บทที่ 436 แข็งแกร่งกว่าใคร?
“คุณหลิน โปรดระวังคำพูดคำจาของคุณด้วยนะครับ!”ติงยี่จ้องมองหลินอิ่งด้วยสายตาแหลมคม สีหน้าโมโหเล็กน้อย
ตั้งแต่ที่เขามาเป็นตัวแทนพูดเจรจาแทนนายกเทศมนตรีถัง ยังไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อนด้วย!
ไม่คิดว่าจะถูกคนพูดเตือนต่อหน้าต่อตาแบบนี้
หลินอิ่งคนนี้ แม้แต่ความน่าเกรงขามของนายกเทศมนตรีถังก็ยังไม่แยแสเลยสักนิด
“คุณควรจะรู้ซะนะ ว่าที่นี่คือเมืองก่าง!ไม่ใช่ตี้จิง!ที่คุณจะมาทำอะไรตามอำเภอใจก็ได้น่ะ”ติงยี่พูดขึ้นด้วยความโมโห“ถ้าคุณยังดื้อดึงทำตามใจไม่สนอะไรแบบนี้ต่อไป เกรงว่าจะไม่จบดีแน่ๆ!”
ติงยี่โมโหสุดขีด รู้สึกเหมือนโดนดูถูก!
กะอีแค่คุณชายจากตระกูลร่ำรวยที่มาจากตี้จิงแค่คนเดียว ไม่คิดว่าจะกล้าดูถูกศักดิ์ศรีความน่าเกรงขามของท่านนายกเทศมนตรีได้ขนาดนี้?
หลินอิ่งขำเบาๆ ก่อนจะพูดขึ้นอย่างนิ่งเฉย“คำพูดนี้ของคุณ นายกเทศมนตรีถังก็เป็นคนให้คุณมาพูดเหมือนกันเหรอ?”
“หือ?”
พูดพลาง หลินอิ่งจ้องมองติงยี่ด้วยสายตาเยือกเย็น ติงยี่สีหน้าเปลี่ยนทันที ราวกับถูกฟ้าผ่า พอเผชิญหน้ากับท่าทีที่ดุร้ายแบบนี้ของหลินอิ่งแล้ว เขาก็สั่นสะดุ้งไปทั้งตัวอย่างไม่หยุดหย่อน
“ไม่……”ติงยี่รู้สึกตึงดเครียดกดดัน พูดติดๆขัดๆ
คำพูดที่นายกเทศมนตรีถังให้เขามาพูด จริงๆแล้วไม่มีประโยคนี้เลย พอเจอคำถามที่รุนแรงของหลินอิ่งเข้าไป มันทำให้เขาหมดความมั่นใจไปในทันที
“คุณ กลับไปบอกถังคังเจิ้นตามเดิม”
“สิ่งที่สื่อข่าวรายงาน ล้วนแต่เป็นหลักฐานของจริงทั้งนั้น”
“ผมหวังว่าเขา จะทำตัวเป็นกลางนะ!”
ติงยี่พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“คุณหลิน ผมจะกลับไปบอกกับนายกเทศมนตรีถังให้!ส่วนคุณก็ทำตัวให้มันดีๆล่ะ!”
หลังจากพูดจิกกัดทิ้งท้ายไปหนึ่งประโยค ติงยี่ก็พาชายสวมเสื้อธรรมดาออกไปจากอาคารสุ่ยจินอย่างรีบร้อนด้วยสีหน้าไม่ที่ไม่ยอมแพ้
พอติงยี่จากไปแล้ว ฉู่สงซานก็สีหน้าตึงเครียดทันที ครุ่นคิดอะไรอยู่ ก่อนจะพูดขึ้น“ประธานหลิน ถังคังเจิ้นท่าทางแข็งแกร่งขนาดนี้ ดูท่าความสัมพันธ์ระหว่างจี้ฉงซานคงจะไม่ธรรมดาแล้วล่ะครับ”
“ตระกูลฉู่ของพวกเรา มีคนที่พอจะพูดกับถังคังเจิ้นได้อยู่ คุณหลิน ไม่ทราบว่าจะให้ผมติดต่อให้ไหมครับ?”ฉู่สงซานถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“ผมขอบคุณความเจตนาดีของประธานฉู่มากครับ แผนของผมไม่จำเป็นต้องไปติดต่อถังคังเจิ้นเลย”หลินอิ่งตอบอย่างนิ่งๆ
ฉู่สงซานมีสถานะเป็นคนของตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน ถ้าใช้กำลังความสามารถของตระกูลฉู่จริงๆล่ะก็ แค่นายกเทศมนตรีของเมืองก่างคนเดียวเอาอยู่แน่นอน
แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆแค่นี้ เขาไม่จำเป็นต้องให้ฉู่สงซานมามาช่วยเหลือหรอก
ขนาดผู้คุมพระราชเสาวนีย์แห่งตี้จิง ท่านหลุยกงที่ทรงเกียรติ ก็ยังไม่กล้าไปข้องเกี่ยวกับเรื่องของจี้ฉงซานเลย เพราะเกรงกลัวความน่าเกรงขามของหลินอิ่ง แล้วถังคังเจิ้น นายกเทศมนตรีของเมืองก่างแค่คนเดียว จะมาทำอะไรหลินอิ่งได้?
“ถ้าอย่างนั้นประธานหลิน ตอนนี้สื่อข่าวต่างๆไม่สามารถรายงานข่าวได้ แผนการก่อนหน้านี้ของพวกเรา ก็เท่ากับว่าทำไปเปล่าประโยชน์เลยน่ะสิครับ”ฉู่สงซานพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
หลินอิ่งพูดอธิบายไปอย่างง่ายๆ“ผมบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าผมให้เวลาถังคังเจิ้นแค่สามวัน”
“ภายในเวลาสามวัน ถ้าคำวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าประชาชนยังคงถูกปิดกั้นอยู่ จะมีคนไปคุยเจรจากับเขาอย่างแน่นอน”
ฉู่สงซานสีหน้าจริงจัง ทำความเข้าใจความหมายคำพูดของหลินอิ่งอย่างละเอียดถี่ถ้วน
……
ณ ศาลากลาง ของเมืองก่าง
ติงยี่โค้งคำนับอยู่ตรงหน้าโต๊ะทำงาน พูดรายงานสถานการณ์อย่างเคารพนอบน้อม
“ให้ฉันทำตัวเป็นกลาง?”
ถังคังเจิ้นถอดแว่นออก ใช้มือเช็ดๆเลนส์แว่นตา สีหน้านิ่งขรึมบึ้งตึง
“ใช่ครับ หลินอิ่งพูดแบบนี้”ติงยี่พูดรายงานด้วยความเคารพนอบน้อม“ท่าน ไอ้คนสกลุหลินกำลังดูถูกเหยียดหยามศักดิ์ศรีของท่านชัดๆเลยนะครับ เตือนท่านว่าอย่าเข้าไปยุ่งแทรกแซงเรื่องของพวกสื่อต่างๆอีกด้วย”
“หลินอิ่งอาศัยว่าตัวเองเป็นคุณชายจากตระกูลร่ำรวยของตี้จิง ถึงได้ยโสโอหังขนาดนี้ ผมแนะนำให้ท่านจัดการสั่งสอนมันซะ ให้มันรู้ว่า เมืองก่างไม่ใช่สวนสนุกของมัน ถึงคิดจะมาเล่นอะไรได้ตามใจชอบแบบนี้ได้”
ติงยี่พูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง น้ำเสียงไม่พอใจหลินอิ่งสุดๆ
“เหอะๆ”ถังคังเจิ้นขำแห้งออกมาสองที ก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้าๆไม่รีบไม่ร้อน“วัยรุ่นไฟแรง มันก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
“แต่ก็แค่ไฟแรงเท่านั้น จะทำอะไรได้ล่ะ?”
“ท่านครับ หลินอิ่งยังบอกอีกว่า ถ้าท่านยังไปยุ่งเรื่องของเขาอีก เขาจะทำให้ท่านนั่งอยู่ในตำแหน่งนายกเทศมนตรีของเมืองก่างได้แค่สามวันเท่านั้น”ติงยี่พูดขึ้นด้วยสีหน้าตึงเครียด
พอได้ฟังแบบนั้น ถังคังเจิ้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย สวมแว่นตาอีกครั้ง สีหน้าดำมืด ในแววตาแฝงไปด้วยความโมโห
“เขาพูดแบบนี้จริงๆเหรอ?”ถังคังเจิ้นถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ผมไม่กล้ารายงานข้อมูลเท็จหรอกครับ”ติงยี่พูดขึ้น
“เหอะ”
ถังคังเจิ้นสบถเหอะออกมาอย่างเย้ยหยัน ส่ายหัว
“ไอ้หนุ่มคนนี้ จะเก่งกาจกว่าใครอย่างนั้นเหรอ?”
“เสี่ยวติง นายไปติดต่อคนของกรมพาณิชย ให้เขาสำรวจกิจกรรมทางเศรษฐกิจในเมืองก่างของหลินอิ่งหน่อย ว่ามีการทำผิดกฎระเบียบของตลาดบ้างหรือเปล่า”ถังคังเจิ้นพูดขึ้นอย่างนิ่งเฉย
“แล้วก็ ติดต่อจี้ฉงซานให้ฉันด้วย ฉันจะไปพูดคุยปรึกษากับเขาสักหน่อย”
“ครับ!”ติงยี่พยักหน้าอย่างแรง
……
ระยะเวลาสองวัน ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
คำวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนที่เกิดขึ้นครั้งที่แล้วประสิทธิภาพค่อนข้างต่ำ
จี้ฉงซานยังคงยืนหยัดอยู่ในเมืองก่างยังไม่ได้ไม่ล้มลง ใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขสุขสบายดี
ความคับแค้นใจของผู้เสียหาย ถูกผู้คนเมินเฉย
แม้ว่าคำวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนจะถูกปิดกั้นไป แต่บรรดาคนในเมืองก่างก็ยิ่งมีความโกรธแค้นต่อจี้ฉงซานเพิ่มมากขึ้น!
วันนี้
หลินอิ่งกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่ในห้องไพรเวทของร้านอาหารผองเฟย
ภายในห้องไพรเวทที่ตกแต่งอย่างสวยงามหรูหรา มีเพียงแค่คนสองคน ตรงข้ามมีชายหนุ่มแต่งกายชุดสูททางการนั่งถือแก้วชาด้วยสีหน้าจริงจัง
“คุณหลิน ขอบคุณสำหรับการต้อนรับของคุณมากเลยนะครับ ครั้งนี้ผมเป็นตัวแทนของหลุยกง มาขออภัยอย่างสูงสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นที่ตี้จริงครั้งที่แล้วครับ”ชายหนุ่มพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
หลินอิ่งพูดตอบอย่างนิ่งเฉย“หลุยกงเป็นคนเข้าใจเรื่องสถานการณ์ต่างๆดีคนหนึ่ง”
“ผมจะส่งทอดเจตนาของคุณหลินไปให้กับหลุยกงได้รับรู้ครับ”ชายหนุ่มพูดขึ้น“คุณวางใจได้ ครั้งนี้ ทีมสืบสวนของพวกเรามาด้วย จะต้องสืบเจอความสัมพันธ์ระหว่างถังคังเจิ้นกับจี้ฉงซานได้อย่างชัดเจนแน่นอน ถ้ามีการติดต่อซื้อขายอำนาจการเงินที่ไม่ถูกต้องล่ะก็ พวกเราจะต้องรายงานให้ทุกคนรู้ ทวงคืนความยุติธรรมให้กับประชาชน!”
ชายหนุ่มพูดเสียงดัง
เขาเป็นสมาชิกลับที่ท่านหลุยกงส่งมายังเมืองก่าง
การมาในครั้งนี้ ก็เพื่อมาสืบประวัติเบื้องลึกเบื้องหลังของถังคังเจิ้นโดยเฉพาะ
หลินอิ่งเข้าใจความหมายของหลุยกงดี ไม่จำเป็นต้องให้เขาไปติดต่อกับกองทหารอะไรมากมาย หลุยกงก็มาแสดงเจตจำนงที่จะให้ความร่วมมือกับเขาเองเลย เพื่อที่จะชดใช่ให้กับความผิดที่ทำไปก่อนหน้านี้
หลุยกงในฐานะที่คุมพระราชเสาวนีย์แห่งตี้จิง ไม่เพียงแต่จะเป็นผู้นำสูงสุดของตี้จิงแล้ว ยังเป็นคนใหญ่คนโตหนึ่งที่อยู่ในสามอันดับแรกของรัฐบาลแห่งชาติอีกด้วย
นายกเทศมนตรีแห่งเมืองก่าง ถังคังเจิ้นแม้ว่าจะเป็นผู้นำสูงสุดเหมือนกัน แต่ไม่ได้ร่วมจัดอันดับอำนาจแห่งชาติ เทียบกับหลุยกงแล้ว ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลยแม้แต่น้อย อยู่คนละระดับกัน
“หลุยกงยังให้ผมมาถามคุณด้วยว่า ว่ามีเรื่องไหนที่อยากจะสั่งเป็นพิเศษไหม?”ชายหนุ่มชุดสูทพูดถาม
“นั่นเป็นงานของพวกคุณ ผมจะไม่ก้าวก่าย ผมหวังว่า พวกคุณจะทำตัวเป็นกลาง!”
“ความจริงจะเป็นยังไง แน่นอนว่าต้องปฏิบัติตามกฎหมายอยู่แล้ว พวกคุณไม่ต้องมาพูดอธิบายอะไรกับผม แค่ไปพูดอธิบายให้เหล่าพวกผู้เสียหายจำนวนมากที่เมืองก่างก็พอแล้ว”หลิงอิ่งพูดขึ้นอย่างจริงจัง
ชายหนุ่มชุดสูทพยักหน้าด้วยสีหน้าหนักแน่น“คุณวางใจได้ หลุยกงจะให้ความสำคัญกับเรื่องของเมืองก่างแน่นอนครับ จะไม่ให้พวกคนชั่วพวกนั้นก่อเรื่อง ควบคุมบงการสื่อ มาปิดหูปิดตาประชาชนแน่นอนครับ!”
หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ไม่พูดอะไรอีก
เสียงก๊อกๆดังขึ้นสองที
ในตอนนี้เอง เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ประธานหลิน เกิดเรื่องแล้วครับ”
ฮาเดสเดินเข้ามา พูดขึ้นสีหน้าเคารพนอบน้อม
ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 436 แข็งแกร่งกว่าใคร?
ซุปเปอร์เจ้าสำราญ
บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย
“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’
“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”
“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”
“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”
ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ
ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่
โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่
“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”
“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”
“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”
หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”
หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans
ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา
“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”
เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว
ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้
แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!
หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย
ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี
และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย
สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว
หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง
วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย
ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต
ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง
หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย
สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่
เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง
ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ
อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่
แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!
ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..
เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ
ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย
นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก
ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง
หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก
“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”
“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง
นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย
“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”
มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน
จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร
พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี
ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย
“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”
การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!
“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น
“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น
พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ
“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”
หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร
จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป
แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย
จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”
หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์
“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย
ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย
แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว
จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”
จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก
เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”
“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น
จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น
เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย
ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..
พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย
ส่วนเธอ….
จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….
เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…