ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 426 ลงมือดั่งสายฟ้าแลบ

บทที่ 426 ลงมือดั่งสายฟ้าแลบ

วันที่สอง

เกาะวงดาว คฤหาสน์เชียงปิง

แม่น้ำเชียงปิง สายน้ำไหลแรงเชี่ยว บนแม่น้ำ มีเสียงดังโครงโครงโครง

เห็นเพียง เฮลิคอปเตอร์สีดำเป็นคันๆ บินไปสู่คฤหาสน์เชียงปิง

“นี่เป็นเฮลิคอปเตอร์มาจากไหน? ทำไมดูแล้วเหมือนเป็นของกองพิเศษหวู่อัน?”

“สถานการณ์อะไร? หรือจะมีคนกล้าสร้างความวุ่นวายที่คฤหาสน์เชียงปิง?”

ภายในคฤหาสน์เชียงปิง บอดี้การ์ดลาดตระเวนแต่ละชุด มองดูเครื่องบินแต่ละลำที่บินอยู่เหนือฟ้า สีหน้าเปลี่ยน

มองเห็นจากที่ไกล เฮลิคอปเตอร์ทุกลำมีคนในชุดเกาะพร้อมอาวุธปืน

ท่าทางนั้น เห็นได้ชัดเจนว่าจะทำการใหญ่

“รีบไปรายงานท่านหลิวสฺยงว่าเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”

ทีมบอดี้การ์ดลาดตระเวนในคฤหาสน์เชียงปิง รีบกระจายตัววิ่งไปทั่วทุกทิศ

ฮวั๊ก

เชือกสลิงเป็นเส้นๆหย่อนลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ ชายหน้าโหดในชุดปฏิบัติการสีดำแต่ละนาย ถืออาวุธปืนลงมาจากเครื่องบินอย่างเป็นระเบียบ วิ่งเข้าไปในสนามกอล์ฟอย่างรวดเร็ว ล้อมสถานที่นี้ไว้

ต่อมา เฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งก็จอดลงในคฤหาสน์เชียงปิง

ท่ามกลางชายชุดสูทหลายนาย หลินอิ่งค่อยๆลงจากเฮลิคอปเตอร์

ข้างกายเขา คือหรงหยังที่สีหน้าเคารพ

“อาจารย์หลิน จากตำแหน่งที่ผมคุยโทรศัพท์กับจี้ฉงซานครั้งก่อน ที่นี่ก็คือสถานที่พักของจี้ฉงซาน” หรงหยังพูดอย่างจริงจัง

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย ยืนไขว้มือ เดินเข้าไปในสนามกอล์ฟ

เมื่อคืนหลังจากปราบหรงหยังแล้ว เขาออกคำสั่งเด็ดขาดให้หรงหยังทำงานข้ามคืนให้หาตำแหน่งของจี้ฉงซานให้ได้ รีบหาคนมาจัดการเรื่อง

หรงหยังเป็นหัวหน้าแก๊งของกลุ่มย่อยเมืองก่างแก๊งหยางเหมิน อำนาจทรัพยากรที่สามารถใช้ในเมืองก่าง ไม่ธรรมดา

วันนี้ ก็เรียกเฮลิคอปเตอร์และลูกน้องในกลุ่มย่อยแก๊งหยางเหมินมาล้อมที่พักของจี้ฉงซานไว้

มาถึงสนามกอล์ฟ มีโต๊ะอย่างประณีตตัวหนึ่ง มีเก้าอี้สองใบ

บนโต๊ะมีน้ำชาสองแก้ว มีควันร้อนปลิวขึ้น

เสมือนคนสองคนที่ดื่มน้ำชา เพิ่งจากไปไม่นาน…….

หลินอิ่งถือน้ำชาแก้วหนึ่ง แววตาเริ่มคมลึกขึ้น

“หัวหน้าแก๊งหรง คฤหาสน์เชียงปิงถูกควบคุมไว้หมดแล้ว ฟังลูกน้องจี้ฉงซาน หลิวสฺยงบอกว่าจี้ฉงซานเพิ่งไปไม่นาน หนีไปอย่างรีบร้อน”

หรงหยังสีหน้าเปลี่ยน มองไปที่หลินอิ่ง ในแววตามีความตื่นตระหนก

“อาจารย์หลิน……นี่ นี่ผมไม่รู้ว่ามันสถานการณ์อะไร……ผมมั่นใจว่า ก่อนหน้านี้จี้ฉงซานพักอยู่ที่นี่จริง” หรงหยังพูดด้วยเหงื่อท่วมหัว

เขากลัวว่าหลินอิ่งจะโมโหมาในตัวเขาเพราะว่าหาจี้ฉงซานไม่เจอ

“คฤหาสน์เชียงปิง มันสถานการณ์อะไรกันแน่?” หลินอิ่งถาม

ชายชุดดำคนหนึ่งพูด “อาจารย์หลิน เมื่อกี้ผมได้ยินมาจากปากของบอดี้การ์ดในคฤหาสน์ ครึ่งชั่วโมงที่แล้วจี้ฉงซาน ยังดื่มชากับผู้หญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง จากนั้นเหมือนได้รับโทรศัพท์ ก็รีบออกจากคฤหาสน์พร้อมกับผู้หญิงคนนั้นด้วยเฮลิคอปเตอร์ ออกไปตั้งแต่ห้านาทีก่อน”

“ได้ยินว่า จี้ฉงซานไปอย่างเร่งรีบ ไม่ได้สั่งอะไรไว้กับลูกน้องเลย”

“ไปเมื่อห้านาทีที่แล้ว? พร้อมหญิงวัยกลางคน?” หลินอิ่งขมวดคิ้ว พูดว่า “เอาตัวหลิวสฺยงมาถาม”

“ครับ”

ไม่นาน ชายหนุ่มชุดดำก็คลุมตัวชายวัยกลางคนชุดสูทสีดำมา

ชายวัยกลางคนมองหลินอิ่ง สีหน้าเคร่งขรึม

เขาก็คือพ่อบ้านใหญ่ของจี้ฉงซาน หลิวสฺยง และยังเป็นรองประธานของบริษัทวั่นซาน

“จี้ฉงซาน ไปตั้งแต่เมื่อไหร่? ผู้หญิงที่ดื่มชากับเขาคือใคร?” หลินอิ่งมองหลิวสฺยง ถามด้วยเสียงเย็นชา

วินาทีที่สบตากับหลินอิ่ง แววตาหลิวสฺยงหวาดกลัว ตัวสั่นกระตุก

เขารับรู้ถึงแรงสังหารอันรุนแรงในตัวหลินอิ่ง เหมือนสามารถฉีกเขาเป็นชิ้นๆได้ตลอดเวลา

“ผม ผมไม่รู้ หลิน คุณหลิน……” หลิวสฺยงพูดด้วยเสียงสั่น “ก่อนที่นายท่านจี้จะไป ไม่ได้บอกผมเลย ผมก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์อะไร”

“หญิงวัยกลางคนคนนั้น ก็ค่อนข้างลึกลับ เมื่อก่อนผมไม่เคยเห็นเขาที่เมืองก่างเลย” หลิวสฺยงพูดไปด้วยเหงื่อท่วมหน้าผาก “ตอนที่นายท่านจี้คุยกับผู้หญิงคนนั้น ผมไม่มีสิทธิ์เข้าไป……ดังนั้น ไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับเธอเลย”

ในใจหลิวสฺยงรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่สุด

เขารู้เรื่องหลินอิ่ง ยังเคยติดตามจี้ฉงซานไปที่ตี้จิง จับตัวหยูจื๋อเฉิงลูกน้องของหลินอิ่งมาที่เมืองก่าง ขังไว้ในคฤหาสน์เชียงปิง

ดังนั้น เขารู้ดีว่าชายหนุ่มตรงหน้า เป็นศัตรูที่นายท่านจี้จะจัดการตลอดเวลา และเป็นคนโหดคนหนึ่ง

หลิวสฺยงไม่รู้ว่าสถานการณ์อะไร นายท่านจี้ออกจากคฤหาสน์เชียงปิงไปกะทันหัน อย่างรีบร้อน ไม่ได้ทักทายสั่งเสียอะไรกับเขาเลย

ต้องรู้ว่า เมื่อวาน เขายังช่วยนายท่านจี้จัดการเรื่องธุรการเกี่ยวกับธุรกิจ จะทำการเอาคืนหลินซื่อกรุ๊ปของหลินอิ่ง

ทำไม วันนี้เพิ่งตื่นมา ก็ถูกหลินอิ่งมาหาถึงบ้าน?

แม้แต่เถ้าแก่จี้ฉงซานก็หนีไปแล้ว?

หลินอิ่งค่อยๆหลับตา

ดูแล้ว ข่าวกรองของจี้ฉงซาน เก่งกว่าที่เขาคาดไว้เยอะ

ครั้งนี้ ปฏิบัติการของเขาถือว่ารวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบแล้ว

เมื่อคืนเพิ่งปราบหรงหยังคนที่จี้ฉงซานส่งมา ตอนเช้าก็พาคนมาหาจี้ฉงซาน ปรากฏว่ายังให้เขาหนีไปได้อีก?

แม้แต่เสียงลมนิดเดียวก็ปิดสุนัขจิ้งจอกตัวนี้ไม่ได้

หญิงวัยกลางคนลึกลับคนนั้นที่คุยกับจี้ฉงซาน?

ดูแล้ว เป็นไปได้อย่างสูงว่าจะเป็นเหวินเทียนเฟิ่งแห่งตระกูลเหวิน……

“หยูจื๋อเฉิงอยู่ไหน?” หลินอิ่งถามเสียงเรียบ

หลิวสฺยงรีบพูด “คุณหลิน หยูจื๋อเฉิงยังขังอยู่ในคฤหาสน์เชียงปิง ผมรู้ว่าอยู่ไหน ปกติผมเป็นคนเฝ้าเขาเอง”

“คุณหลิน ผม ผมหวังว่าคุณจะไว้ชีวิตผม ผมแค่เป็นคนจัดการธุรกิจแทนนายท่านจี้เท่านั้น” หลิวสฺยงพูดอย่างกล้าๆกลัวๆ

เผชิญหน้ากับคนระดับหลินอิ่ง ในใจเขารู้สึกกลัวมาก

“อย่างนั้น ก็ต้องดูว่าคุณมีค่าแค่ไหน” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ “พาผมไปหาเขา ถ้าหยูจื๋อเฉิงไม่เป็นไร คุณ อาจจะมีชีวิตต่อได้”

“วางใจครับ คุณหลิน ถึงแม้หยูจื๋อเฉิงจะถูกขัง แต่ไม่ได้ฆ่าเขา เขายังมีชีวิตอยู่” หลิวสฺยงรีบพูด

ไม่นาน หลินอิ่งพาคนมาถึงบ้านหรูหลังหนึ่งในคฤหาสน์เชียงปิง

หน้าประตูทางเข้า มีชายจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายคน ถูกลูกน้องหรงหยังควบคุมไว้

ปัง

หลินอิ่งเดินไป ถีบประตูเหล็กกระเด็น

ภายในคฤหาสน์แสงไฟสว่างไสว มีชายวัยกลางคนหน้าตาเคร่งขรึมคนหนึ่งถูกล่ามโซ่ไว้

บาดแผลเต็มร่างกาย รอยเลือดเต็มไปหมดบนกล้ามเนื้ออันบึกบึน มีร่องรอยจากการถูกเฆี่ยน

ส่วนบนพื้น ยังมีรอยเลือดเป็นจุดๆ

สภาพดูแล้วช่างโหดเหี้ยมนัก

ชายวัยกลางคนท่าถูกมัดไว้นั้นก็คือ หยูจื๋อเฉิง

ความโมโหในใจหลินอิ่งปะทุขึ้นมา แววตาเริ่มเย็นชาขึ้น

หรงหยังเดินเข้าไปอย่างรู้หน้าที่ ใช้มือเปล่าหักโซ่ ปล่อยตัวหยูจื๋อเฉิงลง และใช้มือตรวจชีพจรเพื่อเช็กร่างกา

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท