ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 427 เหมือนก้างปลาในลำคอ

บทที่ 427 เหมือนก้างปลาในลำคอ

“อาจารย์หลิน หยูจื๋อเฉิงไม่มีอันตรายต่อชีวิต ดูแล้วถูกทรมานอย่างหนัก แต่ว่า เขาร่างกายแข็งแรงกว่าคนทั่วไป ไม่ได้กระทบต่อภายใน” หรงหยังพูดอย่างจริงจัง

หลินอิ่งพยักหน้า เหตุการณ์ยังอยู่ในความคาดการณ์ของเขา จี้ฉงซานกับตัวหยูจื๋อเฉิงไป เพื่อเป็นเหยื่อ ดังนั้นจึงไม่ได้ฆ่า

หลินอิ่งเดินเข้าไป ยื่นมือไปจับข้อมือหยูจื๋อเฉิง จากนั้นสองนิ้วบีบแน่น จากนั้นก็ตีตรงข้อมือต่อเนื่อง จี้จุดชีพจรหลายจุด

“พร๊วก”

หยูจื๋อเฉิง กระอักเลือดสีดำออกมา แล้วค่อยๆลืมตา

“นี่…..อิ่ง ท่านอิ่ง” หยูจื๋อเฉิงมองหลินอิ่งตรงหน้า ด้วยความรู้สึกตื้นตัน

“เป็นอะไรมากไหม?” หลินอิ่งถามสีหน้าจริงจัง

“ไม่เป็นไร ไอ้สุนัขจิ้งจอกจี้ฉงซานมันทรมานผม ผมยังทนได้ แค่ความเจ็บเนื้อหนังเท่านั้น ไม่ถึงกับชีวิต”

หลินอิ่งพยักหน้า พูดจริงจัง “เรื่องนี้ลำบากคุณแล้ว กลับไปแล้วพักฟื้นให้ดี ผมจะจ่ายสูตรยาให้”

หยูจื๋อเฉิงพูด “ขอบคุณท่านอิ่ง……”

หลินอิ่งพาคนออกจากคฤหาสน์เชียงปิง

คนที่จี้ฉงซานเก็บไว้ในสถานที่ลับแห่งนี้ ไม่มีค่าอะไรแล้ว เป็นแค่คนใช้บอดี้การ์ดเท่านั้น ยังมีผู้จัดการด้านธุรกิจ นำไปสู่ข่าวกรองใจกลางสำคัญของจี้ฉงซานไม่ได้

ต่อมา ไพ่อย่างหรงหยัง ก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้อีกแล้ว

แต่ว่า ปราบไพ่อย่างหรงหยังได้ก็มีผลสามารถช่วยหยูจื๋อเฉิงออกมาได้ ก็ถือว่าเป็นข่าวดี

สถานการณ์ตอนนี้ อำนาจในเมืองก่าง ก็ควบคุมอยู่ในมือของเขาแล้ว

หลังจากออกจากคฤหาสน์เชียงปิงแล้ว

หลินอิ่งหยิบมือถือออกมาด้วยแววเคร่งขรึม

คนอย่างจี้ฉงซาน ก็เหมือนก้างปลาในคอ

ไม่รู้คิดแผนการชั่วร้ายอะไรในที่ลับกับเหวินเทียนเฟิ่ง

วางแผนในเมืองก่างตั้งนานแล้ว ได้เวลาแล้ว ที่จะเล่นงานอย่างหนักกับจี้ฉงซาน

คิดไปแล้ว หลินอิ่งก็โทรศัพท์

“ฉู่สงซาน คุณเตรียมทุกอย่างไว้ คืนนี้ คุณนัดนักข่าวเพื่อทำการแถลงข่าว” หลินอิ่งพูดเรียบเฉย “อีกอย่าง ให้หยินต้าชิวนักประชุมสมาคมธุรกิจเมืองก่าง วันนี้ คุณไปสำนักงานใหญ่สมาคมธุรกิจเมืองก่างรอบหนึ่ง”

…….

ฝั่งทะเลเมืองก่าง เกาะไห่เทียน

ที่นี่คือเกาะเล็กๆที่อยู่ใกล้ทะเล ระยะร้อยกิโลเมตรมีเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆแห่งหนึ่ง เงียบเหงาไร้คน

เวลาเที่ยงวัน แสงแดดจ้า

เครื่องบินส่วนตัวลำหนึ่งมาเทียบจอดอยู่กลางเกาะ

ที่กลางเกาะ รอบล้อมด้วยป่าไม้ เป็นคฤหาสน์ส่วนตัวอันหรูหราเป็นหลังๆ เหมือนดั่งรีสอร์ตตากอากาศแห่งหนึ่ง

หน้าประตูคฤหาสน์ทุกหลัง มีชายแว่นดำยืนเรียงกันเป็นแถว ใส่ชุดทหาร พวกเขาทุกคนต่างสีหน้าโหดเหี้ยม หน้าตาแบบคนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ที่นี่คือฐานฝึกอบรมส่วนตัวของจี้ฉงซาน ทุ่มเงินลงทุนไปพันล้าน ใช้สำหรับฝึกฝนนักฆ่ามืออาชีพในปฏิบัติการลับ และมีระบบการป้องกันและอาวุธอย่างแข็งแกร่งเพียบพร้อม

เครื่องบินส่วนตัวลงจอดในเขตคฤหาสน์หลังหนึ่ง หญิงวัยกลางคนสวมเสื้อลำลองคนหนึ่งเดินลงมา ตามมาด้วยชายวัยกลางคนที่ถือผ้าเช็ดหน้าคนหนึ่ง

“นายท่านจี้ ทหารรับจ้างหน่วยที่สามที่ท่านเรียกมา ได้มาถึงหมดแล้ว”

“ทหารลับตระกูลจี้ กำลังอยู่ระหว่างทางมารวมตัว”

ชายหนุ่มแว่นดำพร้อมอาวุธยืนเรียงแถวกัน ต้อนรับอย่างเคารพ

หัวหน้าชายชุดดำคนหนึ่ง รายงานอย่างเคร่งขรึม

“ได้ รีบจัดเตรียมให้เข้าที่ ต้องรับประกันความปลอดภัยของเกาะนี้อย่างดี” จี้ฉงซานเช็ดเหงื่อไปด้วยพูดไปด้วยสีหน้าซีดขาว

วันนี้ที่เกาะวงดาวคฤหาสน์เชียงปิง เขายังนั่งดื่มชาคุยกับเหวินเทียนเฟิ่ง ก็ได้รับคำเตือนจากคนข้างบนว่า หลินอิ่งฆ่าไปถึงที่แล้ว

ตกใจจนโรคหัวใจกำเริบ ไม่ได้สั่งเสียอะไรเลย รีบขึ้นเครื่องหนีออกจากเขตเมืองก่าง

หลินอิ่ง ให้ความกดดันเขาหนักมาก

โดยเฉพาะ เด็กคนนี้ทำงานรวดเร็วจนน่ากลัว

เมื่อคืนเขาเพิ่งให้หรงหยังไปทดสอบหลินอิ่ง ปรากฏว่ายังไม่ถึงสิบสองชั่วโมง หลินอิ่งก็พลิกเหตุการณ์พาหรงหยังฆ่ามาถึงที่พักของเขา ถ้าไม่ใช่หนีได้เร็ว คงถูกหลินอิ่งแยกชิ้นส่วนไปแล้ว

ฝีมือระดับหลินอิ่ง ช่างทำให้คนไม่อยากเชื่อจริงๆ ยอดเยี่ยมเหลือเชื่อ

“หลินอิ่งคนนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ ชีวิตนี้ฉันยังไม่เคยเจอเหตุการณ์อันตรายขนาดนี้มาก่อน เกือบตายไปแล้ว” จี้ฉงซานพูดเคร่งเครียด ท่าทางตกใจ

“นายท่านจี้ นี่ก็ลงจอดอย่างปลอดภัยแล้ว ก็แค่ตกใจไม่มีอันตรายอะไรแล้ว” เหวินเทียนเฟิ่งพูดอย่างเชื่องช้า สีหน้าเรียบเฉย “คุณวางใจเถอะ มีผู้ใหญ่ข้างบนท่านนั้นอยู่ หลินอิ่งก็เป็นแค่ปลาในกระด้งเท่านั้น ทุกการเคลื่อนไหวของเขา ไม่พลาดสายตาของท่านไปแน่นอน”

จี้ฉงซานสีหน้าเคร่งเครียด มองเหวินเทียนเฟิ่ง อยากพูดแต่ก็เงียบ

ตามนี้ ทั้งสองจากการปกป้องของบอดี้การ์ด มาถึงในคฤหาสน์หลังหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง สั่งคนรับใช้ให้นำน้ำชามาเสิร์ฟ

จี้ฉงซานนั่งลง ดื่มน้ำชาไปคำหนึ่ง ถึงรู้สึกโล่งใจ มองรอบโซฟาอันสบาย

วินาทีนี้ เขาถึงรู้สึกโล่งอก

มาถึงที่ส่วนตัวที่มีการป้องกันอย่างเข้มงวดแห่งนี้ เขาถึงรู้สึกปลอดภัย

หลินอิ่งคนนี้ โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว

“หลินอิ่งคนนี้ไม่ตาย ฉันก็คงไม่ได้หลับอย่างสบาย” จี้ฉงซานดื่มชาไปคำหนึ่ง แล้วพูดขึ้น

“นายหญิงเหวิน คุณรีบรายงานผู้ใหญ่ท่านนั้น ให้เขารีบจัดคนไปจัดการหลินอิ่งเลย”

เหวินเทียนเฟิ่งขมวดคิ้ว พูดว่า “ฉันเคยบอกตั้งนานแล้ว บอกให้คุณอย่าใจร้อน คุณทนไม่ไหวเอง ตัดสินใจไปหาคนของแก๊งหยางเหมินเอง ผลลัพธ์ละ คนของแก๊งหยางเหมินพึ่งไม่ได้แม้แต่น้อย แปรพักตร์เลย ทำให้แผนของพวกเราเสียหายหมด”

“หรงหยังแปรพักตร์ นี่เป็นเรื่องที่ผมคิดไม่ถึงเลย เรื่องนี้ผมคาดการณ์พลาดเอง” จี้ฉงซานพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หรงหยังติดหนี้บุญคุณผม อีกอย่างคนคนนี้โลภในเงินทอง ร่วมงานกับผมในธุรกิจ”

“ใครจะไปคิดถึง เวลาแค่ชั่วค่ำคืน หรงหยังจะไม่ห่วงเรื่องทรัพย์สินกิจการในเมืองก่าง ไปยืนอยู่ฝั่งหลินอิ่ง?”

จี้ฉงซานไม่ได้นอนทั้งคืน ก็เพราะรอข่าวจากหรงหยังว่าจะเป็นข่าวดีอะไร ปรากฏว่า หรงหยังกลับพานักฆ่าโหดทั้งฝูง และพาหลินอิ่งมาเอาชีวิตเขา

“วันนี้ เหยื่ออย่างหยูจื๋อเฉิงพวกเราก็ไม่มีแล้ว” จี้ฉงซานพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “อีกอย่าง หลินอิ่งร่วมมือกับฉู่สงซาน ยืนในเมืองก่างอย่างหนักแน่นแล้ว พวกเราสูญเสียสิทธิ์อำนาจในการควบคุมไปแล้ว”

“เหอะ……ดูถูกหลินอิ่งไปหน่อย มาเมืองก่างไม่ถึงไม่ถึงเดือน ก็บีบคุณจนมุมเลย” เหวินเทียนเฟิ่งยิ้มและพูดอย่างเย็นชา “ต่อจากนี้ คุณก็อยู่ที่นี่ควบคุมธุรกิจเมืองก่าง ให้ความร่วมมือกับปฏิบัติการของฉัน แผนการจัดการหลินอิ่ง เดี๋ยวฉันจะรายงานผู้ใหญ่ท่านนั้น”

“ไม่ต้องใช้เวลานาน รอเวลาที่เหมาะสม ผู้ใหญ่ท่านตกลง ก็คือวันตายของหลินอิ่ง”

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน