ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 413 พวกเราคุยกันนายอย่าพูดมาก?

บทที่ 413 พวกเราคุยกันนายอย่าพูดมาก?

โรงแรมเชียงเจียง ห้องอาหารป่าผ่า

การตกแต่งในแบบโบราณ แขวนภาพวาดทิวทัศน์ ในรูปแบบโบราณย้อนยุค

ข้างโต๊ะอาหาร ยังมีถาดน้ำพุเล็กๆ มีต้นไผ่เขียวงอกอยู่หลายต้น ดูสง่ามีรสนิยม

หลินอิ่งเข้าไปนั่งอย่างใจเย็น ฉู่สงซานอยู่ด้านข้าง

“น้องฉู่ เราสองคนมีเรื่องต้องคุยกัน นายพามันมาด้วย ไม่ค่อยเหมาะสมมั้ง?” หยินต้าชิวพูดเสียงเคร่งขรึม แสดงความไม่พอใจ

คนอย่างหลินอิ่ง มีสิทธิ์อะไรเข้านั่ง?

“พี่หยิน คุณหลินนั่งลงไม่มีอะไรไม่เหมาะสมครับ” ฉู่สงซานพูด

หยินต้าชิวขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดอะไรอีก

คาดเดาในใจเอง ฉู่สงซานปกป้องหลินอิ่งขนาดนี้

อีกอย่าง เรื่องอะไรก็ต้องให้เขาเข้าร่วมด้วย นี่คงไม่ได้อยากให้ลูกสาวไปแต่งงานกับไอ้แซ่หลินนี่หรอกนะ? จะฝึกเพื่อมาเป็นลูกเขย?

“น้องฉู่ ฉันขอพูดตรงๆนะ” หยินต้าชิวพูดจริงจัง “ธุรกิจขนส่งทางท่าเรือในเชียงเจียง ฉันปล่อยมันไว้นานแล้ว นายก็รู้ นั่นมันเป็นเหมือนชีวิตฉัน ทุกวันนี้จี้ฉงซานมันอยากกลืนกิจการด้านขนส่งทางเรือ ปิดกั้นทรัพยากรทางการค้าของฉันจนหมด”

ฉู่สงซานพยักหน้า พูดว่า “พี่หยิน เหตุผลที่มา ผมเข้าใจ ได้ยินว่าการประชุมผู้บริหารสมาคมธุรกิจเมืองก่างครั้งที่แล้ว พี่หยินแพ้ไปหนึ่งยก? คะแนนเสียงของจี้ฉงซานนำโด่ง จัดทำสนธิสัญญาข้อตกลงร่วมกับการขนส่งทางเรือของสมาคมสำเร็จ?”

หยินต้าชิวสีหน้าเคร่งเครียด พูดว่า “ถูกต้อง จี้ฉงซานอำนาจใหญ่โต ฉันไม่ใช่คู่ต่อสู้ ถึงแม้ฉันก็มีตำแหน่งรองประธานสมาคมเมืองก่าง มีตำแหน่งอำนาจบ้าง แต่พอจี้ฉงซานออกมา ผู้บริหารคนอื่นก็ไม่กล้าคัดความเห็นของเขา นั่นก็เป็นแค่คำพูดเขาฝ่ายเดียว ฉันก็เคยอยากหาจี้ฉงซานเพื่อเจรจา ยอมเขาเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง สละผลประโยชน์บางส่วน แต่คิดไม่ถึง ว่าจี้ฉงซานอยากกลืนกิจการขนส่งทั้งหมดของฉัน”

“เพราะฉะนั้น ฉันถึงมาหานายไงน้องฉู่”

คุยถึงเรื่องธุรกิจ สีหน้าของหยินต้าชิวก็มีเคร่งเครียดมาก

ฉู่สงซานสีหน้าเรียบเฉย กำลังครุ่นคิด

เขารู้สถานการณ์ของหยินต้าชิว จี้ฉงซานกลืนศูนย์กลางธุรกิจของหยินต้าชิวไป กิจการขนส่งทางเรือ และยังรวมถึงธุรกิจผิดกฎหมายด้านสินค้าหนีภาษีของหยินต้าชิวด้วย

หากสูญเสียศูนย์กลางธุรกิจไป มูลค่าทรัพย์สินของหยินต้าชิวต้องตกต่ำลงแน่ กิจการก็ต้องล่มสลาย

ถึงแม้จะไม่ถูกจี้ฉงซานบีบแค้น ไม่ถึงครึ่งเดือน หยินต้าชิวก็ต้องตกจากตำแหน่งนักธุรกิจใหญ่แห่งเมืองก่างไปหลายระดับ กลายเป็นนักธุรกิจธรรมดาคนหนึ่งของเมืองก่าง สูญเสียอิทธิพลอย่างที่เคยมีในอดีต

นี่ก็เป็นเหตุที่หยินต้าชิวไม่เกรงกลัวจี้ฉงซาน เข้ามาคุยเรื่องธุรกิจกับเขา

เพราะว่า จี้ฉงซานพูดออกไปแล้วว่าจะจัดการฉู่สงซาน วงการธุรกิจเมืองก่าง มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าไปยุ่งเกี่ยว

“น้องฉู่ ก่อนหน้านี้ฉันเคยพูดแล้ว นายกับคริสตัวแทนภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของลาตินกรุ๊ป พอมีความสัมพันธ์กันบ้าง?”

“คริสท่านนี้ แทนที่อำนาจของโม่เก๋อติงในเมืองก่าง รับช่วงต่อบริษัทลาตินกรุ๊ป” หยินต้าชิวพูดเคร่งขรึม “พูดตามตรง ครั้งนี้ ฉันต้องการความช่วยเหลือของนาย ช่วยฉันคุยกับคริสหน่อย ให้คริสช่วยฉันจัดเส้นทางการขนส่งอย่างปลอดภัยที่ท่าเรือเชียงเจียง ฉันจะพร้อมจ่ายเต็มที่”

หลังจากที่พูดเป้าหมายที่แท้จริงออกไป หยินต้าชิวก็หันไปมองฉู่สงซานด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

ฉู่สงซานสีหน้าไม่เปลี่ยน ยกชาขึ้นดื่ม

เขารู้ดีว่าคริสเป็นคนที่ทำงานให้หลินอิ่ง

หยินต้าชิวถูกจับตาจากจี้ฉงซาน คนที่ช่วยเขาที่เมืองก่าง แค่นิ้วก็พอนับแล้ว

อยู่ดีๆก็มีคริสโผล่มีในแวดวงธุรกิจเมืองก่าง เขาก็คือหนึ่งในนั้น

ลาตินกรุ๊ปเมืองก่าง ไม่ได้อยู่ในระบบการเงินที่ถูกจี้ฉงซานควบคุม

ถ้าหากจี้ฉงซานเป็นราชาแห่งธุรกิจเมืองก่าง ถ้าเช่นนั้น ลาตินกรุ๊ปเมืองก่าง ก็คือผู้นำดินแดน

โดยเฉพาะ ลาตินกรุ๊ปเป็นบริษัทข้ามชาติ ธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดก็คือการนำเข้าส่งออก และทรัพยากรจากต่างประเทศ ความสามารถแข็งแกร่ง

ถ้าหากหยินต้าชิวสามารถเจรจาธุรกิจกับคริสสำเร็จ ธุรกิจในต่างประเทศได้รับการสนับสนุน

แบบนี้ ก็จะสามารถฟื้นฟูทุกอย่างได้

และนี่ก็คือข่าวที่หยินต้าชิวเปิดเผยให้หยินต้าชิวได้รู้ หลังจากที่ฉู่สงซานได้รับการช่วยเหลือจากหลินอิ่ง

“น้องฉู่ วางใจได้ ฉันยินดีจ่ายในราคาที่พอเพียงแน่นอน ถ้าเจรจาธุรกิจนี้สำเร็จ ทั้งให้นาย ให้คริสจนพอใจแน่นอน”

หยินต้าชิวพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “อีกอย่าง น้องฉู่ ถ้าเรื่องนี้สำเร็จ จากนี้ไปนายกับฉันก็เป็นคนในเรือลำเดียวกันแล้ว สงครามระหว่างนายกับจี้ฉงซาน ฉันต้องยืนอยู่ฝั่งนายแน่นอน”

ได้ยินหยินต้าชิวสารภาพ แสดงทัศนคติอย่างชัดเจนแล้ว ฉู่สงซานแววตากะพริบ หันไปมองหลินอิ่ง

หลินอิ่งกำลังจะดื่มชา พยักหน้าอย่างใจเย็น

ได้รับความเห็นแล้ว ฉู่สงซานก็เริ่มพูด “พี่หยิน ทางด้านคริส ผมไปช่วยคุยได้ตลอดเวลา แต่ว่า คุณรับข้อเสนอได้ทุกอย่างจริงเหรอ?”

“ฉัน…….ฉันยินดีรับแน่นอน” หยินต้าชิวพูดอย่างตื่นเต้น จนเกือบควบคุมตัวเองไม่ได้

“น้องฉู่ นายไปคุยกับคริสสำเร็จได้ตลอดเวลาจริงใช่ไหม? นี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น สำหรับด้านข้อเสนอ ขอแค่เป็นเรื่องท่าฉันทำได้ ไม่ใช่ปัญหาแน่นอน” หยินต้าชิวควบคุมสติตัวเอง พูดอย่างจริงจัง

เห็นท่าทางของหยินต้าชิวแล้ว ใบหน้าฉู่สงซานมีรอยยิ้ม นั่งพิงหลังไปที่เก้าอี้ ประหลาดใจกับวิธีการของหลินอิ่ง

“คุณชายอิ่งแห่งตี้จิงท่านนี้ ช่างอัจฉริยะเหลือเกิน” ฉู่สงซานชื่นชมในใจ

การเจรจาครั้งนี้ อยู่เหนือกว่าอย่างขาดลอย

ทั้งหมดนี้ อยู่ในการคาดเดาของหลินอิ่งหมด

หลินอิ่งเคยพูดกับฉู่สงซานประโยชน์หนึ่ง ทำให้เขารู้สึกทึ่งจนถึงวันนี้

“คำว่าธุรกิจ ก็คือให้ข้อเสนอที่ฝ่ายตรงข้ามปฏิเสธไม่ได้”

ส่วนที่หลินอิ่งให้หยินต้าชิว ก็คือข้อเสนอที่ปฏิเสธไม่ได้

ช่องทางขนส่งทางเส้นหนึ่งที่จี้ฉงซานยุ่งเกี่ยวไม่ได้

นี่คือสิ่งที่สามารถช่วยชีวิตหยินต้าชิวได้

“ไม่ว่าแลกด้วยอะไรก็ไม่มีปัญหา?” หลินอิ่งวางน้ำชาบนมือ หันไปมองหยินต้าชิว พูดเสียงเรียบ “ผมต้องการให้คุณล้มตำแหน่งประธานของจี้ฉงซานในสมาคมธุรกิจเมืองก่าง คุณทำได้ไหม?”

ได้ยินแล้ว หยินต้าชิวสีหน้าเปลี่ยนทันที จ้องหลินอิ่งเย็นชา

“พวกเราคุยธุระกัน นายพูดมากอะไร? นายคิดว่าตัวเองเป็นใคร ยังมาชี้แนะออกคำสั่งที่นี่?” หยินต้าชิวชี้นิ้วด่าหลินอิ่ง ฉวยโอกาสด่าเต็มที่

“ไม่รู้กาลเทศะ น้องฉู่ ฉันว่านายต้องสั่งสอนไอ้หลินอิ่งนี่หน่อยนะ เดี๋ยวติดตามอยู่ข้างกายสร้างปัญหา” หยินต้าชิวพูดเสียงเย็นชา “ยังพูดอะไรล้มตำแหน่งประธานสมาคมธุรกิจเมืองก่างของจี้ฉงซาน? แกนี่มันไอ้เด็กไร้สมองที่ตลกสิ้นดี ขนมีกี่เส้นแล้ว ยังมาสอนฉันคุยเรื่องธุรกิจ? แกฟังรู้เรื่องไหมว่าพวกเราพูดอะไรกันอยู่?”

หยินต้าชิวส่ายหัว สีหน้าดูถูก

“ผมฟังเข้าใจไหม?” หลินอิ่งหัวเราะ ยกน้ำชาขึ้นดื่ม

“เคกเคก…….” ฉู่สงซานไอไปสองที สีหน้าเคร่งขรึม “หัวหน้าสมาคมหยิน คุณน่าจะไม่ค่อยเข้าใจถึงความสามารถของคุณหลิน บางที ผมควรต้องแนะนำคุณหลินกับคุณใหม่ ให้คุณรู้จักอย่างเป็นทางการ”

ก๊อกก๊อกก๊อก

ฉู่สงซานกำลังจะพูดต่อ ก็มีเสียงเคาะประตูอย่างรีบร้อน

“เรื่องอะไร?” หยินต้าชิวขมวดคิ้ว สีหน้ารำคาญ ลุกขึ้นไปเปิดประตู

“พ่อ ลุงหยิน คุณหลิน ขอโทษค่ะ รบกวนทุกท่านคุยธุระ หนูไม่มีทางเลือก ข้างนอกเกิดเรื่องแล้ว” ฉู่ฉู่พูดด้วยสีหน้ารีบร้อน

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น รีบร้อนขนาดนี้?” ฉู่สงซานลุกขึ้น ถามอย่างสงสัย

“เมื่อกี้หยินจุนเรียกคนมาจากข้างนอก ตอนนี้กำลังต่อสู้อยู่กับบอดี้การ์ดของคุณหลิน สู้กันรุนแรง จนเห็นเลือดแล้ว”

ฉู่ฉู่พูดด้วยสีหน้ารีบร้อน “พวกเราขวางไม่อยู่แล้ว หรือว่า พวกพ่อออกไปดูหน่อยไหมคะ?

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท