม่เก๋อติง ประธานลาตินกรุ๊ปแห่งเมืองก่าง ที่อาคารสุ่ยจิน”

“หลังจากฆ่าสองคนนี้แล้ว หลินอิ่งก็สนับสนุนคริสซึ่งเป็นตัวแทนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของลาตินกรุ๊ป ขึ้นไปในที่นั่งประธานบริษัท และทุ่มเงินมหาศาลเข้ามาในแวดวงธุรกิจเมืองก่าง เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทหลินซื่อ”

“หลังจากที่ก่อตั้งบริษัทหลินซื่อแล้ว ก็เปิดสงครามการเงินกับอภิมหาเศรษฐีเมืองก่างจี้ฉงซาน เป็นอริกันทุกด้าน”

“อีกอย่าง สองวันนี้ หลินอิ่งอยู่กับฉู่สงซานของบริษัทเภสัชกรรมตระกูลฉู่”

“ฉู่สงซานกับจี้ฉงซานกำลังสู้รบกันด้านธุรกิจ”

“ส่วนทางด้านจี้ฉงซาน ยังไม่มีความเคลื่อนไหว”

เมื่อรายงานเรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เหล่าหม่าก็ก้มหน้า รอคำสั่งจากจ้าวเฉิงเฉียน

จ้าวเฉิงเฉียนลูบคลำนิ้วไปสายตาเย็นชา มุมปากก็ยิ้มขึ้นอย่างรู้สึกสนุก

“หลินอิ่งคนนี้น่าสนใจ”

“เบื้องหลังของลาตินกรุ๊ปใหญ่ล้นฟ้า ในต่างประเทศก็เป็นใหญ่”

“ทางการประเทศMที่พึ่งของเซียวซื่อกรุ๊ป ก็ไม่ธรรมดา”

“ฉู่สงซานก็เป็นลูกหลานของตระกูลราชาแห่งเภสัชเตียนหนัน ลูกชายคนที่สามของราชาแห่งเภสัช”

“สำหรับจี้ฉงซาน ไม่เพียงแค่มีมูลค่าหมื่นล้าน ร่ำรวยระดับประเทศ เบื้องหลังยังมีผู้สนับสนุนคนหนึ่งที่เก่งกาจ”

จ้าวเฉิงเฉียนค่อยๆพูด แววตาค่อยๆดูเฉียบคม

“เขาคนเดียว สามารถทำให้เกิดภัยพิบัติขนาดนี้ได้ ผมชักรู้สึกสงสัยแล้ว ว่าหลินอิ่งนอกจากฐานะผู้นำตระกูลหยิ่นแห่งตี้จิงนี้ ในที่ลับ ยังมีฐานะอะไรที่น่ากลัวอีก”

“ขออภัย คุณชายจ้าว รายละเอียดมากกว่านี้ของหลินอิ่งผมยังสืบหาไม่ได้” เหล่าหม่าพูดด้วยสีหน้าละอายใจ “ดูจากข่าวกรองที่ได้รับก่อนหน้านี้ ดูจากฝีมือของคู่แข่งหลินอิ่ง เท่าที่ผมคาดเดา หลินอิ่งเขามีฝีมือที่เก่งกาจไม่แพ้ยอดฝีมือรายการแห่งคน”

“ยอดฝีมือรายการแห่งคน?” จ้าวเฉิงเฉียนส่ายหัวอย่างไม่อยากเชื่อ “รอผมทดสอบเขาหน่อย ก็รู้เอง”

“ตอนนี้ คุณรู้ไหมว่าหลินอิ่งอยู่ไหน?”

“ข่าวกรองล่าสุด หลินอิ่งได้รับคำเชิญจากฉู่สงซาน วันนี้ไปงานเลี้ยงที่โรงแรมเชียงเจียง” เหล่าหม่าถามอย่างจริงจัง “คุณชายจ้าว ตอนนี้ให้ผมพาคนไปจับหลินอิ่งที่โรงแรมเชียงเจียงไหมครับ?”

“ไม่ต้อง” จ้าวเฉิงเฉียนยิ้มแย้ม พูดอย่างสนใจ “ตอนแรกผมมาเมืองก่าง คิดไว้ว่าจะจับตัวหลินอิ่งทันที จะดูว่าเขาเก่งแค่ไหน มีความสามารถแค่ไหนถึงได้อวดดีขนาดนี้ แม้แต่น้องสาวของจ้างเฉิงเฉียนยังกล้าปฏิเสธ”

“แต่เท่าที่ดูวันนี้แล้ว เรื่องราวดูเหมือนจะน่าสนุกกว่าที่ผมคิดไว้เยอะ”

“เขาตัวคนเดียว เพิ่งมาเมืองก่าง ก็มีความเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจมากมายขนาดนี้ บวกกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดในตี้จิงก่อนหน้านี้ ทำให้ผมรู้สึกสนใจในตัวเขามาก อาจจะมีสิทธิ์มาประลองฝีมือกับผมหน่อย”

“หยินอิ่งยังไม่ต้องยุ่ง จับตาไว้ก็พอ ดูว่าเขาจะสร้างปัญหาได้ถึงแค่ไหน หาจี้ฉงซานก่อน” จ้าวเฉิงเฉียนพูด

“คุณชายจ้าว…….ทางด้านจี้ฉงซาน ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ครั้งนี้ปฏิเสธคำเชิญท่าน ขอให้ท่านเห็นใจ ช่วงนี้เขามีเรื่องต้องยุ่ง วันหลังจะไปเยี่ยมที่ตี้จิงเพื่อขอโทษครับ” เหล่าหม่าพูดด้วยสีหน้าลังเล

จ้าวเฉิงเฉียนแววตาเย็นชา “ว่าไงนะ? จี้ฉงซานกล้าปฏิเสธผม?”

“เหอะ…….กล้ามานัก”

“คุณชายจ้าวใจเย็นๆ จี้ฉงซานปฏิเสธท่านอย่างผิดปกติ คาดว่าหลินอิ่งน่าจะให้ความกดดันเขาค่อนข้างรุนแรง” เหล่าหม่าคาดเดา “แต่ว่า ผมรู้ว่าจี้ฉงซานช่วงนี้ได้จ้างยอดฝีมือที่เมืองก่างจากแก๊งหยางเหมิง ไปหาหรงหยังด้วยตัวเอง”

“ให้คนของแก๊งมังกรช่วย? กลับไม่เจอผม?” จ้าวเฉิงเฉียนยิ้มอย่างเย็นชา “เหล่าหม่า คุณแจ้งหัวหน้าแก๊งหยางเหมิงตอนนี้ หรงหยัง มาพบที่คฤหาสน์เฟิงเซียน”

“ครับ” เหล่าหม่าก้มหัวพูดอย่างเคารพ

สั่งเรื่องเรียบร้อยแล้ว จ้าวเฉิงเฉียนขึ้นรถเก๋งสีดำ ท่ามกลางการรอบล้อมของบอดี้การ์ดหนุ่มมากมาย ไม่นาน ขบวนรถก็ขับออกจากสนามบิน เร่งไปสู่คฤหาสน์เฟิงเซียน

……

วันที่สอง

เกาะวงดาว คฤหาสน์เชียงปิง

ในสนามกอล์ฟ

มีโต๊ะอาหารโต๊ะหนึ่ง จัดวางของว่างที่สวยงามประณีต เก้าอี้ยาวสองตัว มีชายหนึ่งหญิงหนึ่งที่ท่าทางมีอำนาจนั่งอยู่

“นายหญิงเหวิน หลินอิ่งกับฉู่สงซานร่วมมือกันแล้ว เกรงว่าจะมาสะเทือนถิ่นฐานของผมที่เมืองก่างแล้ว” จี้ฉงซานพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“ฉันได้ยินแล้ว ความต้องการของหลินอิ่งก็ไม่เบานะ หาตัวคุณไม่เจอ ก็ลงมือกับรากฐานกิจการของคุณ” เหวินเทียนเฟิ่งค่อยๆพูด “ตอนแรกคิดว่าเขาทำอะไรคุณในเมืองก่างไม่ได้ วันนี้ดูแล้วเหมือนจะดูถูกฝีมือทางธุรกิจของหลินอิ่งไปแล้ว”

“สถานการณ์ยิ่งอยู่ยิ่งเกินจะควบคุมได้แล้ว ผมรอต่อไปไม่ได้แล้ว” จี้ฉงซานหรี่ตาเล็กน้อย แววตาส่อประกายแรงอาฆาต

“เมื่อคืน เมืองก่างก็เพิ่มคนมาสร้างความวุ่นวายเพิ่มอีกคน”

“ผมจัดคนไว้เรียบร้อยแล้ว จะทำปฏิบัติการฆ่าหลินอิ่ง”

เหวินเทียนเฟิ่งขมวดคิ้ว มองไปที่จี่ฉงซาน ถามว่า “ผู้สร้างความวุ่นวาย? ใคร?”

“คุณชายแห่งตระกูลจ้าว จ้าวเฉิงเฉียน” จี้ฉงซานพูดอย่างจริงจัง “เขามาหาหลินอิ่ง ได้ข่าวว่าน้องสาวของเขาเคยมีสัญญาหมั้นหมายกับหลินอิ่ง”

“ถ้าหากหลินอิ่งกลายเป็นน้องเขยของคุณชายจ้าวท่านนี้จริง เกรงว่าพวกเราจะต้องเผชิญกับศัตรูที่เก่งกาจอีกคน”

“จ้าวเฉิงเฉียน? สมัยอยู่ที่ตี้จิง เคยได้ยินชื่อเสียงคนคนนี้อยู่ ได้ยินว่าไปต่างประเทศแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงกลับประเทศกะทันหัน?” เหวินเทียนเฟิ่งขมวดคิ้วพูด

“เขาเป็นคุณชายใหญ่ตระกูลจ้าว มีความสามารถพอสมควร แต่ว่าจะทำลายแผนการเราก็ไม่ใช่เรื่องง่ายมั้ง?” เหวินเทียนเฟิ่งพูดอย่างสงสัย

“นายหญิงเหวิน คุณไม่รู้จักจ้าวเฉิงเฉียน” จี้ฉงซานถอนหายใจ แล้วพูดต่อ “คนคนนี้ ไม่ได้เป็นแค่คุณชายใหญ่ของตระกูลจ้าว ยังเป็นเจ้าสำนักของแก๊งหยางเหมิน……”

“ผมพอมีความสัมพันธ์กับแก๊งหยางเหมินเมืองก่าง ถึงได้รู้เรื่องนี้……”

“อะไรนะ เจ้าสำนักหยางเหมิน?”

เหวินเทียนเฟิ่งแสดงสีหน้าตกใจอย่างเห็นได้ยาก ขมวดคิ้วแน่น

แก๊งหยางเหมิน นี่คืออำนาจในตำนานของประเทศหลุงศตวรรษที่แล้ว

จนทุกวันนี้ ในต่างประเทศยังมีคำเลื่องลือ

ดินแดนที่มีคนประเทศหลุง ก็คือหยางเหมิน

ความยิ่งใหญ่ของหยางเหมิน เกินตระกูลมหาเศรษฐีหลายตระกูลในตี้จิงแล้ว

หลินอิ่งก็ยากพอที่จะจัดการแล้ว เพิ่มเจ้าสำนักหยางเหมินเข้ามาอีกคน เกรงว่าพวกเขาสองคนจะรับไม่ไหว

“จ้าวเฉิงเฉียนหาผม แต่ผมปฏิเสธแล้ว” จี้ฉงซานพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “สถานการณ์นี้ เกินที่ผมจะควบคุมได้แล้ว ดังนั้น ผมเตรียมคนลงมือคืนนี้ บีบเอาเบื้องหลังที่แท้จริงของหลินอิ่งออกมาก่อน นายหญิงเหวิน ผมหวังว่าคุณจะรายงานกับข้างบนด้วย”

“ถ้าหากผู้ใหญ่ท่านนั้นลงมือ ต้องเอาสถานการณ์อยู่แน่”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท