บทที่ 437 มีคนมาจากสำนักงานใหญ่ของลาตินกรุ๊ป
“เรื่องอะไร?”
หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย มองไปยังฮาเดส
“มีคนจากสำนักงานใหญ่ของลาตินกรุ๊ปมาที่เมืองก่างแล้วครับ มาหาถึงที่เลย”ฮาเดสพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“อ้อ? คนจากสำนักงานใหญ่ของลาตินกรุ๊ป?”หลินอิ่งรู้สึกสนใจขึ้นมา
ชายหนุ่มชุดสูทเห็นแบบนี้ ก็ลุกขึ้นยืนทันที ก่อนจะพูดขึ้นอย่างจริงจัง“คุณหลิน ในเมื่อทางนี้คุณมีธุระ ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอตัวก่อนก็แล้วกันนะครับ”
หลินอิ่งพยักหน้า
ชายหนุ่มชุดสูทถอยออกไปอย่างเคารพนอบน้อม ถือกระเป๋าเอกสารเดินออกไปจากร้านอาหาร
เขาแอบถอนหายใจออกมาหนึ่งที คนใหญ่คนโตมีอำนาจแบบหลินอิ่ง ดูเหมือนไม่ได้กะจะสืบสวนความผิดพลาดในอดีตของหลุยกงอีกแล้ว ในที่สุดก็ทำภารกิจที่หลุยกงมอบหมายให้เสร็จสักที
คนอื่นอาจจะไม่รู้ความแข็งแกร่งของหลินอิ่ง แต่เขานั้นรู้ดี
ฟังสิ่งที่หลุยกงแอบปอกมา
หลินอิ่งไม่ใช่คุณชายจากตระกูลร่ำรวยแห่งตี้จิงแค่เพียงผิวหน้าเท่านั้น
คนคนนี้ มียศตำแหน่งที่สูงมากในกองทหารของประเทศหลุง!แถมยังมีอำนาจสูงสุดในกองทหารอีกด้วย!
ถ้าพูดถึงคุณงามความดีและความสำคัญที่มีต่อประเทศหลุงแล้ว แม้แต่หลุยกง ก็ไม่สามารถเทียบกับเขาได้เลย!
“ว่ามา ทางด้านสำนักงานใหญ่ของลาตินกรุ๊ป เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”หลินอิ่งมองฮาเดส พร้อมกับเปิดปากถามขึ้น
ฮาเดสตอบ“กลุ่มนักฆ่าที่อยู่ต่างประเทศของสำนักงานใหญ่ลาตินกรุ๊ป ออกคำสั่งจับตายคริสแล้วครับ ครั้งนี้ ยังส่งทีมหน่วยพิเศษมาที่เมืองก่างด้วยครับ เพื่อที่จะล้างแค้นให้กับเรื่องที่กลุ่มย่อยของลาตินกรุ๊ปที่เมืองก่างถูกฮุบกิจการไป”
“อ้อ? ตอนนี้มาถึงไหนแล้ว?”หลินอิ่งถาม
ตัวเองเป็นคนสนับสนุนให้คริสจัดการลงมือเอง ฮุบมรดกทรัพย์สินทั้งหมดในแวดวงธุรกิจของลาตินกรุ๊ปในเมืองก่าง แถมยังจัดการกับโม่เก๋อติงอีกด้วย
สำนักงานใหญ่ของลาตินกรุ๊ปจะไม่โมโหเกรี้ยวกราดก็แปลกแล้ว
เขาเตรียมตัวไว้เรียบร้อยแล้ว ว่าจะรับมือกับกลุ่มการค้าระหว่างประเทศโอเชียเนียยังไง
“เมื่อตะกี้คริสโทรศัพท์มา ว่าพวกเขา มาถึงอาคารสุ่ยจินเรียบร้อยแล้วครับ มาถึงด้วยความเกรี้ยวกราด……”ฮาเดสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หลินอิ่งพยักหน้า
เขาพาฮาเดสลงไปข้างล่าง
ผ่านไปสิบนาที มีรถคันหนึ่งมาจอดด้านล่างของอาคารสุ่ยจิน
ในตอนนี้ ด้านล่างของอาคารสุ่ยจิน มีรถลินคอล์นสีดำที่ดูดีมีสไตล์มาจอดอยู่ มีพวกชายหนุ่มต่างชาติรูปร่างกำยำกลุ่มหนึ่งยืนคุ้มกันอยู่ตรงใต้อาคารสุ่ยจินด้วยท่าทางสุขุมเยือกเย็น
หลินอิ่งขึ้นลิฟต์ด้วยสีหน้านิ่งเฉย มาถึงยังห้องรับรองแขกวีไอพีชั้นหกสิบหก
ภายในห้องรับรองแขกวีไอพี คริสนั่งอยู่ตรงโต๊ะประชุมยาว แล้วก็มีผู้หญิงผิวขาวผมทองสวมแว่นตาดำอยู่ด้วยหนึ่งคน ข้างหลังของเธอมีบอดี้การ์ดต่างชาติที่ดูท่าทางเหี้ยมโหดอยู่อีกสองสามคน
ผู้หญิงผมทองแต่งกายดูดีทันสมัย ดูเป็นผู้นำทางด้านแฟชั่น หน้าตาสวยงาม เนื้อตัวดูสง่าเหมือนชนชั้นสูง แอบเผยให้เห็นผิวขาวนวล ดึงดูดผู้คนให้จินตนาการไปไกล นี่มันสาวงามที่สวยจนเป็นภัยพิบัติต่อประเทศชาติและประชาชนชัดๆ
“คุณแอนนา ทำไมคุณถึงมาที่ประเทศหลุงด้วยตัวเองเลยล่ะครับ?”คริสพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง เหงื่อไหลเต็มหน้าผากด้วยความรู้สึกกดดัน
คริสตัดสินใจที่จะอยู่กับหลินอิ่งตั้งนานแล้ว ที่ปลดโม่เก๋อติงออกจากตำแหน่งในครั้งนี้ ก็มีคาดการณ์ไว้แล้วว่าจะต้องถูกลาตินกรุ๊ปมาล้างแค้นแน่นอน
แต่เขาคิดไม่ถึงว่า จะเป็นคุณแอนนาที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติคนนี้ มาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง
สาวสวยผมทองตรงหน้านี้ เป็นหลานสาวที่รักของหัวหน้าใหญ่ที่สุดที่อยู่เบื้องหลังของลาตินกรุ๊ป ชื่อว่า“ท่านเอิร์ล”นั่นเอง!
ท่านเอิร์ลของลาตินกรุ๊ป ก็คือคนที่ถืออำนาจเด็ดขาดในบริษัท ถือครองทรัพย์สินของลาตินกรุ๊ปมากกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์!มีทรัพย์สินมูลค่ามากกว่าล้านล้าน
โดยเฉพาะ อำนาจบารมีอันสูงส่งที่โด่งดังไปทั่วทุกประเทศของท่านเอิร์ล เอิร์ลที่มีชื่อเสียงรุ่งโรจน์ไปทั่วทุกประเทศในโลก ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของแต่ละประเทศ หรือว่าในโลกมืด เครือข่ายความสัมพันธ์นั้นแข็งแกร่งเกินกว่าจะจินตนาการได้!
กลุ่มการค้าของราชวงศ์ดูไบ เคยถูกเอิร์ลคนนี้ทำซะจนเกือบพังพินาศมาแล้ว ทำให้เจ้าฟ้าราชวงศ์ดูไบต้องมาขอโทษด้วยตัวเอง ถึงจะทำให้เขายอมสงบลงได้
“ลุงคริส หรือฉันมาที่ประเทศหลุงไม่ได้อย่างนั้นหรือคะ?”แอนนาสีหน้าไร้เดียงสา พูดขึ้นอย่างมั่นใจ“ฉันได้ยินมาว่า ลุงคริสทรยศหักหลังตระกูลโครเมียร์ รู้สึกอยากรู้อยากเห็น ก็เลยมาดูด้วยตัวเองสักหน่อยน่ะค่ะ”
แอนนาพูดขึ้นอย่างเกรงใจ สีหน้าท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสา
แต่ว่า คริสกลับไม่ได้สบายใจเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดี ว่าพวกบอดี้การ์ดที่ยืนอยู่หลังแอนนา ล้วนแต่เป็นนักฆ่าฝีมือชั้นยอดในโลกมืดทั้งนั้น!แม่แต่ฮาเดสก็ยังเอาคนโฉดพวกนี้ไม่อยู่!
ขอแค่แอนนาเอ่ยปากแค่ประโยคเดียว เขาก็จะสิ้นชีวิตทันที
“คุณแอนนา ผมไม่ได้ทรยศหักหลังตระกูลโครเมียร์นะครับ ผมไม่มีทางไปต่อต้านท่านเอิร์ลแน่นอนครับ ผม ผมก็แค่เลือกที่ที่เหมาะสมกับผม ผมแค่เลือกที่จะอยู่กับคนที่แข็งแกร่งมากกว่าเท่านั้นเอง”คริสพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
ตระกูลโครเมียร์ เป็นกลุ่มการเงินระดับสูงที่สุดของโลก แล้วก็เป็นตระกูลของท่านเอิร์ลอีกด้วย
ลาตินกรุ๊ปนานาชาติ ก็เป็นแค่ธุรกิจใหญ่ธุรกิจหนึ่งที่ตระกูลโครเมียร์ลงทุนไปเท่านั้น
พื้นหลังของตระกูลนี้ แข็งแกร่งถึงขนาดที่ผู้นำประเทศยังต้องยำเกรง!
“เหรอ? ลุงคริส แต่ว่าคุณเล่นทำซะกลุ่มย่อยของลาตินกรุ๊ปที่เมืองก่างพังพินาศแล้วนะคะ”แอนนาค้ำคาง พูดขึ้นอย่างครุ่นคิด“หรือคุณจะบอกว่า ที่คุณทำนี้ไม่ได้เป็นการทรยศอย่างนั้นเหรอ?”
“ทางฝั่งของลาตินกรุ๊ป ผมก็ลาออกมาแล้ว แถมเจ้านายของผมในตอนนี้ ก็ได้มอบเงินจำนวนเท่าเดิมเพื่อเป็นการตอบแทนให้กับสำนักงานใหญ่ของลาตินกรุ๊ปไปแล้ว ผมไม่ได้ติดหนี้บริษัทแล้วนะครับ”คริสพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อื้อ เป็นเหตุผลที่เยี่ยมมาก”แอนนาพยักหน้า“ถ้าเอาคำพูดพวกนี้ไปบอกกับพ่อของฉัน คุณคิดว่าเขาจะเห็นด้วยไหม?”
“ลุงคริส สมัยที่คุณวัยรุ่น เคยเป็นพ่อบ้านให้กับพ่อของฉันมาก่อน ถ้าไม่ใช่พ่อของฉัน คุณจะมีอำนาจใหญ่โตในลาตินกรุ๊ปได้ไหม? แต่ตอนนี้ คุณกลับทรยศพ่อของฉัน ทำให้พ่อของฉันต้องอับอายขายขี้หน้า เขาโกรธมากเลยนะคะ”
แอนนาพูดขึ้น“คุณคิดว่า ตอนนี้คุณควรจะทำยังไง ถึงจะทำให้พ่อของฉันไม่ระเบิดโมโหออกมา?”
สีหน้าของคริสบึ้งตึงเคร่งเครียดทันที เขาหรี่ตาลง
พ่อของแอนนา ก็คือลูกชายคนที่สามของท่านเอิร์ล นั่นก็คือนักฆ่ามารที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกมืดนั่นเอง!
ตอนที่เขาวัยรุ่นเคยทำหน้าที่พ่อบ้านให้กับนักฆ่ามารคนนั้น รู้จักพละกำลังนิสัยใจคอของคนนั้นเป็นอย่างดี เป็นผู้มีอำนาจเด็ดขาดในต่างประเทศ
ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีหลินอิ่งคอยหนุนอยู่ข้างหลัง ตอนนี้คริสก็คงจะคลานคุกเข่าขอโทษอยู่ที่พื้นไปแล้ว
แต่เพราะว่าหลินอิ่งอยู่ด้วย ทำให้คริสมีความมั่นใจขึ้นไม่น้อย
คนประเทศหลุงคนนี้ เป็นชายหนุ่มที่แข็งแกร่งและยอดเยี่ยมที่สุดที่คริสเคยเจอมา!จะต้องสามารถต่อกรกับท่านเอิร์ลได้อย่างแน่นอน!
“คุณแอนนา ขอโทษด้วยครับ ผมไม่ใช่พ่อบ้านของตระกูลโครเมียร์อีกแล้วครับ”คริสพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง“ผมเคยสาบานไว้แล้ว ดังนั้น ผมจะไม่มีทางไปต่อกรกับท่านเอิร์ลและท่านไวเคานต์แน่นอนครับ แต่ว่าผมก็ไม่ได้เชื่อฟังแต่โดยดีเหมือนกับเมื่อก่อนแล้วเหมือนกัน เพราะว่าเจ้านายที่ผมติดตามอยู่ในตอนนี้ เขาแข็งแกร่งและยอดเยี่ยมกว่าท่านไวเคานต์”
“อ้อ? อย่างนั้นเหรอ? คุณกำลังดูถูกพ่อของฉันอยู่ใช่ไหม?”แอนนามองคริสด้วยท่าทีไม่พอใจ“ในเมื่อเป็นแบบนี้ ฉันก็คงต้องทำตามวิธีการของฉันแล้วล่ะ”
“ลุงคริส ขอโทษด้วยนะคะ ฉันต้องขอจับตัวคุณมาก่อน แล้วค่อยไปจัดการกับเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังคนนั้นของคุณ ฉันทำให้เขาได้รู้ว่าอุตสาหกรรมของตระกูลโครเมียร์ของพวกเรา ไม่ว่าใครหน้าไหนก็เข้ามาก้าวก่ายไม่ได้!”
พูดพลาง แอนนาก็ดีดนิ้วส่งสัญญาณอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้น บอดี้การ์ดชุดดำคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังเธอก็เดินออกมา ตรงมายังคริส
ปึ้ง!
บอดี้การ์ดชุดดำพุ่งตรงมายังคริสอย่างทันที ชนโต๊ะประชุมจนแตกละเอียด
เขากำลังจะฟาดมือมายังคริส แต่จู่ๆ กลับถูกมือหนึ่งมือมาจับที่ไหล่เอาไว้ก่อน ก่อนจะฟาดร่างทั้งร่างของเขาลงไปที่พื้น
“ใครอนุญาตให้คุณมาทำข้าวของของบริษัทผมพังเสียหายแบบนี้ไม่ทราบ?”
มีเสียงเย็นชาของชายหนุ่มดังขึ้นมาจากในห้องรับรอง
ไม่รู้ว่าหลินอิ่งเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร จัดการกับบอดี้การ์ดคนนั้นทันที
เขามองแอนนาด้วยท่าทีเย็นชา พร้อมกับตบฝุ่นที่มือ
ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 437 มีคนมาจากสำนักงานใหญ่ของลาตินกรุ๊ป
ซุปเปอร์เจ้าสำราญ
บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย
“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’
“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”
“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”
“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”
ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ
ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่
โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่
“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”
“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”
“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”
หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”
หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans
ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา
“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”
เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว
ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้
แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!
หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย
ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี
และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย
สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว
หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง
วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย
ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต
ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง
หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย
สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่
เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง
ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ
อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่
แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!
ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..
เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ
ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย
นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก
ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง
หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก
“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”
“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง
นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย
“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”
มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน
จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร
พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี
ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย
“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”
การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!
“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น
“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น
พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ
“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”
หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร
จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป
แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย
จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”
หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์
“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย
ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย
แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว
จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”
จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก
เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”
“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น
“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น
จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น
เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย
ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..
พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย
ส่วนเธอ….
จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….
เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…