ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 418 จอมทัพสิบสามแห่งแก๊งหยางเหมิน

บทที่ 418 จอมทัพสิบสามแห่งแก๊งหยางเหมิน

อาคารสุ่ยจิน

เวลาเที่ยงคืน

หลินอิ่งกลับไปถึงออฟฟิศประธานนานแล้ว

เขานั่งพิงหลังอยู่บนเก้าอี้ ค่อยๆหลับตา จากนั้นก็หลับไป

แสงสาดส่องจากดวงจันทร์ เค้าโครงใบหน้าของหลินอิ่ง มีความเคร่งขรึม ทำให้รู้สึกหวาดกลัว

ท่ามกลางความเงียบ

ประตูออฟฟิศ ไม่รู้ว่าถูกเปิดตั้งแต่เมื่อไหร่

ภายในออฟฟิศอันกว้างขวาง มีคนชุดดำปรากฏตัวขึ้นทีละคน ยืนอยู่รอบตัวหลินอิ่ง

ส่วนทางเดินนอกออฟฟิศ บอดี้การ์ดร่างบึกบึนชุดสูทแต่ละคน ต่างก็นอนราบอยู่กับพื้น

ทั้งอาคาร เงียบสงบ เต็มไปด้วยความมืดและเคร่งขรึม

หลินอิ่งค่อยๆลืมตา สีหน้าเรียบเฉยไร้คลื่นเหมือนดั่งน้ำในบ่อลึก มองฝ่ายตรงข้ามอย่างเฉยเมย

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“พวกนายไม่ควรมานะ”

“แต่เรามาแล้ว”

ชายชุดดำ ท่ามกลางแสงจันทร์บางๆ เผยใบหน้าที่แปร่งประกายความโหดเหี้ยม

นี่คือชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ดวงตาโหดเหี้ยมดั่งหมาป่า มีแสงสีแดงท่ามกลางแสงจันทร์ ดูแล้วก็เป็นคนที่เปรียบได้แค่คำเดียวก็คือโหด

“ในเมื่อมาแล้ว ก็ต้องทิ้งอะไรไว้หน่อย”

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย ค่อยๆลุกขึ้นจากเก้าอี้ มือไขว้หลังยืนตรง

วินาทีนี้

คนชุดดำสิบกว่าคนต่างก็พากันถอยหลังอย่างควบคุมไม่ได้

ชุดดำบนตัวพวกเขาปลิวขึ้นโดยไร้ลม ปลิวไหว เสมือนมีพลังอันน่ากลัวกำลังจะมา

พลังในตัวหลินอิ่ง ก็เหมือนกับมังกรที่เพิ่งตื่น ลืมตามองมา

ทำให้พวกเขาทุกคน ต้องถึงกับใจสั่น ร่างสั่นไปทั้งตัว

หลินอิ่ง เก่งมาก

ในใจของทุกคน เกิดความคิดนี้ขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมาย

เคี้ยง!

เสียงของโลหะอันกึกก้องดังขึ้น คนชุดดำต่างก็ดึงมีดออกจากเอง แปร่งประกายแสงแสบตา เต็มไปด้วยแรงสังหาร

“ท่านจะมั่นใจในตัวเองมากไปไหม” ชายชุดดำพูดเสียงเรียบ สองตาจ้องหลินอิ่งไม่กะพริบ

“วันนี้พวกเรารับคำสั่งมา เพื่อทำเรื่องเดียว นั่นก็คือขอให้ท่านออกไปจากเมืองก่าง”

“ท่านเป็นคุณชายอิ่งตระกูลฉีแห่งตี้จิง พวกเราไม่ได้อยากมีเรื่องกับคุณท่านตระกูลฉี ไม่ได้มาเพื่อจะเอาเป็นเอาตายกับท่าน แต่เพียงแค่อยากให้ท่านถอนตัว……”

ได้ยินแล้ว หลินอิ่งมุมปากยิ้มขึ้น

“แค่อยากให้ถอนตัว?”

“ถูกต้อง” ชายชุดดำพยักหน้า

“แก๊งมังกรเมืองก่าง จอมทัพสิบสาม หงต้า เคารพคุณชายอิ่งแห่งตระกูลฉี”

ถ้อยคำทั้งหมดพูดมา หงต้าถือด้ามมีด พูดเสียงเรียบ “คุณชายอิ่ง หัวหน้าแก๊งของเราถูกไหว้วาน วันนี้ ให้มาบอกคุณชายอิ่งให้ถอนตัว อย่าสร้างเรื่องที่เมืองก่าง”

“มิเช่นนั้น อย่าโทษพวกเราต้องลงมือฆ่า”

หลินอิ่งส่ายหน้า

หงต้าพูดแล้ว เขาก็เข้าใจแล้ว ว่านี่เป็นเรื่องอะไร

จอมทัพสิบสามแก๊งหยางเหมินนี้ คือยอดฝีมือที่จี้ฉงซานใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวเชิญมาจากแก๊งหยางเหมิน

“กลับไปบอกหัวหน้าแก๊งของพวกคุณ กล้ามาขวางงานผมอีก ผมจะฆ่าล้างสำนักในเมืองก่างของแก๊งหยางเหมิน”

พูดจบ ก็เหมือนดั่งสายฟ้าแลบ สะเทือนกลุ่มหงต้าทุกคนสีหน้าเปลี่ยน รู้สึกได้ถึงพลังอำนาจที่ไม่มีที่เปรียบ

คำพูดของหลินอิ่ง ไม่ได้พูดเล่น

“คุณช่างกล้าดี”

หงต้าหน้าดำเคร่งเครียด พูดเสียงเย็นชา

“พวกเรานับถือท่านเพราะเป็นคุณชายอิ่งตระกูลฉีแห่งตี้จิง เคารพก่อนรบ ไม่ได้หมายความว่า แก๊งหยางเหมินกลัวคุณ” หงต้าพูดเคร่งขรึม

“ผมบอกคุณตามตรงได้เลย นายท่านจี้กับแก๊งหยางเหมินของเรามีความสัมพันธ์กัน”

“ได้รับการไหว้วานจากนายท่านจี้ ให้พวกเขามาบอกให้ท่านถอนตัว”

“ถ้าหากคุณยอมถอนตัวตอนนี้ พวกเราก็ถือว่าได้คืนบุญคุณนายท่านจี้แล้ว เรื่องนี้ก็เป็นอันจบสิ้น”

“ถ้าหากคุณยังไม่ยอมถอย ไม่ฟังคำเตือน ทำอะไรตามใจชอบในเมืองก่าง ถ้าเช่นนั้นก็คือบีบบังคับให้แก๊งหยางเหมินของเราลงมือ”

พูดจบ พวกหงต้าต่างก็จับด้ามมีดในมือไว้แน่น ใสสายตาเต็มไปด้วยแรงสังหาร

นี่เป็นการเตือนสุดท้าย

ความเกี่ยวพันทั้งหมดได้อธิบายอย่างชัดเจนแล้ว

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย

เขารู้จักอำนาจของแก๊งหยางเหมินดีกว่าคนทั่วไป

อำนาจของแก๊งหยางเหมิน ตำแหน่งและความสามารถในวงการแห่งความลึกลับนั้น จัดอยู่ในสิบอันดับ

แก๊งหยางเหมินมีตำนานสืบทอดมาเป็นร้อยปี พื้นฐานแน่นหนา นั่นคืออำนาจที่สืบทอดจากศตวรรษที่แล้ว ในสำนักเกือบมีคนถึงจุดสูงสุดของประเทศหลุง

ทุกวันนี้ อำนาจควบคุมทั่วโลก เครือข่ายความสัมพันธ์กว้างขวางไม่อาจคาดการณ์ได้

ครั้งที่แล้ว หลินอิ่งอยู่ที่มณฑลเกาหยาง รักษาอาการป่วยให้กับกงซุนฉงหลง เคยเจอกับแก๊งหยางเหมิน แบบแผนก็แก๊งหยางเหมินในมณฑลเกาหยาง ได้ยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจภายในของตระกูลกงซุน วางแผนอยากจัดการเหล่าตระกูลผู้ดีแห่งตี้จิง

เขายังเคยปราบลูกหลานตระกูลกงซุน กงซุนเฟยเจี้ยน และเป็นนักสู้ในแก๊งหยางเหมิน ทุกวันนี้ยังช่วยตัวเองคอยสืบหาข่าวสารซ่อนตัวอยู่ในมณฑลเกาหยาง

แก๊งหยางเหมินมีสำนักอยู่นับไม่ถ้วนในประเทศหลุง มีอยู่เกือบทุกเมือง ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน ต่างคนต่างทำเรื่องของสำนักตัวเอง

ในนั้นไม่ว่ากิจการไหน ต่างก็มีผู้มีฝีมือมากมาย เครือข่ายความสัมพันธ์วุ่นวายจนไม่อาจคาดคิดได้

“คุณชายอิ่ง รู้หนักรู้เบา ผมหวังว่าคุณจะคิดให้ดี” หงต้าพูดอย่างเคร่งขรึม

เขารู้ว่าคุณชายอิ่งแห่งตี้จิงท่านนี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดา เรื่องที่หัวหน้าแก๊งสั่ง ก็แค่ตักเตือนหลินอิ่ง ให้หลินอิ่งยอมออกจากเมืองก่างเอง

ถ้าหากหลินอิ่งไม่ฟังคำเตือน จากลงมือเอง พากลับสำนัก ส่งให้หัวหน้าแก๊งจัดการเอง

“เหอะ” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา “ก็แค่สำนักเล็กๆอย่างแก๊งหยางเหมินเมืองก่าง กล้าขู่ผมต่อหน้า?”

“ถ้าผมไม่พังสำนักในเมืองก่างของพวกคุณ พวกคุณก็จะขัดขวางการทำงานของผม ใช่ไหม?” หลินอิ่งค่อยๆพูด

ทุกอย่างในโลกเปลี่ยนไปจริงๆ

ในอดีต เมืองก่าง สมัยที่องครักษ์มังกรดำเฟื่องฟู อำนาจครอบคลุมทั่วเมืองก่าง กดทับอำนาจลึกลับทั้งหมดจนเงยหัวไม่ขึ้น

อำนาจลึกลับแห่งเมืองก่าง มีเพียงสำนักนี้เท่านั้น

ทุกวันนี้ องครักษ์มังกรดำไม่อยู่แล้ว แก๊งหยางเหมินสาขาเดียว ยังกล้ามาขวางอยู่ข้างหน้าเขา?

“คุณอวดดีเกินไปแล้ว”

หงต้าทนกับความยั่วยุนี้ไม่ไหว สีหน้าโมโห

“แค่เปิดปากพูดก็บอกจะฆ่าล้างสำนักแก๊งหยางเหมินของเรา คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร? จำไว้ ที่นี่คือเมืองก่าง ไม่ใช่ตี้จิง”

“คุณอยู่ในตี้ติงเป็นคุณชายอิ่งที่อำนาจสูงส่ง แต่ในเมืองก่าง ก็ต้องรักษาระเบียบของเมืองก่าง”

ซั๊ว

ทันใดนั้น หงต้าโบกมีด แสงอันเยือกเย็นสาดส่อง เขาพุ่งเข้าหาหลินอิ่ง

คั๊กคั๊ก

ฟันไปครั้งเดียว ก็ผ่าโต๊ะตรงหน้าหลินอิ่งเป็นสองท่อน เศษไม้กระจัดกระจาย

ส่วนร่างของหลินอิ่ง หายไปจากตำแหน่งเดิมแล้ว

“อือ?”

หงต้าขมวดคิ้ว แววตาตะลึง “วิชาระดับนี้……”

ร่างที่ปลิวไปมาไม่คงที่ของหลินอิ่ง เหมือนดั่งวิญญาณ เหลือไว้เพียงเงาในออฟฟิศ

ยอดฝีมือจอมพลสิบสามแก๊งหยางเหมินในนี้ สีหน้าสงสัย เหงื่อไหลออกมาจากหน้าผาก ทุกคนต่างก็จับมีดไว้แน่น หลับตาแล้วฟังเสียงลม

วินาทีนี้พวกเขาถึงรู้ว่า ความสามารถของหลินอิ่ง เกินการคาดการณ์ของพวกเขา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท