ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 450 ใครตัดหัวใคร?

บทที่ 450 ใครตัดหัวใคร?

ใครตัดหัวใคร?

“ผู้บัญชาการ จะจับเป็นหลินอิ่ง?”

หัวหน้าของกลุ่มยอดฝีมือหนุ่มสีหน้าลำบากใจ รู้สึกไม่เข้าใจ

ฆ่ายอดฝีมือคนหนึ่งกับจับเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง มันคนละเรื่องกันเลย ไม่ใช่เรื่องเดียวกันเลย

ยอดฝีมือที่มีฝีมือการต่อสู้ระดับAขึ้นไป ยังอยากจับเป็น?

ระดับความยากสูงเกินไป

ต้องรู้ว่า การแบ่งระดับฝีมือการต่อสู้ของคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต เป็นวิธีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์และเข้มงวดมาก

ฝีมือระดับD ถือว่าเป็นฝีมือระดับธรรมดา

ฝีมือระดับC สภาพร่างกายแข็งแกร่งเกินคนทั่วไป สู้กับชายฉกรรจ์ด้วยมือเปล่าสิบคน

ระดับB ยอดฝีมือในยอดฝีมือ อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือระดับหัวหน้าในกลุ่มคณะกรรมการเถ่เสว่

ถ้าหากถึงระดับA นั่นก็เท่าก่อนหุ่นยนต์ในร่างคน ผู้สิ้นสุด

“ใช่แล้ว ต้องจับเป็น นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงแผนฉุกเฉิน” Chloeพูดเชื่องช้า “ดังนั้น พวกเธอต้องยกเลิกแผนปฏิบัติการก่อนหน้านี้ แล้วทำการจัดทำแผนการใหม่”

“ใช่แล้ว จูบมรณะ เขาได้รับการแจ้งจากฉันแล้ว ไม่ได้มารายงานที่ศูนย์เหรอ?”

ทันใดนั้น Chloeเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ กวาดตามองทุกคนในนี้ พูดอย่างขมวดคิ้วเล็กน้อย

“นี่…….”

“ผู้บัญชาการ หัวหน้ามรณะเขา ช่วงนี้เขาอยู่ไหนไม่แน่ไม่นอน พวกเราหาเขาไม่เจอ ส่งข้อความไปในมือถือลับของเขาแล้ว” นายหนุ่มยอดฝีมือสีหน้าไม่ดี พูดอย่างระมัดระวัง

Chloeสีหน้าโมโหทันที “ตอนนี้แม้แต่คำสั่งฉัน ก็กล้าไม่ทำตามแล้วเหรอ?”

หัวหน้ามรณะ สมญานามว่าจูบมรณะ ยอดฝีมือเอกแห่งคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต

นักฆ่ามือวางระดับโลกฝีมือการต่อสู้ระดับA

ถนัดการใช้อาวุธปืน อัตราการลอบสังหารร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นนักฆ่าสุดโหดฝีมือยอดเยี่ยมที่สุดในเมืองก่างของคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต

“ฉันว่า ต้องรายงานสถานการณ์ให้ฝ่ายตระกูลทราบ และทำการตักเตือนหน่อยแล้ว” Chloeพูดด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก

ไม่มีหัวหน้ามรณะคนนี้มาลงมือ เขาไม่มีความมั่นใจในการจัดการหลินอิ่งเลย

“โอ้? ผู้บัญชาการ ผมแค่รถติดมาสายนิดหน่อย ท่านก็จะรายงานฟ้องผมแล้วเหรอ? ท่านจะตื่นเต้นเกินไปไหม?”

เสียงเหลาะแหละไม่เคร่งขรึมดังขึ้นมา

ชายหนุ่มผมทองในชุดสูทสีแดงผูกไท เดินเข้ามาในห้องอย่างเชื่องช้า

“ใช่แล้ว ผมไม่ชอบให้พวกคุณเรียกผมว่าหัวหน้ามรณะ เรียกผมว่าอันเดดละกัน นี่เป็นชื่อใหม่ของผม ผมรู้สึกว่าชื่อนี้ไม่เลว”

ชายหนุ่มผมทองพูดเองคนเดียว ท่าทางเรียบง่ายเฉื่อยชา

สำหรับลูกน้องที่พฤติกรรมอวดดีแบบนี้ Chloeกลับไม่โกรธอย่างหายาก

“ก็ได้ นายอยากเปลี่ยนก็เปลี่ยน นั่นมันเป็นเรื่องของนาย” Chloeพูดเชื่องช้า “ปกติฉันไม่เคยจำกัดความอิสระของนายนะ แต่ครั้งนี้เป็นปฏิบัติการฉุกเฉิน เอกสารที่เกี่ยวข้องฉันส่งไปให้นายทางอีเมลลับแล้ว ไม่รู้ว่านายคิดยังไงบ้าง?”

ถึงChloeจะเป็นหัวหน้าศูนย์ของคณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต แต่ว่า ต่อหน้านักฆ่าระดับโลกฝีมือการต่อสู้ระดับAอย่างอันเดด ก็ไม่กล้าวางตัวใหญ่

เพราะว่า คนระดับนี้ ในสำนักงานใหญ่คณะกรรมการเถ่เสว่ ก็เป็นคนมีความสามารถที่มีค่าที่มีน้อยมาก

“โอ้ ผู้บัญชาการ? เรื่องเล็กแค่นี้ ท่านจะให้ผมลงมือด้วยตัวเอง?” ชายหนุ่มผมทองพูดด้วยท่าทางเกินจริง

“ก็แค่จัดการกับไอ้ไร้น้ำยาคนหนึ่งของประเทศหลุง? ท่านต้องให้ความสำคัญขนาดนี้?” ชายหนุ่มผมทองแบมือแสดงความไม่เข้าใจ “ได้ยินว่าชื่อหลินอิ่ง? นี่ไม่ใช่คุณชายตระกูลใหญ่ของตี้จิงเหรอ?”

“อันเดด ฉันขอบอกเลย อย่าดูถูกคนคนนี้ ไม่ว่าตัวเขาเองหรือบอดี้การ์ดในที่ลับ อย่างน้อยก็เป็นนักสู้ฝีมือระดับAในคณะกรรมเถ่เสว่” Chloeพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“ยังเป็นฝีมือระดับA? ผู้บัญชาการของผม ท่านคิดว่าอัจฉริยะแบบนี้มีอยู่ทุกที่เหรอ? ในข้อมูลของหลินอิ่งคนนี้บอกว่า อายุแค่ยี่สิบกว่า ก็แข็งแกร่งขนาดนี้?” ชายหนุ่มผมทองหัวเราะเย็นชา มุมปากยิ้มอย่างไม่แยแส

ชื่อเดิมของชายหนุ่มผมทองคือเจสัน ในโลกแห่งความมืดนั้นก็ชื่อเสียงสมญานามที่เลื่องลือมากมาย

เขามีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย เข้าสู่ศูนย์คณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ตแต่แรก ถูกคนเรียกว่าคนระดับอัจฉริยะในคณะกรรมการเถ่เสว่ แน่นอนว่าต้องมีความยโสในตัว

ไม่คิดดู คนอันตรายระดับA นั่นก็เป็นเหมือนผู้สิ้นสุดในหนัง หุ่นยนต์รูปมนุษย์ที่แท้จริง

เด็กหนุ่มประเทศหลุงคนหนึ่ง จะมีพลังที่แข็งแกร่งขนาดนั้นได้ยังไง?

“อันเดด ข่าวกรองของฉันต้องไม่ผิดพลาดแน่” Chloeพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่ว่ายังไง ฉันขอให้นายอย่าชะล่าใจ”

“ถ้าหากนายมั่นใจในตัวเองขนาดนั้น ถ้าอย่างนั้น นายก็รีบไปจัดการเรื่องนี้ให้ดี ไปจับตัวคนประเทศหลุงหลินอิ่งซะ ฉันให้เวลานายสามวัน” Chloeพูดอย่างเคร่งขรึม “จำไว้ ห้ามฆ่าเขา เหลือลมหายใจไว้ ที่เหลือ จะทรมานยังไงก็ตามใจ”

เจสันมุมปากยิ้มขึ้นอย่างโหดเหี้ยม พูดว่า “เรื่องเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องถึงสามวัน? ผมจะไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้ คืนนี้ ท่านจะได้เจอไอ้หลินอิ่งอะไรนั่น นอนอยู่ที่ศูนย์เราเหมือนหมา”

เจสันสีหน้ามั่นใจ ถือหีบโลหะสีเงินขึ้นหนึ่งใบ สะบัดมือเปิดออก

ภายในหีบนั้น วางชุดปืนล่าทรงโค้งสีดำ กระสุนโลหะสั่งทำพิเศษ และมีดผีเสื้อที่ประกายแสงเจิดจ้า และอุปกรณ์การทรมานทุกรูปแบบ ดูแล้วน่าสะพรึงกลัว

…….

เวลาเดียวกัน

หน้าโรงแรมสากลไห่วัน

Land Roverสีดำคันหนึ่ง จอดอยู่หน้าประตู

เย่เฮยลงจากรถ พาชายชุดลำลองหลายคนมาด้วย

หลินอิ่งสีหน้าเย็นชา เดินอยู่ด้านหน้า พาพวกเย่เฮย เข้าไปในโรงแรมไห่วัน

“คุณแอนนา หลินอิ่งมาโรงแรมไห่วันแล้ว ไม่ค่อนข้างน่าแปลก เขาพาคนมาด้วย ไม่ใช่ลูกน้องยอดฝีมือของเขาจากข่าวกรองของเรา เขาไม่ได้พามาแม้แต่ฮาเดส”

ดาดฟ้าอาคารตรงข้ามโรงแรมไห่วัน ตั้งกล้องส่องทางไกลไว้เครื่องหนึ่ง

แอนนานั่งอยู่บนเก้าอี้ ลูกน้องของเขาเฟเดอเรอร์สำรวจแล้ว รายงานด้วยสีหน้าแปลกใจ

“มีอะไรน่าแปลกใจ? คนระดับหลินอิ่ง จะไม่มีอำนาจแอบแฝงเลย?” แอนนาพูดอย่างเชื่องช้า

“ครับ คุณแอนนา ท่านเชื่อความสามารถของหลินอิ่งขนาดนั้นเลยเหรอ จะสามารถบุกทำลายศูนย์คณะกรรมการเถ่เสว่ตระกูลพอร์ตเล็ต? เท่าที่ผมรู้ ในนี้มีนักฆ่าโหดยอดฝีมือระดับหนึ่งของโลกอยู่คนหนึ่ง” เฟเดอเรอร์พูดอย่างจริงจัง

“ไม่ว่าเขาจะทำได้หรือไม่ เขามั่นใจขนาดนั้น ก็ทำให้คนตะลึงแล้ว น่าดึงดูดฉันมาก”

แอนนาพูดด้วยสีหน้าเคลิ้ม มุมปากยิ้มขึ้น

“เท่าที่ดูจากข้อมูลแล้ว หลินอิ่งเป็นคนของตระกูลฉีตี้จิง นั่นเป็นตระกูลอันยิ่งใหญ่แห่งประเทศหลุง” แอนนาพูดอย่างเชื่องช้า “แต่ฉันว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ลำพังแค่ตระกูลฉี เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะต่อต้านล้มจี้ฉงซานในเมืองก่างได้……”

“ครั้งนี้เราส่งข้อมูลสำคัญไปให้เขา ได้รับความชอบจากเขา ได้เป็นเพื่อนกับเขา ในอนาคตต้องได้รับผลประโยชน์ไม่สิ้นแน่” แอนนาพูดอย่างสีหน้ามั่นใจ เชื่อมั่นในสายตาตัวเอง

“คุณแอนนา พูดตามตรง ผมว่าท่านมองหลินอิ่งสูงไป…….” เฟเดอเรอร์พูดอย่างไม่เห็นด้วย

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท