บทที่ 434 ฝีมือกระจอกไม่คุ้มกับการเอ่ยถึง
ในขณะเดียวกัน
ณ เกาะไห่เทียน แถบทะเลของเมืองก่าง
จู่ๆก็มีเครื่องบินลำหนึ่งบินตรงมายังเกาะ มีกลุ่มนักธุรกิจสวมชุดสูททางการกลุ่มหนึ่งลงมา ก่อนจะวิ่งเข้าไปยังวิลล่าหรูที่อยู่ตรงเขตส่วนกลางด้วยความรีบร้อน
ภายในวิลล่า จี้ฉงซานนั่งอยู่บนเก้าอี้ ตรงหน้าเป็นโต๊ะไม้จันทร์ยาวที่ดูดีมีสไตล์หนึ่งตัว มีพวกของว่างที่ดูน่ารับประทานวางอยู่ประมาณยี่สิบสามสิบชุด
“พ่อ!เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!งานทางส่วนของบริษัท เกิดความวุ่นวายไปหมดแล้วครับ!”
“คุณท่านจี้ เมืองก่าง คำวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนเมืองก่างรุนแรงถึงขีดสุดแล้วครับ ทางด้านของตลาดหุ้น พวกเราก็ควบคุมเอาไว้ไม่อยู่แล้ว”
ชายหนุ่มสวมชุดสูทสีน้ำเงินคนหนึ่งเข้ามาข้างในวิลล่า มีคนแก่ที่ดูเหมือนพ่อบ้านคนหนึ่งยืนอยู่ข้างๆ แล้วก็พวกสมาชิกทางธุรกิจอีกหนึ่งกลุ่ม
พวกเขาทุกคนต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียด เหงื่อไหลอาบเต็มหน้าผาก เหมือนกับกำลังได้รับความกดดันอย่างหนัก
จี้ฉงซานสีหน้านิ่งเฉย คีบเสี่ยวหลงเปาสองลูกเข้าปากไปอย่างช้าๆ ชิมรสชาติของชาไปหนึ่งจิบ แล้วค่อยเอากระดาษในมือของคนใช้ มาเช็ดปาก
“พ่อ สถานการณ์เข้าขั้นวิกฤตแล้วนะ พวกคุณลุงที่ถือหุ้นในบริษัทเริ่มโทรศัพท์กันมาแล้ว ถามว่าพ่อจะรับมือยังไง”ชายหนุ่มชุดสูทถามขึ้นด้วยความกระวนกระวาย
“คุณท่านจี้ ตอนนี้ทุกสื่อต่างเขียนข่าวโจมตีคุณกันหมดแล้ว ทางด้านของประชาสัมพันธ์ก็จัดการรับมือยากด้วย ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชื่อเสียงของบริษัทนะครับ ตอนนี้ตลาดหุ้นก็หยุดชะงักแล้วด้วยครับ”คนแก่สวมชุดสูทที่ดูเหมือนพ่อบ้านพูดขึ้นด้วยความกังวล
สารคดีเบื้องหลังที่เหี้ยมโหดโด่งดังไปทั่วอินเทอร์เน็ต สำหรับบริษัทวั่นซานของจี้ฉงซานแล้ว ถือว่าเป็นระเบิดนิวเคลียร์หนึ่งลูกเลยก็ว่าได้ ได้รับผลกระทบไปทั่วทุกด้าน ทำให้บริษัทได้รับแรงกดดันที่มหาศาล ไม่สามารถตอบโต้กลับไปได้
ไม่ว่ายังไง ของที่หลินอิ่งเอาออกมา นั่นก็เป็นหลักฐานสำคัญที่แน่นหนาสุดๆ
ถ้าไปบังคับให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์ช่วยลบล้างความผิดให้ ก็มีแต่จะยิ่งเน้นความผิดให้ชัดมากขึ้นเท่านั้น
“ฉันรู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว”จี้ฉงซานพูดขึ้นอย่างนิ่งเฉยไม่แยแสอะไร
ในมือของเขาถือหนังสือพิมพ์ประจำวันฉบับล่าสุดไว้หนึ่งฉบับ ใบหน้าที่เหี่ยวย่น ยิ้มอย่างดูถูกเย้ยหยัน
“แล้ว ท่านวางแผนจะรับมือกับวิกฤตในครั้งนี้ยังไงครับ?”ชายแก่ชุดสูทพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง“คุณท่านจี้ ทางด้านครอบครัวของภรรยาของคุณ กำลังกระวนกระวายอยู่ไม่สุขกับเรื่องนี้ พวกเขาให้ผมมาปรึกษากับคุณโดยเฉพาะน่ะครับ”
“ใช่ๆ พ่อ พวกพี่ใหญ่พี่รอง พอได้ยินเรื่องนี้แล้ว ก็รีบกลับจากราชอาณาจักรบริเตนใหญ่มายังเมืองก่างทันทีเลย เพราะว่าเป็นห่วงพ่อ ส่วนในบ้าน ก็เละวุ่นวายกลายเป็นโจ๊กกันหมดแล้ว”ชายหนุ่มชุดสูทพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ใครให้พวกแกกลับมาเมืองก่างล่ะ?”จี้ฉงซานขมวดคิ้ว สีหน้าเย็นชา“จี้ชวน ฉันเคยสอนแกแล้วใช่ไหม? ว่าเวลาเจอปัญหาใหญ่ๆต้องเงียบสงบเอาไว้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ แกเล่นทำซะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ต่อไปจะไปบริหารจัดการธุรกิจได้ยังไง?”
“เหอะ!”
จี้ฉงซานสบถหึออกมา แสดงถึงความไม่พอใจ
พอเห็นพ่อโมโห จี้ชวนสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที นอบน้อมเชื่อฟังแต่โดยดี
ไม่ว่ายังไง จี้ฉงซานก็เป็นผู้ก่อตั้งตระกูลจี้แห่งเมืองก่างขึ้นมา เขาพูดคำไหนคำนั้น มีศักดิ์ศรีและความน่าเกรงขามมาก
ทั้งตระกูลจี้ ต่างก็พึ่งพาอาศัยเขาทั้งนั้น
“ขอโทษครับ พ่อ เป็นเพราะผมเป็นห่วงพ่อ ถึงยังไงเรื่องมันก็ใหญ่โตขนาดนี้แล้ว ทางด้านของพวกแม่กับพี่ๆก็นั่งกันไม่ติดแล้ว”
จี้ชวนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“พวกคุณลุงมากมาย ก็รออยู่ตรงประตู พ่อจะกลับเข้าไปในเมือง เพื่อไปสงบสติอารมณ์ของทุกคนลงก่อนไหม?”
จี้ชวนก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าพ่อที่เย่อหยิ่งทะนงตัวของตัวเอง ครั้งนี้ไปมีเรื่องกับใครเข้า ถึงได้เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ สื่อข่าวต่างๆต่างก็กระจายข่าวไปทั่วประเทศหลุงแล้ว!
แถมนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นพ่อระมัดระวังตัว ถึงได้มาแอบอยู่ในสถานที่ลับที่เกาะแบบนี้ แม้แต่คนในครอบครัวก็ยังติดต่อไม่ได้
“ตอนนี้ฉันยังกลับไปในเมืองไม่ได้”จี้ฉงซานพูดขึ้นด้วยสีหน้าเข้มงวด“จี้ชวน แกเป็นลูกชายที่ฉันไว้ใจที่สุด เรื่องทางบ้าน ฉันขอมอบให้เป็นหน้าที่ของแกก็แล้วกัน ไปคุยกับพวกพี่ๆของแกให้เข้าใจ ให้พวกเขารีบกลับไปที่บริเตนใหญ่ซะ เมืองก่าง ไม่ใช่ที่ที่พวกเขาควรจะอยู่!”
“ครับพ่อ!ผมจะกลับไปพูดกับพวกพี่ๆให้ครับ”จี้ชวนพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“อือ”จี้ฉงซานพยักหน้า“ฉันจะบอกพวกแกว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่ไอ้ชั่วที่ก่อปัญหาอาละวาดไปทั่วคนเดียวเท่านั้น”
พอได้ฟังแบบนี้ คนแก่ชุดสูทกับจี้ชวน สีหน้าก็ตกตะลึงทันที
ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรอีกเหรอ?
ข่าวฉาวแพร่กระจายไปทั่ว เบื้องหลังที่โหดเหี้ยมถูกพวกชาวเน็ตต่างพากันด่าทอต่อว่าด้วยความโกรธแค้น
นี่ยังไม่เท่าไรนะ
ไหนจะถูกถอนออกจากตำแหน่งหัวหน้าสมาคมของสมาคมธุรกิจ ตลาดหุ้นของบริษัทตัวเองหยุดชะงักอีก
แถมผู้ช่วยคนสำคัญของพ่อ หลิวสฺยงก็ไม่รู้หายสาบสูญไปไหน รองหัวหน้าสมาคมหลี่ที่ส่งเข้าไปอยู่ในสมาคมเมืองก่าง ก็ไม่มีข่าวคราวเลยสักนิด
ปัญหาโลกแตกขนาดนี้ ทำไมพ่อถึงนิ่งสงบได้อยู่?
“พ่อ พ่อประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไปใช่ไหม สถานการณ์ในตอนนี้มันโหดร้ายรุนแรงมากๆเลยนะ”จี้ชวนพูดขึ้น
“คุณท่านจี้ สถานการณ์ในตอนนี้มันร้ายแรงมากจริงๆนะครับ ถ้าปล่อยให้ข่าวฉาวในอินเทอร์เน็ตมันหมักหมมไปเรื่อยๆ อาจจะกู้กลับมาไม่ได้แล้วนะครับ บริษัทก็จะยากที่จะดำเนินต่อไปได้”ชายแก่ชุดสูทพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“นี่มันเกี่ยวข้องถึงความน่าเชื่อถือของบริษัทเลยนะครับ ถ้าเกิดประชาชนไม่มีความเชื่อถือแล้ว ต่อให้ใช้เงินเท่าไรก็ซื้อกลับมาไม่ได้แล้วนะครับ……”
ถ้าแค่ตลาดหุ้นหยุดชะงัก สูญเสียทรัพย์สินไป มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ถึงขั้นที่จะทำให้คนของตระกูลจี้ตื่นตกใจถึงขั้นวิ่งแจ้นมาตามตัวเขาที่สถานที่ลับด้วยความรีบร้อนแบบนี้หรอก
ปัญหาใหญ่ที่สุดก็คือ การสูญเสียชื่อและความน่าเชื่อถือไป ไม่สามารถที่ชดเชยคืนมาได้ ถูกคนวิพากษ์วิจารณ์จนมากถึงมากที่สุด!
พอพูดถึงตรงนี้ จี้ฉงซานสีหน้าก็ดูถูกดูแคลน สบถออกมาอย่างเย้ยหยัน
“พวกแกยังไม่เคยเจอกับโลกที่แท้จริง!อุปสรรคแค่นี้ จะกลัวอะไร?”
“แค่ศัตรูที่ฝีมือกระจอกไม่คุ้มกับการเอ่ยถึงเลยด้วยซ้ำแค่นี้น่ะเหรอ?”
“เหอะๆ น่าขำสิ้นดี”
จี้ฉงซานส่ายหัว มุมปากยิ้มอย่างเยาะเย้ย
“พวกแกนึกว่า คำวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชน จะสามารถล้มบริษัทวั่นซานที่ยืนหยัดอยู่ในเมืองก่างมานานหลายปีขนาดนี้ลงได้อย่างนั้นเหรอ?”จี้ฉงซานพูดขึ้นอย่างเย้ยหยัน
“เอาเถอะ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ฉันโทรศัพท์ไปหานายกเทศมนตรีถัง ให้เขาช่วยปิดสื่อข่าวทั้งหมดเอาไว้ซะ พอปัญหาพวกนี้มันผ่านไป ก็ไม่เป็นอะไรแล้ว”จี้ฉงซานพูดอธิบายอย่างง่ายๆ
“พ่อ พ่อจะให้นายกเทศมนตรีถังออกหน้ามาเลยเหรอ?”จี้ชวนสีหน้าประหลาดใจ
นายกเทศมนตรีของเมืองก่างถังคังเจิ้นก็คือผู้นำสูงสุดของเมืองก่าง เป็นบุคคลระดับสูงของพวกรัฐบาล ตำแหน่งเป็นถึงนายกเทศมนตรี ตำแหน่งสูงมีอำนาจ
ถังคังเจิ้นก็เป็นผู้สนับสนุนที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลจี้ในเมืองก่าง!
จี้ฉงซานยิ้มเล็กน้อยพยักหน้า โบกมือบอกส่งสัญญาณ ให้คนที่อยู่ข้างๆโทรศัพท์ออกไปทันที
หลังจากเสียงตู๊ดๆดังขึ้นสองครั้ง
ในสายก็มีคนรับ จี้ฉงซานรับมือถือมา
“ฮาโหล คุณท่านจี้ โทรมาเพราะว่าเรื่องข่าวที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันในวันนี้ใช่ไหมครับ?”
ในสาย มีเสียงนิ่งขรึมและทรงพลังของชายวัยกลางคนดังเข้ามา
“เหล่าถัง คุณนี่ช่างเข้าใจผมจริงๆ เรื่องนี้ก็ต้องรบกวนคุณออกหน้าไปช่วยจัดการกับคำวิพากษ์วิจารณ์ของพวกประชาชนแล้วสักหน่อยแล้วล่ะครับ”จี้ฉงซานพูดเปิดประเด็น
“คุณท่านจี้พวกเราเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมาหลายปี เรื่องของคุณ ก็คือเรื่องของผมอยู่แล้ว”ถังคังเจิ้นพูดขึ้น“แต่ว่า ผมอยากรู้ เหล่าจี้ คุณไปยุแหย่ใครเข้าเหรอ ถึงได้เกิดเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ได้?”
“เหล่าถัง ผมจะไม่ปิดบังแล้วกัน ผมจะบอกคุณตรงๆเลย”จี้ฉงซานพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“เป็นคนจากตี้จิง คุณชายอิ่งจากตระกูลฉีแห่งตี้จิง”
ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 434 ฝีมือกระจอกไม่คุ้มกับการเอ่ยถึง
ซุปเปอร์เจ้าสำราญ
บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย
“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’
“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”
“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”
“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”
ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ
ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่
โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่
“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”
“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”
“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”
หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”
หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans
ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา
“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”
เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว
ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้
แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!
หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย
ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี
และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย
สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว
หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง
วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย
ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต
ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง
หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย
สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่
เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง
ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ
อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่
แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!
ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..
เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ
ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย
นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก
ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง
หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก
“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”
“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง
นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย
“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”
มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน
จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร
พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี
ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย
“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”
การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!
“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น
“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น
พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ
“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”
หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร
จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป
แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย
จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”
หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์
“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย
ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย
แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว
จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”
จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก
เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”
“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น
จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น
เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย
ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..
พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย
ส่วนเธอ….
จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….
เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…