ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 420 ทำลายวิชาทั้งหมด

บทที่ 420 ทำลายวิชาทั้งหมด

“นายน้อยจ้าว ผมจัดให้จอมพลสิบสามไปจัดการหลินอิ่ง เพื่อให้เขาถอนตัวออกไป” หรงหยังพูดอย่างจริงจัง

จ้าวเฉิงเฉียนลูบคลำแหวนหยก ถามว่า “จอมพลสิบสาม? ก็คือคนโหดทั้งสิบสามคนที่เคยร่วมมือกันฆ่าล้างยอดฝีมือท้ายๆรายการแห่งคน?”

“ครับ นั่นก็คือจอมพลสิบสาม” หรงหยังพยักหน้า

จ้าวเฉิงเฉียนหรี่ตา กำลังคิดอะไร

เขาเคยได้ยินจอมพลสิบสาม นี่เป็นนักสู้มือทองที่มีความสามารถที่สุดในกลุ่มย่อยสำนักในเมืองก่างของแก๊งหยางเหมิน เป็นสมาชิกที่ฝีมือดีที่สุดในมือหรงหยัง ทั้งสิบสามคนฝึกวิชาสายเดียวกัน ร่วมมือกันแล้ว แม้แต่ยอดฝีมือรายการแห่งคนยังฆ่าได้

ต้องรู้ว่า กลุ่มย่อยสำนักแก๊งมังกรในเมืองก่าง เป็นหนึ่งในห้าสำนักใหญ่ โครงสร้างและอำนาจใหญ่โต

เพราะว่า เมืองก่างตั้งอยู่จุดที่สำคัญ เป็นหน้าต่างที่สำคัญที่สุดของประเทศหลุงกับต่างประเทศ อำนาจทั้งในและต่างประเทศต่างอยากยุ่งเกี่ยว

หรงหยังสามารถมีอำนาจใหญ่โตในเมืองก่าง ท่ามกลางอำนาจและบริษัทยักษ์ใหญ่มากมาย สามารถดูแลได้ดีจนทำให้แก๊งมังกรชื่อเสียงโด่งดัง

นี่ก็รับรองได้ว่า ความสามารถของหรงหยังกับลูกน้องจอมพลสิบสามนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน

“จากการคาดการณ์ของนาย จอมพลสิบสามสามารถจับตัวหลินอิ่งได้ไหม?” จ้าวเฉิงเฉียนถามอย่างเรียบเฉย

หรงหยังขมวดคิ้ว คิดไปครู่หนึ่ง พูดว่า “จอมพลสิบสามกับหลินอิ่งน่าจะเท่าๆกัน”

“ก่อนหน้านี้ผมรวบรวมข้อมูลของหลินอิ่ง คนคนนี้สามารถจัดการตระกูลเหวินทั้งตระกูล ยังบีบจนให้สวีไป๋เห้อของตระกูลสวีคุกเข่า”

หรงหยังพูดอย่างเชื่องช้า “ถึงแม้ตอนนั้นความสามารถของตระกูลเหวินจะไม่พอเพียง เป็นตระกูลผู้ดีใหม่ แต่เบื้องหลังมีอำนาจลึกลับคอยสนับสนุน ความสามารถพอเพียงที่จะฆ่าล้างตระกูลฉีที่ไม่มีฉีเวิ่นติ่ง”

“ผมคาดว่า ความสามารถของหลินอิ่ง น่าจะอยู่ในลำดับยอดฝีมือลำดับที่ประมาณเก้าสิบ หรืออาจจะเป็นไปได้ว่าหลินอิ่งมีคนคอยปกป้อง”

หรงหยังพูดความจริง

คุณชายอิ่งแห่งตระกูลฉีท่านนี้ ครั้งที่แล้วกลับคืนสู่ตี้จิงอย่างแข็งแกร่ง เป็นที่สนใจของอำนาจทั้งหมดในประเทศหลง สำหรับข้อมูลที่ได้ น่าเสียดายที่คนคนนี้ลึกลับเกินไป ข่าวที่ได้ค่อนข้างน้อย

“หัวหน้าสำนักเมืองก่างอย่างนายก็บริหารได้ไม่เลว กับข่าวกรองที่ฉันได้มาใกล้เคียงกันมาก” จ้าวเฉิงเฉียนพูด ยอมรับในสิ่งที่หรงหยังพูด

ผลงานของหลินอิ่ง ฟังแล้วค่อนข้างน่ากลัว

ฆ่าล้างตระกูลเหวินแห่งตี้จิง กดดันตระกูลสวี

แค่สองเรื่องนี้ ก็สามารถทำให้ผู้คนเลื่องลือดั่งเทพแล้ว

แต่สำหรับจ้าวเฉิงเฉียนแล้ว ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาหวาดกลัว

เพราะว่า ศูนย์กลางอำนาจของห้าตระกูลใหญ่ในตี้จิงนั้น ล้วนอยู่ในมือของนายท่านผู้นำตระกูล

ตอนที่หลินอิ่งกดดันตระกูลสวี นายท่านตระกูลสวีไม่ได้ลงมือ

ส่วนหลินอิ่งฆ่าล้างตระกูลเหวิน ตระกูลเหวินเลือกที่จะหดหัวหนีเหมือนเต่า

ส่วนครั้งนั้นที่ตระกูลเหวินฆ่าล้างตระกูลฉี ก็ฉวยโอกาสตอนที่ฉีเวิ่นติ่งป่วยหนัก

ต้องรู้ว่า นายท่านตระกูลสวีไม่ลงมือ แล้วก็ฉีเวิ่นติ่งป่วยหนักหมดสติ นี่ก็หมายความว่า ทั้งสองตระกูลไม่ได้ใช้อำนาจลึกลับของ

ห้าวงศ์ตระกูลใหญ่แห่งประเทศหลุงล้วนมีอำนาจลึกลับอันแข็งแกร่ง แต่ว่า ไม่ถึงเวลาความเป็นความตายของวงศ์ตระกูล จะไม่ใช้อย่างเด็ดขาด

ระหว่างโลกอันลึกลับและโลกทั่วไปนั้น มีข้อตกลงกัน……

“เพียงแค่ว่า เท่าที่ฉันดูแล้ว ห้าสิบห้าสิบมันสูงไป” จ้าวเฉิงเฉียนพูด “น่าจะยี่สิบแปดสิบ ลูกน้องนายจอมพลสิบสาม สู้กับหลินอิ่งโอกาสชนะน่าจะมีแค่ยี่สิบ”

“มีโอกาสชนะแค่ยี่สิบ?” หรงหยังขมวดคิ้วมองไปที่จ้าวเฉิงเฉียน คิดในใจ ดูเหมือนจ้าวเฉิงเฉียนก็ค่อนข้างเข้าใจในตัวหลินอิ่งพอสมควร แต่ไม่รู้ว่าจ้าวเฉิงเฉียนหาหลินอิ่งเพื่ออะไร

“นายน้อยจ้าว ขอโทษด้วย” หรงหยังถามอย่างจริง “ไม่ทราบว่า เจ้าสำนักมาหาหลินอิ่งที่เมืองก่าง เพราะเรื่องอะไร?”

จ้าวเฉิงเฉียนยิ้ม พูดว่า “หรงหยัง ฉันบอกนาย”

“หลินอิ่งถือว่าเป็นคนครึ่งหนึ่งของตระกูลจ้าว เรื่องของเขา นายไม่ต้องยุ่ง”

“ไม่ว่าจะบอกให้หลินอิ่งถอย หรือจะฆ่าหลินอิ่ง ต้องตระกูลจ้าวเป็นคนตัดสิน”

จากคำพวกที่แข็งแกร่งขนาดนี้ หรงหยังหุบปากไม่พูด รู้สึกกดดันอย่างมหาศาล

เขาคิดในใจ จ้าวเฉิงเฉียนเข้ามายุ่งเกี่ยวอย่างมีอำนาจ รับมือทุกอย่างต่อ

เรื่องนี้ เขาหรงหยังก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดอะไรแล้ว

แต่ว่า กังวลข้อตกลงระหว่างเขากับจี้ฉงซาน และผลประโยชน์ส่วนตัว

เพราะว่า ถ้าหากเทพแห่งเงินทองอย่างจี้ฉงซานล้มไป สำหรับเขาแล้ว เป็นเรื่องการเสียผลประโยชน์ที่รุนแรงมาก

“นายไม่ต้องคิดผลประโยชน์ของนายแล้ว” จ้าวเฉิงเฉียนพูดเชื่องช้า “ฉันรู้ว่าจี้ฉงซานเป็นเทพแห่งเงินทองของนายในเมืองก่าง”

“แต่ว่า เรื่องบางเรื่องที่ไปยุ่งเกี่ยวแล้ว ก็คือไม่ตายไม่จบสิ้น นายได้เงินทองมากมายก็ไม่มีชีวิตได้ใช้มัน”

พูดจบ จ้าวเฉิงเฉียนไม่พูดอะไรอีก ให้หรงหยังเอาไปคิดเอง

“แจ้ง”

เวลานี้ ชายชุดดำคนหนึ่งตีลังกาเข้ามาอยู่ตรงหน้าจ้าวเฉิงเฉียน ก้มหัวพูด

“นายน้อย การต่อสู้ข้างล่างสิ้นสุดลงแล้ว จอมพลสิบสามแก๊งหยางเหมิน เวลาไม่ถึงธูปหนึ่งดอก ก็พ่ายแพ้หมดแล้ว”

“จอมพลสิบสามถูกทำลายวิชาจนหมดสิ้น ผมดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ไม่เห็นสำนักวิชาที่หลินอิ่งใช้”

พูดจบ ทุกคนเงียบสงบ ได้ยินแม้แต่เสียงใบไม้ร่วง

หรงหยังสีหน้าตะลึง มองหน้าคนที่มารายงาน ใบหน้าแดงก่ำด้วยอาการอับอาย และโกรธแค้น

เขาคิดไม่ถึง ก่อนหน้านี้คาดการณ์ว่าผลแพ้ชนะห้าสิบห้าสิบ ปรากฏว่าผลกลับเป็นแบบนี้

ลูกน้องในมือ จอมพลสิบสามร่วมมือกันสู้กับหลินอิ่ง กลับใช้เวลาไม่ถึงธูปหนึ่งดอก

ขายหน้าขายไปถึงบ้านยายแล้ว ความสามารถแค่นี้ ยังมาบอกให้คนอื่นเขาออกจากเมืองก่าง?

โดยเฉพาะ ยังต้องขายหน้าต่อหน้าจ้าวเฉิงเฉียนแบบนี้อีก

ดังนั้น จึงทำให้หรงหยังรู้สึกโมโหอย่างมาก

จอมพลสิบสามนั้นเป็นถึงมือซ้ายมือขวาของเขา ลูกน้องระดับยอดฝีมือที่แข็งแกร่ง กลับถูกหลินอิ่งทำลายวิชาจนหมด กลายเป็นคนไร้น้ำยาหมดแล้ว?

ยอดฝีมือระดับนี้ ไม่ได้ฝึกฝนออกมาง่ายๆ

ความเสียหายระดับนี้ เงินทองมากแค่ไหนก็ทดแทนไม่ได้

“ออ? ทำลายวิชาจนหมด?” จ้าวเฉิงเฉียนรู้สึกสนใจ “น่าสนใจ หรงหยัง จอมพลสิบสามในมือนายถูกทำลายหมดแล้ว นายจะพูดยังไง?”

ผลลัพธ์แบบนี้ สำหรับจ้าวเฉิงเฉียนแล้วค่อนข้างแปลกใจ

หลินอิ่งทำลายวิชาจอมพลสิบสาม เท่ากับว่าช่วยเขาอย่างมาก ถอนฟันเสืออย่างหรงหยังไปแล้ว

อนาคต เขาต้องชำระสำนักในเมืองก่าง ควบคุมคนอย่างหรงหยัง ก็ง่ายขึ้นมาเยอะ

ดูแล้ว หลินอิ่งผู้ชายที่น้องสาวจ้าวหลินเอ๋อร์เลือก ก็พอมีอะไรอยู่บ้าง

“นายน้อยจ้าว” หรงหยังพูดเสียงเรียบ “หลินอิ่งยโสโอหังขนาดนี้ ผมไม่มีวันยอมแน่”

“จากแผนการของผม ผมต้องลงไป จัดการมันเอง”

จ้าวเฉิงเฉียนพูดเสียงเรียบ “หลินอิ่งทำลายวิชาคนของนาย นายจะไปเอาคืน เรื่องนี้ ฉันไม่ขัดขวางนาย นายไปจัดการเอง”

หรงหยังแววตาประกาย สีหน้าเคร่งเครียด หันหลังเดินลงไป

เขายังกังวลจ้าวเฉิงเฉียนจะยุ่ง ขัดขวางเขาไปหาเรื่องหลินอิ่ง

ถ้าเช่นนั้นก็ต้องแตกแยกแล้ว

หนึ่งนาทีผ่านไป

อาคารสุ่ยจิน ในออฟฟิศประธาน

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ยืนมือไขว้หลัง

รอบตัวเขา ชายชุดดำหน้าโหดแต่ละคนนอนอยู่บนพื้น ทุกคนต่างมองหลินอิ่งด้วยสายตาหวาดกลัว เหมือนดั่งมองเทพ

หงต้าเลือดไหลจากมุมปาก คุกเข่าอยู่บนพื้น มีดที่ถือในมือก็หักออกเป็นสองท่อนแล้ว ปลายมีดยังมีเลือดของตัวเอง

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท