ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 421 รับมือฉันได้หนึ่งท่าถือว่านายชนะ

บทที่ 421 รับมือฉันได้หนึ่งท่าถือว่านายชนะ

“คุณไปฝึกวิชาการต่อสู้นี้มาจากไหน?” หงต้าถามด้วยสีหน้าไม่น่าเชื่อ

หงต้าไม่ว่าอะไรก็ไม่อยากเชื่อ หลินอิ่งมีความสามารถแข็งแกร่งขนาดนี้

ทำให้จอมพลสิบสามแก๊งหยางเหมินของพวกเขาพ่ายแพ้ ง่ายยิ่งกว่าดื่มน้ำกินข้าวอีก

จอมพลสิบสามแก๊งหยางเหมินของพวกเขา ยังไม่เคยเจอคู่ต่อสู้มาก่อน

นี่เป็นครั้งแรก สู้กับคนอื่นแบบท่าของฝ่ายตรงข้ามยังดูไม่ชัด ก็ถูกหักมีดในมือ

นี่มันเป็นยอดฝีมือปีศาจระดับไหนกันเนี่ย?

ต้องรู้ว่า หงต้าเคยพาจอมพลสิบสามแก๊งหยางเหมิน ฆ่ายอดฝีมือรายการแห่งคนคนหนึ่ง ผลงานเรื่องนี้ เพียงพอที่จะทำพวกเขายโสในวงการได้

พวกเขาทั้งสิบสามคน ตั้งแต่เข้าสู่วงการยุทธจักร เจอศัตรูนับไม่ถ้วน คนโหดยอดฝีมือนับไม่ถ้วน ล้วนเคยเจอมาหมดแล้ว ยังเคยจัดการกับหัวหน้าทหารรับจ้างที่อาวุธอุปกรณ์พร้อมที่ต่างประเทศมาแล้วทีมหนึ่ง

แต่วันนี้ ต่อหน้าชายหนุ่มอายุเพียงยี่สิบต้นๆอย่างหลินอิ่ง แต่กลับไม่มีแม้แต่ความสามารถในการรับมือ แม้แต่ท่าของหลินอิ่งยังดูไม่ชัด

นี่หมายความว่า ความสามารถของเขามาเกินกว่าพวกเขาทั้งสิบสามคนรวมกัน

หรือว่า มียอดฝีมือหนุ่มเช่นนี้อยู่ในรายการแห่งคน?

“ท่านออกมาจากสำนักไหน? ทำไมผมไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของท่านในวงการลึกลับเลย”

หงต้าถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

แพ้ให้กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ไร้ชื่อเสียงในวงการลึกลับ นี่เป็นเรื่องที่เขารับไม่ได้

โดยเฉพาะ เขาคิดว่าตัวเองเคยเจออะไรมามากแล้ว แม้แต่ท่าของหลินอิ่งเขายังดูไม่ชัด มันช่างขายหน้าจริงๆ

หลินอิ่งยิ้มเรียบเฉย “นักรบไม่ถามสำนัก หรือว่า คุณไม่เคยได้ยินประโยคนี้เหรอ?”

หงต้าสีหน้าไม่ดี พูดว่า “แค่ท่านไม่ยอมพูด ถึงเวลา ถ้าแก๊งหยางเหมินต้องการหา ก็ต้องบีบจนอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของท่านออกมาจนได้”

“ท่านลงมือโหด ทำลายวิชาการต่อสู้ของพวกเราจอมพลสิบสามแก๊งหยางเหมิน เป็นศัตรูกับแก๊งหยางเหมินของเรา เรื่องนี้ไม่จบแค่นี้แน่นอน” หงต้าพูดอย่างเย็นชา สีหน้าไม่พอใจ

“ทำลายวิชาการต่อสู้พวกคุณ หรือว่า คุณไม่พอใจ?” หลินอิ่งหัวเราะเย็นชา สายตาอันเย็นชาที่เต็มไปด้วยแววแห่งความเย็นเฉียบ “บุกมาในที่ของผมก่อนได้รับอนุญาต ผมไม่ฆ่าพวกคุณก็ถือว่าดีมากแล้ว”

“ความสามารถเทียบคนอื่นไม่ได้ ผมแพ้อย่างเต็มใจ” หงต้าพูดเสียงเรียบ “ผมยอมแล้ว เพียงแค่ หัวหน้าแก๊งหรงที่อยู่เบื้องหลังผม คงไม่ยอมท่านแน่”

คำพูดของหงต้าเต็มไปด้วยความกลัว จนต้องยกหัวหน้าแก๊งที่อยู่เบื้องหลังของตัวเองออกมา

มุมปากหลินอิ่งยิ้มขึ้น “พอดีเลย ผมก็จะหาหัวหน้าแก๊งของพวกคุณหน่อย พาผมไปหาเขา แล้วผมจะไว้ชีวิตพวกคุณ”

เขารู้ดี ว่านี่เป็นแค่ลูกน้องที่มาลองมือเขาเท่านั้น

แค่ฝูงอีกาแบบนี้ ฆ่าไปก็ศูนย์เปล่า

สิ่งที่หลินอิ่งต้องการคือ หัวหน้าแก๊งหยางเหมินในเมืองก่างกับจี้ฉงซานนั้นมีความสัมพันธ์ยังไงกัน

จี้ฉงซานสามารถเชิญคนของแก๊งหยางเหมินมาจัดการกับตัวเองได้ นั่นก็เท่ากับแสดงข้อบกพร่องให้เขาเห็น?

จับตัวหัวหน้าแก๊งหรงคนนี้ได้ ก็สามารถนำไปสู่ ตำแหน่งของจี้ฉงซานได้

คนที่มีการร่วมงานกับจี้ฉงซานอันแน่นแฟ้นอย่างหัวหน้าแก๊งหยางเหมินกลุ่มสาขาย่อยเมืองก่าง ข่าวกรองที่รู้ก็ต้องไม่น้อยแน่ มีคุณค่าอย่างไม่ต้องพูดถึง

นี่ก็เหมือนปลาที่มาติดเบ็ดเอง

“คุณจะหาผม?”

“ฉันอยู่นี่ ขอดูหน่อยซิ นายหลินอิ่งมีความสามารถล้นฟ้าแค่ไหนกัน กล้าทำลายวิชาการต่อสู้ของจอมพลสิบสาม”

น้ำเสียงอันเคร่งขรึมดังกึกก้องขึ้นในออฟฟิศ เหมือนดั่งส่งการใช้พลังส่งเสียงพันกิโลซึ่งเต็มไปด้วยพลังอำนาจ

ปัง

เสียงดังดั่งระเบิด ผ้าปูนด้านบนแตกกระจายไปทุกทิศ ระเบิดเป็นหลุมใหญ่

ชายสวมชุดจีนสีแดงคนหนึ่ง ลงมาจากข้างบน เหยียบพังไปหนึ่งชั้น ลงมาในออฟฟิศ มองหลินอิ่งด้วยสายตาเย็นชา

เขาดูท่าทางสง่า คิ้วคมดั่งดาบ หน้าตาหล่อเหลา ดวงตาคมกริบและแววตาก็คมดั่งใบมีด แปร่งประกายความเข้มขรึมเฉียบขาด

“หลินอิ่ง ฉันหรงหยังอยู่ในเมืองก่างมานานขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นคนอวดดีอย่างนาย ในเมืองก่าง นายกล้าทำลายวิชาของคนแก๊งหยางเหมิน?” หรงหยังพูดอย่างเย็น จ้องหน้าหลินอิ่งเย็นชา

สำหรับคนที่ฝึกวิชาการต่อสู้มาทั้งชีวิต ทำลายวิชากับฆ่าพวกเขามันก็ไม่มีอะไรต่างกัน

เพราะว่าสูญเสียวิชาการต่อสู้ ก็จะสูญเสียตำแหน่งอำนาจทั้งหมด เท่ากับอยู่อย่างสูญเปล่าทั้งชีวิต

หลินอิ่งส่ายหัว พูดว่า “แก๊งหยางเหมินอยู่ในเมืองก่างเก่งมากเหรอ? คนของพวกคุณ ทำลายไม่ได้?”

“มาโดยไม่ได้รับเชิญ รบกวนเวลาพักผ่อนผม ถ้าไม่ได้เห็นแก่ว่าคุณยังมีประโยชน์ ผมจะให้คำว่าหยางเหมินหายไปจากเมืองก่าง”

หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

ท่ามกลางน้ำเสียงอันเรียบเฉยนั้น เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง

หรงหยังสีหน้าโมโห ในแววตานั้นมีแววความหวาดกลัว

“อวดดี”

“ถ้าไม่ได้เห็นแก่หน้านายน้อยจ้าว ฉันฆ่านายตอนนี้เลย” หรงหยังพูดอย่างเย็นชา พยายามอดกลั้นแรงอาฆาตในใจ

คิดว่ายอดฝีมือติดอันดับอย่างเขา มีผลกระทบมากในเมืองก่าง ไม่เคยต้องทนกลั้นความรู้สึกแบบนี้ คนของตัวเองถูกทำร้ายจนสูญเสียวิชา ยังต้องถูกดูหมิ่นแบบนี้

“นายน้อยจ้าว? หมายความว่ายังไง?” หลินอิ่งขมวดคิ้ว รู้สึกแปลกใจ

ความหมายในคำพูดของหรงหยัง คือมีคนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้? ยังรู้จักตัวเองด้วย?

หรงหยังพูด “รอนายเห็นนายน้อยจ้าว ก็จะรู้เอง”

“แต่ว่า ก่อนอื่น ฉันจะให้นายคุกเข่า ขอโทษพวกเขาทุกคน”

หรงหยังชี้นิ้วไปที่พวกหงต้าทั้งสิบสามคนที่นอนอยู่บนพื้น จ้องหลินอิ่งอย่างเย็นชา

หลินอิ่งสีหน้าไปเปลี่ยน มุมปากยิ้มอย่างเย็นชา

“หรงหยัง นายอยากเอาคืนแทนลูกน้องนายเหรอ?” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “งั้นผมก็จะทำให้คุณสมหวัง”

“เอาอย่างนี้ ถ้าคุณรับท่าผมได้หนึ่งท่า ก็ถือว่าคุณชนะ จะทำยังไงกับผมก็ได้” หลินอิ่งพูดอย่างเชื่องช้า “ถ้าคุณรับไม่ได้ ก็พาผมไปหาจี้ฉงซาน กล้าไหม?”

“นาย” หรงหยังสีหน้าตะลึง จากนั้นก็โมโหมาก หลินอิ่งนี่เป็นการดูหมิ่นเหยียดหยามอย่างสิ้นเชิง

รับมือเขาหนึ่งท่าก็ถือว่าชนะ?

สำหรับคนฝึกวิชาแล้ว ไม่มีอะไรเหยียดหยามมากกว่านี้แล้ว

“เหอะเหอะเหอะ” หรงหยังโกรธมากจนหัวเราะ “ตอนแรกฉันคิดว่านายยโสอวดดี แต่วันนี้ดูแล้ว ก็แค่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ”

“นายรู้ไหมว่าฉันหรงหยังเป็นใคร? นายรู้หรือไม่ ท่ามกลางวงการลึกลับ มียอดฝีมือเท่าไหร่?”

“คิดอยากทำอะไรก็ทำ นายคิดว่าตัวเองรู้วิชากังฟูดีมากเหรอ?”

หรงหยังถามต่อเนื่อง แววตาก็เฉียบคมขึ้น แปร่งประกายความแข็งแกร่งอย่างไม่ยอมแพ้

เสียงชิ้วชิ้ว ทันใดนั้น ก็มีลมปลิวขึ้น

ล้อเล่นอะไร ลำดับยอดฝีมือ นั่นหมายถึงความสามารถและตำแหน่ง

ลำดับยอดฝีมือในรายการแห่งคนทั้งหมดมีร้อยแปดคน เขาหรงหยังสามารถฆ่ายอดฝีมือในลำดับ ในวงการลึกลับนี้ มีใครกล้าเหยียดหยาม?

ยกเว้นหลินอิ่งจะเป็นสุดยอดฝีมือเกินกว่าในลำดับ

ในลำดับยอดฝีมือก็มีเพียงเท่านั้น หรงหยังรู้จักทุกคนจนท่องชื่อได้

สำหรับหลินอิ่งคนนี้ ในแวดวงลึกลับนั้นไร้ชื่อเสียง ยังกล้ามาอวดดีกับเขาอีก?

“พูดแค่ว่า คุณกล้าหรือไม่กล้า” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

เขารู้ดี คนอย่างหรงหยัง มีความยโสและศักดิ์ศรีของตัวเอง

เงินทองและอำนาจ ถึงแม้จะเอาความเป็นความตายมาบีบ ก็ไม่อาจบีบบังคับให้หรงหยังมาช่วยเขาทำงานอย่างเต็มใจได้ พาตัวเองหาจี้ฉงซาน

หากลองฝีมือวิชาการต่อสู้ ก็สามารถทำให้หรงหยังยอมอย่างเต็มใจ

สู้กับคนแบบไหน ก็ต้องใช้วิธีแบบนั้น

จ่ายยาให้ตรงตามโรค ไม่มีข้อเสีย

หลินอิ่งรู้หลักการดี

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท