ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 431 ยังมีใครกล้าคัดค้านอีกไหม?

บทที่ 431 ยังมีใครกล้าคัดค้านอีกไหม?

“รองหัวหน้าสมาคมหลี่?”

“นี่มัน!ฆ่าคนตายแล้ว!”

“คุณพระ นี่กำลังทำอะไรน่ะ?”

คนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันแตกตื่น สีหน้าของทุกคนเผยให้เห็นถึงความตกใจกลัว

พวกเขาเห็นกับตาของตัวเอง ว่ารองหัวหน้าสมาคมหลี่ถูกฮาเดสยิงเป่าหัวไปหนึ่งนัด ตายคาที่

ถึงขนาดที่เลือดสดๆไหลออกจากโต๊ะมาอยู่ตรงด้านหน้าของพวกเขา

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลกระทบให้พวกผู้คนต่างก็รู้สึกหวาดผวาออกมาทันที สั่นไปทั้งตัวอย่างกลั้นไม่อยู่

นี่เป็นผู้ช่วยที่มีฝีมือของจี้ฉงซาน เป็นคนที่แข็งแกร่งในแวดวงการเงินของเมืองก่าง รองหัวหน้าสมาคมของสมาคมธุรกิจเมืองก่าง เป็นคนใหญ่คนโตที่มีตำแหน่งโดดเด่น!

ตอนนี้นอนตายอยู่ต่อหน้าของพวกเขาเหมือนกับหมาตัวหนึ่งเท่านั้น?

ในเวลานี้เอง บรรดาคนมีชื่อเสียงในแวดวงธุรกิจของเมืองก่างที่อยู่ที่นั่น ต่างก็ตระหนักได้ว่าทรัพย์สินอำนาจที่พวกเขามี แทบจะไม่มีค่าอะไรเลยเมื่ออยู่ต่อหน้าของหลินอิ่ง

ชีวิต มันช่างอ่อนแอขนาดนี้เชียว……

คุณร่ำรวยขนาดที่เทียบเท่ากับรัฐบาล อยู่ต่อหน้าความตายแล้ว ก็เป็นแค่มดตัวน้อยๆที่น่าสมเพชเวทนาเท่านั้น

“คุณหลิน คุณอย่าทำอะไรผลีผลามเลยนะ”รองหัวหน้าสมาคมโจ๋เหงื่อไหลเต็มหน้าผาก พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ตกใจกลัวทำอะไรไม่ถูก“เมืองก่างเป็นสถานที่ที่มีกฎบ้านกฎเมือง คุณทำแบบนี้กับรองหัวหน้าสมาคมหลี่ จะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นได้นะครับ!”

“ใช่ๆ คุณหลิน พวกเราไม่ได้มีความแค้นอะไรกับคุณ อย่า อย่ามาทำอะไรผลีผลามจะดีกว่านะครับ”รองหัวหน้าสมาคมหนีก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าตกใจกลัวเช่นกัน เริ่มพูดลิ้นพันกัน“คุณมีความแค้นกับคุณท่านจี้ แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับพวกเรา……”

คนที่อยู่ตรงนั้นก็รีบร้องขอความเมตตา ต่างพากันตัดความสัมพันธ์กับจี้ฉงซานทิ้งไปทันที เพราะกลัวว่าหลินอิ่งจะยิงปืนอีก

หลินอิ่งช่างโหดเหี้ยมจริงๆ

แค่คุยไม่ถูกคอกัน ก็ชี้นิ้วสั่งให้บอดี้การ์ดยิงปืนใส่แล้ว ไม่ให้โอกาสรองหัวหน้าสมาคมหลี่ได้ตอบสนองกลับมาเลยสักนิด แม้แต่โอกาสขอโทษสำนึกผิดก็ยังไม่มี

ถ้าเกิดพูดไม่เข้าหูล่ะก็ ต้องตายสินะ?

หลินอิ่งสีหน้านิ่งเฉย ไม่มีพูดอะไร ฮาเดสที่อยู่ใกล้ๆจุดบุหรี่ให้เขาหนึ่งมวน

หลินอิ่งสูดเข้าไปหนึ่งที ก่อนจะมองไปยังผู้คนตรงนั้นด้วยความเย็นชา จากนั้นก็พูดขึ้นอย่างนิ่งเฉย“ยังมีใครคัดค้านอีกไหม?”

ประโยคนี้ ราวกับฟ้าผ่าลงมา ทำเอาผู้คนต่างพากันใจกระตุกเต้นแรงขึ้นมาทันที สีหน้าหยุดชะงัก

บรรยากาศตึงเครียดถึงขั้นสุด ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสนิท ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจ หายใจตื้นๆ ได้ยินแค่เสียงหัวใจเต้นของพวกเขาเท่านั้น

หลินอิ่งนั่งอยู่ตรงนั้น บรรยากาศและแรงกดดันที่มากมายมหาศาลกดทับลงทันที แรงกดดันทำให้พวกเขารู้สึกถึงความสิ้นหวัง

ใช่ สถานการณ์ในตอนนี้ของพวกเขาก็คือพวกแกะที่รอถูกเชือดนั่นเอง

“คุณหลิน คุณพูดเป็นเล่นไป พวกเราไม่เคยคัดค้านต่อต้านข้อเสนอของคุณเลยนะครับ”รองหัวหน้าสมาคมโจ๋เสียงสั่น พูดขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“ผม ผมสนับสนุนคุณอยู่แล้วครับ!”

“ถูกครับ คุณหลิน คุณว่าอะไรพวกเราก็จะสนับสนุนหมด ไม่คืนคำแน่นอน!”รองหัวหน้าสมาคมหนีก็พูดประจบประแจงเช่นกัน

แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าหลินอิ่งมีอำนาจอะไรถึงสามารถท้าทายเยาะเย้ยจี้ฉงซานได้ แถมยังกล้ามาลงมือฆ่าบุคคลมีอำนาจของวงการการเงินที่สำนักงานใหญ่ของสมาคมธุรกิจเมืองก่างอีกด้วย

แต่ว่า สถานการณ์ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ สถานการณ์ในตอนนี้ พวกเขาแค่อยากที่ก้มหัวเอาชีวิตรอดเท่านั้น

ไม่ว่ายังไง มีบทเรียนจากรองหัวหน้าสมาคมหลี่แล้ว กระเป๋าใส่เงินสดดอลลาร์สองใบที่หลินอิ่งให้มานั้นก็วางอยู่บนโต๊ะ เลือกที่จะกินลูกปืนหรือว่าเลือกที่จะหยิบเงินไป คำตอบนี่มันชัดเจนอยู่แล้ว

หลินอิ่งมุมปากยกโค้ง หันไปมองรองหัวหน้าสมาคมทั้งสองคน

แน่นอนว่าเขารู้ว่าที่คนพวกนี้เปลี่ยนสีทันทีเพราะว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ปรับตัวไปตามสถานการณ์ก็เท่านั้น

“อย่าคิดว่าผมกำลังล้อเล่นกับพวกคุณอยู่นะ พูดลวกๆขอไปทีแบบนี้ไม่มีประโยชน์หรอก”หลินอิ่งค่อยๆพูดขึ้น“ถ้าพวกคุณไม่มีใครคัดค้านต่อต้านแล้วล่ะก็ รีบประกาศกับเหล่าผู้มีชื่อเสียงของเมืองก่างในนามของสมาคมธุรกิจเมืองก่างซะ ว่าสมาคมธุรกิจได้ตัดสินใจกันหมดแล้วว่าจะรื้อถอนตำแหน่งหัวหน้าสมาคมของจี้ฉงซาน”

“นอกจากนี้ คนที่ให้ความร่วมมือกับผม ก็ไปจัดงานต้อนรับพวกนักข่าวซะ ในนามของสมาคมธุรกิจเมืองก่าง จะประกาศเรื่องนี้ต่อสาธารณะ ต้องให้ทั้งเมืองก่างได้รับรู้ ว่าตำแหน่งในแวดวงธุรกิจของจี้ฉงซานได้จบสิ้นลงแล้ว”

พอคำพูดที่เด็ดขาดคำพูดนี้ของหลินอิ่งออกมา

สีหน้าของคนตรงนั้นก็ซีดขาวทันที ทุกคนล้วนแต่มีแววตาตื่นตกใจ กำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

ถ้าทำตามที่หลินอิ่งบอกมาจริงๆ ก็จะกลายเป็นว่าพวกเราอยู่ฝ่ายเดียวกับหลินอิ่งไปโดยปริยาย กับจี้ฉงซานก็จะเป็นสถานการณ์ที่ถ้าไม่ตายก็หยุดไม่ได้ไปในทันที ไม่มีโอกาสให้หันหลังกลับอีกแล้ว!

ถ้าหลินอิ่งล้มจี้ฉงซานลงได้ก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าล้มไม่ได้ พวกเขาทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ในวันนี้ ต่อไปจะต้องถูกคิดบัญชีทีหลังแน่นอน เกรงว่าแต่ละคนคงจะต้องถึงขั้นบ้านแตกมีคนตายแน่ๆ!

“คุณหลินครับ……เอ่อ คุณให้เวลาพวกเราคิดพิจารณาหน่อยไม่ได้เหรอ”รองหัวหน้าสมาคมโจ๋พูดขึ้นด้วยสีหน้าดูไม่ได้“เรื่องนี้มันใหญ่หลวงเกินไปนะครับ”

“คุณหลิน พวกเราสามารถไปประกาศต่อสาธารณะในนามของสมาคมธุรกิจเมืองก่างได้ครับ แต่ว่า อย่าให้พวกเราเปิดเผยหน้าตาได้ไหม?”รองหัวหน้าสมาคมพูดถามขึ้นลองเชิงขึ้นอย่างระมัดระวัง

หลินอิ่งสบถหึออกมา ดับบุหรี่ในมือ

“พวกคุณมีทางเลือกอื่นด้วยเหรอ?”หลินอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งเฉย“ผมไม่มีเวลาให้พวกคุณพูดพล่ามมากขนาดนั้น”

“พวกคุณไม่ต้องยุ่งอะไรทั้งนั้น ตอนนี้ทำตามที่ผมบอกก็พอ เอาเงินไปซะ”

“ในเวลานี้ ผมจะให้คนของผมดูแลความปลอดภัยของพวกคุณเอง ก่อนที่จี้ฉงซานจะพังพินาศลง พวกคุณจะไม่เป็นอันตรายอะไรทั้งนั้น”

พูดจบ หลินอิ่งก็ค่อยๆลุกขึ้น กวาดสายตามองผู้คนตรงนั้น ก่อนจะพูดขึ้น“เข้าใจไหม?”

“เอ่อ……”

หลินอิ่งไม่ให้โอกาสอะไรทั้งนั้น ภายใต้คำพูดที่เด็ดขาดแบบนี้ พวกเขาไม่กล้าคัดค้านอะไรทั้งสิ้น

คนมีอำนาจที่มีชื่อเสียงแบบพวกเขา ในตอนนี้กลับไม่มีศักดิ์ศรีหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย

เห็นได้ชัดว่า หลินอิ่งวางแผนทั้งหมดมาไว้ก่อนแล้ว พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นเลย แล้วก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเจตนาของหลินอิ่งได้เลยด้วย

ไม่อย่างนั้น ก็จะมีจุดจบแบบเดียวกับรองหัวหน้าสมาคมหลี่

ทุกการกระทำ ทุกคำพูดของหลินอิ่งในวันนี้เผยให้เห็นถึงความยโสโอหังและโหดเหี้ยม

พูดกันดีๆก่อนแล้วค่อยใช้กำลังทีหลัง เรื่องทั้งหมดทั้งมวลที่เกิดขึ้นนี้ เขาวางแผนไว้เป็นอย่างดี

ไม่แน่ว่า ชายหนุ่มสกุลหลินคนนี้ สามารถเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของเมืองก่างได้จริงๆ สามารถทำลายตำนาน จี้ฉงซานบุคคลที่ร่ำรวยอันดับต้นๆของเมืองก่างได้เลย

“ครับ คุณหลิน ผมยอมร่วมมือกับคุณ……”รองหัวหน้าสมาคมโจ๋พูดขึ้นด้วยสีหน้าหนักแน่น แสดงท่าทีออกมาคนแรก ยกกระเป๋าถือสีเงินสองใบที่วางอยู่บนโต๊ะมา

“เอาเงินไปจัดการตามแผน คุณหลิน ผมเข้าใจแล้วครับ”รองหัวหน้าสมาคมโจ๋พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“แต่หวังว่า หลังจากเสร็จงานแล้ว คุณจะไว้ชีวิตพวกเราทุกคนนะครับ”

“คุณหลิน พวกเราก็เห็นด้วยครับ……”

พอรองหัวหน้าสมาคมโจ๋ยอมก้มหัว สมาชิกของสมาคมที่อยู่ที่นั่น ทั้งหมดก็รับเงินของหลินอิ่งแล้วพากันโค้งคำนับทันที

“ดีมาก ผู้ที่รู้เวลาและหน้าที่คือวีรบุรุษ พวกเราล้วนแต่เป็นบุคคลในแวดวงธุรกิจมานาน รู้ในสิ่งที่ควรจะรู้พอ อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง”

หลิงอิ่งพูดขึ้นอย่างนิ่งเฉย

พูดจบ หลินอิ่งก็หันเดินออกจากห้องโถงไป ฮาเดสเดินตามไปข้างหลังติดๆ

“คุณหลิน กลับดีๆนะครับ”

เหล่าสมาชิกของสมาคม ก็โค้งคำนับ

หลังจากออกจากห้องโถงมาแล้ว หลินอิ่งก็พูดขึ้นอย่างนิ่งเฉย“คริส ตอนค่ำนายพาคนกลุ่มนี้ ไปช่วยฉู่สงซานจัดงานต้อนรับพวกนักข่าว แล้วก็เอาพวกเอกสารผิดกฎหมายของจี้ฉงซานและคำวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนที่เก็บรวบรวมไว้ก่อนหน้านี้ ป่าวประกาศไปให้หมด”

“ครับ!”คริสโค้งคำนับ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท