ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 465 สถานการณ์โดยรวมคงที่แล้ว

บทที่ 465 สถานการณ์โดยรวมคงที่แล้ว

หรงหยัง ฉู่สงซาน คริสทั้งหลาย มองอยู่ด้านข้างอย่างมีความรู้สึก

จี้ฉงซานที่เคยเจริญรุ่งเรือง คนที่เคยมีอำนาจสูงส่ง จะเป็นศัตรูกับหลินอิ่ง ก็ต้องมีจุดจบแบบนี้

ความสามารถของหลินอิ่ง แข็งแกร่งที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็นมาในชีวิตนี้

หลินอิ่งมองจี้ฉงซานล้มลงด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในใจนิ่งเฉย

จี้ฉงซานตายแล้ว เหวินเทียนเฟิ่งยังซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ

ท่านมังกรดำ ไม่ได้ลงมือ

“เหวินเทียนเฟิ่ง ศัตรูตระกูลฉี ไม่มีวันซ่อนตัวได้ ซ่อนไปสุดขอบฟ้า ฉันก็ต้องลากตัวออกมาแน่”

หลินอิ่งแววตาเย็นชา มองดูเก้าอี้ของจี้ฉงซาน กล้องพ็อกเก็ต

“ท่านมังกรดำ? คุณไม่คู่ควรกับคำว่าราชามังกรแม้แต่น้อย”

“แอบๆซ่อนๆ ห่วงหน้าพะวงหลัง ดีแต่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ ถึงผมจะเอามรดกสืบทอดแก๊งมังกรให้คุณ คุณจะทำอะไรได้?”

“จำไว้ ตอนที่พวกคุณออกมาเผยหน้า ก็คือเวลาตาย”

คำพูดของหลินอิ่ง พูดต่อเครื่องกล้องวงจรปิด

ก็คือพูดต่อท่านมังกรดำและเหวินเทียนเฟิ่ง

สองคนนี้ ต้องแอบดูทุกอย่างในที่ลับแน่นอน

เวลาเดียวกัน

ภายในโบสถ์อันมืดมิดที่ยื่นมือไม่เห็นนิ้ว

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในเกาะไห่เทียน เปลี่ยนเป็นภาพ แสดงอยู่บนจอใหญ่ที่แขวนอยู่บนผนัง

ตำแหน่งกลางโบสถ์ มีชายเสื้อสีเทาหน้าตาโหดเหี้ยมนั่งอยู่

“ท่านประมุขแก๊ง ท่าน ช่างเหนือความคาดหมายของผมจริง……”

“ข่มขู่ผม……เหอะเหอะเหอะ……คุณคิดว่า คุณเป็นประมุขแก๊งมังกรที่แข็งแกร่งเหนือฟ้าจริงๆเหรอ……”

คนชุดเทามองดูภาพบนจอ หัวเราะอย่างเย็นชาพูดด้วยเสียงแหบ

ส่วนคนที่อยู่ข้างเขา เหวินเทียนเฟิ่งก้มหน้าอย่างเคารพ

“เทียนเฟิ่ง ช่วยฉันส่งคำพูดลงไป องครักษ์มังกรดำอย่าเพิ่งเผยโฉม รอแผนการขั้นต่อไปของฉันก่อน”

“แน่นอน ระหว่างที่หาจุดอ่อนวิชาการต่อสู้ของหลินอิ่ง หาจุดอ่อนนี้ออกมา ก็คือวันลงนรกของเขา”

วิชาการต่อสู้ที่หลินอิ่งฝึกฝน มีจุดอ่อนที่คร่าชีวิตได้

เมื่อเว้นระยะเวลาช่วงหนึ่ง ก็จะถึงเวลาที่อ่อนเพลียที่สุด

เวลานั้นของหลินอิ่ง วิชาจะไม่ถึงเศษหนึ่งส่วนสิบของเวลาปกติ

นั่นก็คือจุดอ่อนที่เอาชีวิตของหลินอิ่งได้

ท่านมังกรดำตั้งอกตั้งใจ สิ่งที่ศึกษาก็คือ จุดอ่อนของหลินอิ่ง

…….

หลินอิ่ง กลับไปถึงตัวเมืองเมืองก่าง

เมืองก่าง สถานการณ์โดยรวมคงที่แล้ว

แวดวงธุรกิจเมืองก่าง วงการตลาดหลักทรัพย์ สมาคมธุรกิจ

ล้วนอยู่ในการควบคุมของหลินอิ่งทั้งหมด

หลินอิ่ง แทนที่จี้ฉงซาน กลายเป็นผู้ควบคุมระบบธุรกิจในเมืองก่าง

คริสช่วยเขาดูแลหลินซื่อกรุ๊ป

หลินซื่อกรุ๊ป เสมือนว่าจะเป็นอาณาจักรธุรกิจขนาดยักษ์ที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่

ฉู่สงซาน ขยายบริษัทฉู่ซื่อเตียนหนานให้ใหญ่ขึ้น รักษาสัมพันธมิตรที่ดีกับหลินอิ่ง

โครเมียร์ แอนนา ช่วยเหลือจัดการกับตระกูลพอร์ตเล็ต หลินอิ่งอนุญาติให้เธอรับช่วงอำนาจที่หลงเหลือในเมืองก่างของตระกูลพอร์ตเล็ต สาขาย่อยของตระกูลโครเมียร์ กลายเป็นผู้นำของบริษัททุนต่างชาติในแวดวงธุรกิจเมืองก่าง

ไม่ต้องสงสัย โครเมียร์ แอนนา มีผู้สนับสนุนในเมืองก่างก็คือหลินอิ่ง ไม่มีหลินอิ่ง เธอไม่มีวันนั่งบนตำแหน่งนี้อย่างมั่นคง

แม้แต่หรงหยัง ก็เจริญก้าวหน้า ติดตามหลินอิ่ง ทำให้แก๊งหยางเหมินสาขาเมืองก่างพัฒนาขึ้นอีกขั้น

แม้แต่สาขาแก๊งหยางเหมินในเมืองก่าง ก็ทำการเปลี่ยนชื่อสำนักแล้ว อยู่ภายใต้การดูแลของหลินอิ่ง

เพราะว่า หรงหยังต้องเผชิญหน้ากับความกดดันของจ้าวเฉิงเฉียน ไม่มีทางเลือก ไม่ติดตามหลินอิ่ง เขาก็จะสูญเสียอำนาจตำแหน่ง

แน่นอน แผนการสำคัญอย่างหนึ่งของหลินอิ่ง

เย่เฮย ผู้ที่จงรักภักดีที่สุด องครักษ์มังกรดำที่หลงเหลืออยู่ ผู้สนับสนุนที่จงรักภักดี

เขา ถึงจะเป็นคนที่ช่วยหลินอิ่งดูแลดินแดนเมืองก่างแห่งนี้

มีดคมยามค่ำคืนแห่งเมืองก่าง

วันนี้

อาคารสุ่ยจิน

หลินอิ่งนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ บนโต๊ะทำงานมีเอกสารสัญญาวางเป็นกอง

เอกสารพวกนี้ ล้วนเป็นบัญชีรายการธุรกิจที่คริสนำมาให้

ตอนแรก หลินอิ่งระดมเงินทุนมหาศาลจากตี้จิงเข้ามาในเมืองก่าง ต้องเผชิญการความเสี่ยงมหาศาลเพื่อทำสงครามการเงินกับจี้ฉงซาน

ผู้แพ้สิ้นเนื้อประดาตัว ผู้ชนะได้รับเงินทองมหาศาล

วันนี้ ถึงเวลาที่ผู้ชนะจะได้เก็บผลแห่งชัยชนะแล้ว

“ประธานหลิน การมาเมืองก่างครั้งนี้ ท่าน ทำให้ผมเปิดหูเปิดตาจริงๆ” คริสพูดอย่างตื่นเต้น “ทุกวันนี้ ธุรกิจอำนาจเงินทองของท่านในเมืองก่าง เทียบเท่ากับทรัพย์สินของท่านในเมืองก่างได้แล้ว ไม่อาจคำนวณได้ ว่าท่านทำเงินได้เท่าไหร่”

“อย่าว่าแค่ประเทศหลุง เกรงว่าทั่วโลก ก็หาคนหนุ่มที่ร่ำรวยมหาศาลอย่างท่านไม่ได้แล้ว” คริสพูดด้วยความนับถือ

ถึงแม้ว่าเขาจะเจออะไรมามากมาย ควบคุมบริษัทข้ามชาติ ก็ต้องตะลึงกับทรัพย์สินของหลินอิ่ง

“ทำเงินได้เท่าไหร่?” หลินอิ่งส่ายหัว พูดอย่างเรียบเฉย “นี่ไม่สำคัญ”

คำพูดต่อมา หลินอิ่งไม่อธิบาย

คริสเป็นนายทุนธุรกิจใหญ่ เขาเข้าใจ

ควบคุมระบบการเงินในเมืองตลาดหลักทรัพย์ที่ใหญ่โตอย่างเมืองก่าง นี่คือจุดสำคัญ ไม่ว่าเงินเท่าไหร่ก็หาซื้อไม่ได้

พูดได้ว่า ประธานหลินพูดในเมืองก่างแค่คำเดียว จะให้ใครล้มละลาย คนนั้นก็ต้องล้มละลาย ให้ใครร่ำรวยในชั่วค่ำคืน คนนั้นก็สามารถขึ้นสู่อันดับมหาเศรษฐีโลก

อำนาจแบบนี้ ถึงเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนอิจฉา

“ประธานหลิน โครเมียร์ แอนนา เธอมาหาท่านที่อาคารแล้ว”

เวลาเดียวกัน ฮาเดสเดินเข้ามารายงานอย่างเคารพ

“พาเข้ามา” หลินอิ่งพูดอย่างเรียบเฉย

“หลินที่รัก คุณเก่งที่สุดเลย”

“ฉันคิดไม่ถึงเลย คุณจะจัดการจี้ฉงซานเร็วขนาดนี้ เมืองก่างในตอนนี้ เป็นดินแดนของคุณหมดแล้ว คุณนี่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย”

น้ำเสียงของผู้หญิงอันไพเราะคนหนึ่งดังขึ้น

แอนนาใส่ชุดกระโปรงสีขาว เผยหุ่นอันสวยงามเข้ารูปของเธอ บุคลิกเต็มไปด้วยความมีเสน่ห์ เธอเดินเข้ามาสีหน้ายิ้มแย้ม เข้าไปหาหลินอิ่งโดยตรง

“หลินที่รัก คุณช่วยฉันมากมาย ฉันยังไม่รู้ว่าต้องขอบคุณยังไง”

แอนนาเข้าไปนั่งบนตักหลินอิ่งอย่างไม่ห่วงสายตา มือกอดคอหลินอิ่ง ร่างแนบชิดตัวเขา ท่าทางใกล้ชิด

หลินอิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนอย่างตั้งตัวไม่ทัน ยื่นมือดันคางแอนนา ดันตัวเธอขึ้นไปนั่งข้างเก้าอี้

“ระวังพฤติกรรมหน่อย” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

แอนนาตาสวยเป็นประกาย ยิ้มอย่างสดใส น้ำเสียงหยอกล้อ “หลินที่รัก ฉันรู้แล้ว จากนี้ไปต่อหน้าคนอื่น ฉันจะระวังหน่อย”

ต่อหน้าคนอื่นจะระวังหน่อย?

ถ้าหากพวกเขาสองคนไม่อยู่ สถานการณ์คงร้อนแรงกว่านี้?

หลินอิ่งนี่สุดยอดจริงๆ นี่แค่ไม่กี่วัน ก็มีความสัมพันธ์กับคุณหนูตระกูลโครเมียร์ คุณแอนนาถึงขันนี้แล้วหรือ?

ฟังนำเสียงคำพูดแอนนาอันครุมเครือ และท่าทางอันใจกล้าแบบนี้

คริสมองจนตะลึงแล้ว นี่ยังเป็นคุณหนูตระกูลโครเมียร์ที่เขาเคยรู้จักไหม? กลับกลายเป็นแฟนคลับน้อยของหลินอิ่งไปแล้ว

คราวนี้ แม้แต่ฮาเดสที่สีหน้าเย็นชามาตลอด เฝ้าอยู่หน้าประตูอย่างตะลึงตาค้าง

ฮาเดสกับคริสล้วนเป็นคนของลาตินกรุ๊ป เมื่อก่อนต่างเคยช่วยพ่อของแอนนาทำงาน ต่างรู้ถึงอำนาจความสามารถของตระกูลโครเมียร์

ยังไงพวกเขาก็คิดไม่ถึง ผู้หญิงฐานะสูงส่งอย่างแอนนา อยู่ในประเทศตะวันตกเขาอยู่อย่างสูงส่งเหนือกว่าเจ้าหญิงในราชวงศ์อีก แต่กลับปล่อยวางความยโสและสงวนตัว กลับถูกหลินอิ่งปราบอย่างราบคาบ กลายเป็นกระตือรือร้นถึงขนาดนี้

ไม่เสียแรงที่เป็นประธานหลิน สุดยอดจริงๆ

ฮาเดสกับคริสทั้งสองคน รู้สึกชื่นชมในใจ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท