ซุปเปอร์เจ้าสำราญ – บทที่ 469 ท่าเดียวพิชิตศัตรู

บทที่ 469 ท่าเดียวพิชิตศัตรู

“เจ้าสำนัก หลิน ปรมาจารย์หลิน……” หม่าผิงชวนสีหน้าเคร่งเครียด เป็นคำนำหน้าหลินอิ่ง “ปรมาจารย์หลิน ไม่ใช่คนธรรมดา”

“เจ้าสำนัก ท่านต้องระวังรับมือ…….”

พูดประโยชน์นี้จบอย่างจริงจัง หม่าผิงชวนกระอักเลือดออกมาอีก หายใจหอบอยู่กับพื้น

เขาไม่กล้าที่จะต่อสู้กับหลินอิ่งอีกแล้ว หรือพูดจาไม่ดี

เพราะว่าในใจหม่าผิงชวนรู้ดี ความแตกต่างระหว่างเขากับหลินอิ่ง ต่างกันราวฟ้ากับดิน

การปะทะกันเมื่อกี้ หลินอิ่งถือว่าออมมือแล้ว

สำหรับความสามารถของหลินอิ่ง ถ้าลงมืออย่างจริงจัง เมื่อครู่นั้น วิชาการต่อสู้ของเขาหม่าผิงชวนคงถูกทำลายไปหมดแล้ว ตายคาที่

เห็นได้ว่า หลินอิ่งมีคุณสมบัติระดับปรมาจารย์แค่ไหน

เขาหม่าผิงชวนอยู่ในวงการมานานนับปี อายุปูนนี้ กลับมีตาหามีแววไม่ ต้องขายหน้าต่อปรมาจารย์อายุน้อย น่าอับอายจริงๆ

“หลินอิ่ง นายฝึกวิชาการต่อสู้ของสำนักไหนกันแน่?” จ้าวเฉิงเฉียนมองหลินอิ่งสีหน้าเคร่งเครียด ยิ่งรู้สึกว่า ไม่สามารถมองทะลุหลินอิ่งได้เลย

หลินอิ่งยังไม่ได้ลงมือต่อหน้าเขา ลำพังแค่วิชากำลังภายในอันแข็งแกร่ง ก็สามารถจัดการหรงหยัง บีบให้เผยหวูหมิงคุกเข่า สะเทือนหม่าผิงชวนตัวลอย

แค่สามยกนี้

หลินอิ่ง ก็เพียงพอที่จะมีชื่อเสียงในแวดวงผู้ลึกลับแล้ว

เพราะว่าหรงหยังสามคนนี้ เป็นยอดฝีมือระดับสูงที่มีชื่อเสียงในรายการแห่งคน

ไม่ได้ใช้แรงแม้แต่น้อย ก็เอาชนะยอดฝีมือรายการแห่งคนทั้งสามได้ พอที่จะชื่นชมได้

“นายอยากรู้ ก็เข้ามาลองดู” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

จ้าวเฉิงเฉียนแววตาเย็นชา เดินไปข้างหน้าสองก้าว เริ่มคายพลังกำลังอันแข็งแกร่งออกมา

เสื้อสูทสีขาวบนตัวเขาปลิวขึ้นเอง เหมือนดั่งมีลมหมุนอยู่รอบตัวเขา

ชิ้ว

จ้าวเฉิงเฉียนกระทืบเท้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ทันใดนั้น ร่างก็เคลื่อนไหวเหมือนดั่งแสง พุ่งเข้าหาหลินอิ่ง

เขามีพลังเหมือนดั่งมังกรโผล่ขึ้นผิวน้ำ ยื่นมือออกไป ก็เหมือนดั่งยกแม่น้ำขึ้นมา บนมือนั้นมีเสียงดังกึกก้องกลางอากาศ

ลำพังแค่แรงของฝ่ามือเดียว ก็สามารถทำให้รถบรรทุกหนึ่งคันแบนราบ คนที่ได้เห็นภาพนี้ ในใจต้องอดสงสัยไม่ได้

จ้าวเฉิงเฉียน มีฝีมือความสามารถที่ไม่ธรรมดา

ปัง

วินาทีนี้ หลินอิ่งยกมือสะบัด เหมือนดังแม่ทัพเหวี่ยงแส้ลงทหารนับหมื่น

พลังอย่างหนึ่งพุ่งออกไป ฝ่าเข้าที่แขนของจ้าวเฉิงเฉียน

วินาทีที่ปะทะกัน จ้าวเฉิงเฉียนเหมือนโดนฟ้าผ่า ร่างกายลอยขึ้น กระเด็นออกไปไกลสิบเมตร

เสียงลมกระแทก

“นี่ นี่มัน”

จ้าวเฉิงเฉียนร่างกายกระตุก ร่างแข็งทื่ออยู่กับที่ ดวงตาเบิกกว้าง มองหลินอิ่งด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ

ตอนนี้ กระดูกของเขา อวัยวะทั่วร่างกาย รวมถึงมือเท้า เหมือนถูกไฟช็อต เต็มไปด้วยความชาและเจ็บปวด

ทั่วร่างกาย ไม่สามารถใช้แรงได้แม้แต่น้อย

“ใต้หมัดของฉัน ความจริงก็คือ ไม่มีคนอย่างนาย” หลินอิ่งยืนมือไขว้หลังอยู่กับที่ พูดอย่างเรียบเฉย

จ้าวเฉิงเฉียนหน้าแดงอับอาย สายตายังคงไม่พอใจ

ยังไงเขาก็คิดไม่ถึง หลินอิ่งแค่สะบัดมืออย่างง่ายดาย ก็ทำลายท่าของเขาในทันที

พลังอย่างหนึ่งที่พุ่งเข้ามา ทะลุเข้าทั่วร่างกาย ยิ่งทำให้เขารู้สิ้นหวัง

ความแตกต่างของเขากับหลินอิ่ง ต่างกันราวฟ้ากับดิน ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน

ถ้าหากหลินอิ่งคิดอยากฆ่า วินาทีที่ผ่านมา พอเพียงสำหรับให้เขาตายได้สิบรอบแล้ว

“ฉัน ยอมแพ้” จ้าวเฉิงเฉียนก้มหน้าลง หน้าแดงด้วยความอับอาย

วิชาการต่อสู้ของหลินอิ่ง เขาทดสอบไม่ออก

แหล่งวิชาของหลินอิ่ง เขาก็ดูไม่ออก

เขาเป็นถึงคุณชายตระกูลจ้าว เจ้าสำนักแก๊งหยางเหมิน คนลำดับหนึ่งในรายการดิน

ต่อหน้าหลินอิ่ง กลับถูกเหยียบจนแบนราบ พ่ายแพ้อย่างราบคาบ

“เรื่องของสาขาสำนักเมืองก่าง นาย อย่าได้ถามอีก” หลินอิ่งพูดเสียงเรียบ

“เรื่องของตระกูลจ้าว ฉันตัดสินใจเอง”

ได้ยินเช่นนี้ จ้าวเฉิงเฉียนแววตากะพริบ ในใจไม่ยอม แต่ก็ต้องพยักหน้าอย่างเอือมระอา

“หรงหยังไม่จงรักภักดี ฉันก็ไม่ต้องการมันแล้ว ลูกน้องของมัน นายก็เอาไปได้ สาขาย่อยเมืองก่าง ฉันก่อตั้งใหม่ก็พอ” จ้าวเฉิงเฉียนพูด

“ลาก่อน”

จ้าวเฉิงเฉียนสีหน้าอับอาย พยุงตัวเผยหวูหมิงที่คุกเข่าอยู่บนพื้น และหม่าผิงชวน รีบออกไปจากออฟฟิศ

พวกเขา ไม่มีหน้าที่จะเผชิญหน้ากับหลินอิ่งต่อ

หลินอิ่งสีหน้าเรียบเฉย มองไปที่ฮาเดส “เรียกหรงหยังมา”

……

หลังจากสู้กับพวกจ้าวเฉิงเฉียนแล้ว

หลินอิ่งเรียกหรงหยังมา จัดการวางแผนเรื่องสาขาแก๊งหยางเหมินเมืองก่าง

วันที่สอง

หลินอิ่งไปที่ฉู่ซื่อกรุ๊ป กินข้าวกับฉู่สงซาน

เพื่อจะเจรจาตกลงเรื่องสัญญาการร่วมงานในเมืองก่างกับตระกูลฉู่

เบื้องหลังฉู่สงซาน มีตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน ซึ่งเป็นตระกูลราชาแห่งยาของประเทศหลุง

อาคารฉู่ซื่อ ภายในห้องอาหารห้องรับรอง วางเตรียมอาหารเครื่องดื่มไว้พร้อม

หลินอิ่งกับฉู่สงซานนั่งตรงข้ามกัน

“ประธานหลิน คุณวางใจ มีผมฉู่สงซานอยู่ในตระกูลฉู่วันหนึ่ง ตระกูลฉู่แห่งเตียนหนาน จะเป็นเพื่อนกับคุณตลอดไป” ฉู่สงซานพูดอย่างจริงจัง ยกแล้วเหล้าขึ้นมา “ประธานหลิน ผมดื่มให้คุณ”

หลินอิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ยกแล้วเหล้าขึ้น ทั้งสองชนแก้วกัน

ฉู่สงซานทำงานดีอย่างไม่ต้องพูดถึง

“ประธานหลิน ครั้งนี้ ผมได้รับผลประโยชน์ไม่น้อยในเมืองก่าง นายท่านของตระกูลก็ยิ่งให้ความสำคัญกับผม ทุกอย่างนี้ ล้วนพึ่งบารมีคุณทั้งนั้น” ฉู่สงซานพูดอย่างซาบซึ้ง

เท่าที่เขาดูแล้ว หลินอิ่ง เป็นผู้มีพระคุณอย่างสูง

ช่วยชีวิตลูกชายเขา ยังทำให้เขาได้รับผลประโยชน์มหาศาลในเมืองก่าง ร่ำรวยไปพร้อมกัน

ตระกูลฉู่ทุกวันนี้ ติดตามหลินอิ่ง ผลกระทบในเมืองก่าง ก้าวหน้าขึ้นไปหลายชั้น

“ประธานฉู่ ไม่ต้องเกรงใจ เรื่องในเมืองก่าง คุณก็ช่วยผมไปไม่น้อย” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

“ฮาฮา ประธานหลิน วันหลังถ้ามีโอกาสไปมณฑลเตียนหนาน ต้องมาเป็นแขกที่ตระกูลฉู่นะครับ” ฉู่สงซานพูดอย่างยิ้มแย้ม “นายท่านที่บ้าน ได้ยินเรื่องของท่านแล้ว รู้สึกชื่นชมในตัวท่านมาก”

หลินอิ่งรู้ดี นายท่านที่ฉู่สงซานพูดถึง ในแวดวงผู้ลึกลับนั้นก็คือผู้ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง ราชาแห่งยาตระกูลฉู่

ราชาแห่งยาตระกูลฉู่ ชื่อเสียงโด่งดัง ในอดีตช่วยรักษาผู้คนมากมาย ปัจจุบันลูกศิษย์ทั่วดินแดน รักษาอุดมการณ์การช่วยเหลือผู้อื่นตลอดมา

สำหรับราชาแห่งยาท่านนี้ ในใจหลินอิ่งเต็มไปด้วยความเคารพ

“ถ้ามีโอกาส ผมต้องไปเยี่ยมที่ตระกูลฉู่แน่นอน” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

“ฮาฮา ขอบคุณประธานหลินมาก” ฉู่สงซานพูดอย่างยิ้มแย้ม

ติ๊ดติ๊ดติ๊ด

เวลาเดียวกัน

มือถือหลินอิ่งดังขึ้นมากะทันหัน

“ฮัลโหล หลิงอิ่ง? แกอยู่ข้างนอกนานขนาดนี้ จะกลับบ้านอีกไหม?”

ในโทรศัพท์ เป็นเสียงบีบเคล้นถามจากลู่หย่าฮุ่ย

“ผมทำธุระอยู่เมืองก่าง” หลินอิ่งพูดอย่างจริงจัง

“หลินอิ่ง ฉันขอบอกแก เรื่องที่แกทำในเมืองก่าง ฉีโม่รู้เรื่องหมดแล้ว ตอนนี้ ฉีโม่รู้สึกผิดหวังในตัวแกมาก ไม่อยากสนใจไอ้ผู้ชายไม่มีหัวใจอย่างแกแล้ว”

“ช่วงนี้ที่บ้านเราเกิดเรื่องไม่น้อย บริษัทของฉีโม่ใกล้ล้มละลายแล้ว แกรีบกลับเมืองก่างเดี๋ยวนี้ กลับมาจัดการเรื่องหย่าให้เรียบร้อย เพราะว่าแกมีผู้หญิงอยู่ข้างนอกเยอะแยะ อย่ามาทำลายลูกสาวบ้านฉันอีก

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

ซุปเปอร์เจ้าสำราญ

Status: Ongoing

บทที่ 1 ชีวิตที่สงบสุขถูกทำลาย

“คุณชายฉี คุณจะปฏิเสธการเชื้อเชิญของ นายท่าน จริงๆหรอค่ะ?’

“ฉันไม่ได้มีแซ่ฉี สักหน่อย ฉันแซ่หลิน”

“แต่คุณก็มีสายเลือดของตระกูลฉี อยู่นะ”

“นับตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาขับไล่พวกเราสองแม่ลูกออกจากบ้านตระกูลฉี ฉันกับคนของตระกูลฉี ก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก!”

ตอนบ่าย ณ เมืองชิงหยูนถนนเย็ยเจียง ในเมืองที่ชลมุ่นวุ่นวายมีรถยนต์เบนท์ลี่ย์ มูซานสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ ซึ่งรถยนต์สวยหรูโดดเด่นมากจนทำให้ผู้คนต่างพากันสนใจ

ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังจัดเก็บอุปกรณ์ย่างบนรถเข็นอยู่

โดยมีชายอาวุโสสวมชุดสูทสีดำคนหนึ่งกำลังก้มโค้งคำนับอยู่ข้างหน้าเตาย่างที่แผงขายของ ซึ่งเหมือนกับเขากำลังขอร้องชายหนุ่มอยู่

“คุณชายครับ คุณเองก็รู้ว่า เรื่องในตอนนั้นนายท่านเองก็ถูกสถานการณ์บีบคั้นเหมือนกัน ถึงแม้จะปฏิบัติไม่เป็นธรรมต่อคุณแม่ของคุณ แต่ไม่เคยขับไล่คุณเลยนะครับ….”

“เมื่อหนึ่งปีก่อน คุณท่านป่วยอาการหนักมาก นายท่านเลยให้พวกผมตามหาคุณมาหนึ่งปีเต็ม ใช้ทั้งอำนาจและเส้นสายตามหาคุณเกือบครึ่งประเทศหลุง จนตามหาคุณพบอย่างยากเย็น”

“หรือว่าคุณยอมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง ที่ไม่มีความสูงศักดิ์ แถมยอมถูกตราหน้าแต่ไม่ยอมกลับตระกูลฉี หรอครับ? แต่ตอนนี้คุณเป็นถึงสายเลือดเพียงคนเดียวของตระกูลฉี นะ…..”

หลินอิ่ง ค่อยๆพูดว่า “เรื่องของฉันไม่จำเป็นต้องให้ตระกูลฉี มายุ่ง และเรื่องของตระกูลฉี ฉันก็ไม่อยากได้ยินด้วย ฉันหวังว่าต่อไปคุณคงไม่มารบกวนชีวิตของผมอีก”

หลังจากเก็บของเรียบร้อย เขาก็หันหลังเดินจากถนนเย็ยเจียง ไป Quick Cash Loans

ชายอาวุโสจ้องมองร่างเงาที่เดินจากไปของหลินอิ่ง โดยไม่ได้เดินตามไป ทำได้แค่ถอนหายใจอย่างถอนใจออกมา

“ตระกูลฉี หรอ เหอะ…”

เมื่อเดินออกจากถนนเย็ยเจียง หลินอิ่ง ก็หัวเราะประชดเบาๆ พร้อมเผยสายตาเหม่อลอยเล็กน้อย ราวกับกำลังนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่นานมาแล้ว

ตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นตระกูลที่มีความสูงศักดิ์และมีชื่อเสียงระดับต้นๆของประเทศหลุง เลย มีผู้คนจำนวนมากมายต้องการมีความสัมพันธ์กับตระกูลฉี แม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถไต่เต้าจนสำเร็จได้

แต่สำหรับ หลินอิ่ง แล้ว ตระกูลฉี คือบาดแผลอันเจ็บปวดภายในใจที่ยากจะลบล้างได้!

หลินอิ่ง เกิดในตระกูลฉีของเมืองตี้จิง เป็นหลานชายที่ถูกต้องตามกฎหมายของคุณท่านตระกูลฉี เขาเกิดมาในตระกูลที่มีฐานะสูงส่งและสูงศักดิ์มาก แต่ตอนที่เขาอายุแปดขวบ พ่อของเขาที่มีชื่อว่า ฉีเหอถู ก็หลงรักกับผู้หญิงข้างนอก แถมยังแย่งชิงตำแหน่งผู้สืบทอดมรดกกับพี่น้องเครือญาติกันด้วย และเพื่อเอาชนะ เขาเลยหย่ากับ หลินซูชิง แม่ของเขา แล้วไปแต่งงานกับคนอีกตระกูลหนึ่งที่มีความสูงส่งระดับใน ตี้จิง ด้วย

ถึงแม้ว่า หลินซูชิ จะเกิดในครอบครัวที่ธรรมดา แต่เธอเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งมาก เธอไม่ยอมรับการชดเชยใดๆจากตระกูลฉี เลย ส่วน หลินอิ่ง เองก็ไม่ยอมจากแม่ด้วย เลยหนีไปจากเมือง ตี้จิง กับ หลินซูชิง แม่ของเขา โดยไม่สนใจอุปสรรคจากตระกูลฉี เลย และนับจากที่พวกเขาหายไปจากสายตาของคนตระกูลฉี แม่ลูกก็ใช้ชีวิตด้วยกันอย่างมีความสุขมาหลายปี

และเขายังเปลี่ยนแซ่หลิน ตามแม่ของเขาด้วย

สิบปีเต็มแล้ว แต่เมื่อสามปีก่อนแม่ของเขาชีวิตไปเพราะโรคร้าย เดิมทีเขานึกว่าความทรงจำอันเจ็บปวดในชีวิตตอนนั้นคงไม่กลับมาหวนนึกถึงแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าคนของตระกูลฉี ตามหาเขาพบแล้ว

หลังจากที่สูบบุหรี่ม้วนหนึ่งเสร็จตรงมุมถนน หลินอิ่ง ก็ไม่คิดมากแล้ว แต่โบกมือเรียกแท็กซี่คันหนึ่งไป รีสอร์ทหลินหลาง

วันนี้เป็นงานแต่งงานของคุณชายตระกูลซูน ตระกูลที่สูงส่งที่สุดในเมืองชิงหยูนกับลูกสาวของ จางหงจูน พี่ใหญ่ของตระกูลจาง งานแต่งงานถูกจัดอย่างยิ่งใหญ่ และได้เชื้อเชิญนักธุรกิจใหญ่ของเมืองชิงหยูนทุกคน รวมทั้งคนของตระกูลจาง ด้วย

ไม่เช่นนั้นด้วยตำแหน่งเพียงลูกเขยในตระกูลจาง คงไม่สามารถมา รีสอร์ทหลินหลาง ตลอดชีวิต

ยี่สิบนาทีต่อมา รถแท็กซี่ก็จอดนอก รีสอร์ทหลินหลาง

หน้าประตูคฤหาสน์ที่มีรถยนต์คันหรูหรา มีผู้หญิงหน้าตาสะสวย รูปร่างผอมเพรียว สวมชุดเดรสสีน้ำเงินคนหนึ่งกำลังจ้องมอง หลินอิ่ง ด้วยสายตาเป็นประกาย

สาวสวยคนนี้คือภรรยาของ หลินอิ่ง มีชื่อว่า จางฉีโม่

เมื่อสองปีก่อน ภายใต้การขอร้องของคุณท่านจางตี้งติ่ง ผู้ก่อตั้งบริษัทเครื่องประดับจางซื่อ สุดท้าย หลินอิ่ง ก็แต่งงานเข้าตระกูลจาง

ในตอนนั้นเรื่องนี้สร้างความฮือฮาต่อตระกูลที่มีชื่อเสียงในเมืองชิงหยูนมาก ทุกคนต่างพากันหัวเราะเยาะว่าคุณท่านจาง สมองเลอะเลือนแล้ว ที่เอาลูกสาวแต่งงานกับเด็กกำพร้าที่ไม่มีเงินและอำนาจ

อีกอย่าง จางฉีโม่ ก็เป็นทั้งผู้หญิงที่สวยที่สุด และยังเป็นคนตระกูลสูงส่งที่สุดของเมืองชิงหยูนด้วย ซึ่งในตอนนั้นมีคุณชายจากตระกูลสูงส่งหลายคนกำลังตามจีบเธออยู่

แต่คิดไม่ถึงว่าคุณท่านจะยกเธอแต่งงานให้กับ หลินอิ่ง ที่ไม่มีหัวนอนเปล่าเท้า!

ซึ่งเรื่องทุกอย่าง มีเพียง หลินอิ่ง กับ จางตี้งติ่ง ที่ทราบเหตุผลที่แท้จริง…..

เมื่อหนึ่งปีก่อน จางตี้งติ่ง ได้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งความลับที่สำคัญมีเพียง หลินอิ่ง คนเดียวที่ทราบ

ส่วนภรรยาของเขา จางฉีโม่ ไม่เคยยอมรับตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถึงแม้สุดท้ายยอมแต่งงาน แต่จนถึงตอนนี้พวกเขายังไม่เป็นสามีภรรยาอย่างแท้จริงเลย

นับตั้งแต่ จางตี้งติ่ง เสียชีวิต บริษัทเครื่องประดับจางซื่อก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจครั้งยิ่งใหญ่ขึ้น พ่อตาของ หลินอิ่ง ที่อยู่ในสงครามครั้งนี้ก็ถูกเตะออกจากสิทธิ์บริษัท และยังไม่ถูกแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้ด้วย สภาพทางสังคมเลยถดถอยลงมาก

ซึ่งพ่อตาและแม่ยายต่างพากันกล่าวโทษต่อ หลินอิ่ง ที่เป็นคนไม่มีอนาคต ไม่มีฐานะทางสังคมที่ดี ไม่มีความสามารถ เงิน และไม่เหมาะสมเป็นลูกเขยของตระกูลจาง

หลินอิ่ง ได้รับการปฏิบัติต่อคนในตระกูลจาง อย่างเมินเฉย และกลายเป็นคนที่ทุกคนต่างพากันดูถูก

“หลินอิ่ง เดียวตอนเข้างานพูดน้อยๆหน่อยนะ” จางฉีโม่ เผยสีหน้าจริงจังพูดขึ้น “งานวันนี้สำคัญมาก ฉันนำของขวัญชิ้นใหญ่เพื่อข้อร้องกับ พี่หนิง ด้วย ตำแหน่งผู้บริหารโรงงานของพ่อจะสำเร็จหรือเปล่า คงต้องดูคุณลุงว่าจะช่วยเหลือหรือเปล่า”

“ฉันรู้แล้ว” หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เมื่อเข้าไป รีสอร์ทหลินหลาง ก็พบว่าภายในรีสอร์ท มีคฤหาสน์ที่ประดับตกแต่งด้วยสีสันแพรวพราว และยังมีสวนดอกไม้ สระน้ำขนาดเล็กด้วย ซึ่งนี้ล้วนเป็นอสังหาริมทรัพย์ของพี่ใหญ่ตระกูลจาง

นอกห้องโถงมีรถยนต์ยี่ห้อคันหรูจอดอยู่แถวหนึ่ง มีทั้งยี่ห้อ Maserati Porsche PORSCHE CAYENNE และยังมี Audi ด้วย

“โธ่ น้องฉี นั่งรถแท็กซี่มาหรอ? ทำไมไม่โทรศัพท์บอกพี่ล่ะ เดียวพี่จะได้ส่งคนขับรถไปรับ วันนี้ถือเป็นวันสำคัญมาก ทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? หรือว่าอยากทำให้คนของตระกูลจาง ขายขี้หน้าหรอ?”

มีชายหนุ่มสวมแว่นตากันแดดคนหนึ่งกำลังลงมาจากรถยนต์ยี่ห้อ Porsche เขาถอดแว่นตากันแดดออก พร้อมกับจ้องมอง จางฉีโม่ กับ หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าขบขัน

จางฉีโม่ กัดริมฝีปากของตัวเองเบาๆ โดยไม่พูดอะไร

พ่อตาของ หลินอิ่ง ชื่อว่า จางซิ่วเฟิง นับว่าเป็นคนที่ตกอับมากที่สุดในบรรดาพี่น้องของตระกูลจาง เมื่อก่อนตอนที่ทำงานอยู่จางซื่อกรุ๊ป ก็ถูกบรรดาพี่น้องคอยกีดกั้น ต่อมาก็ถูกเตะออกจากบริษัท สุดท้ายก็ได้รับเพียงโรงงาน โรงงานแปรรูปเครื่องประดับขนาดเล็ก ที่กำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ล้มละลาย แต่เขาก็ฝืนทำงานมาเกือบหนึ่งปี

ดังนั้นด้วยสภาพทางการเงินของบ้าน เลยแทบไม่สามารถซื้อรถยนต์คันหรูให้กับ จางฉีโม่ ได้เลย

“น้องฉี เป็นยังไงล่ะ ในตอนนั้นพี่ให้เธอหย่ากับไอ้ขยะนี้ และจะแนะนำน้องคนที่สามของตระกูลซูน ให้กับเธอ แต่เธอกลับปฏิเสธ หากเธอเชื่อฟังพี่ตั้งแต่แรก เธอคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพนี้หรอก?” ผู้ชายสวมแว่นตากันแดดยิ่งพูดแดกดันมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้าสะใจด้วย จนแทบไม่สนใจ หลินอิ่ง ที่อยู่ด้วยเลย “แน่นอนว่าตอนนี้ก็ยังไม่ส่ายหรอก หากเธออยากร่ำรวยมีเงินทองมาขอร้องพี่สิ เดียวพี่จะช่วยแนะนำผู้ชายคนใหม่ให้กับเธอเอง!”

การพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้าสามีของคนอื่น ถือเป็นการเสียมารยาทมาก!

“จางเถียนไห่ คุณพูดพอหรือยัง?” จางฉีโม่ พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้น ขณะเดียวกันก็เผยสีหน้ามืดครึ้มขึ้น

“โธ่โธ่โธ่ ฉันในฐานะพี่ชายคนหนึ่ง เห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกสงสารที่ต้องใช้ชีวิตกับไอ้ขยะนี้ อุตส่าห์มีน้ำใจอยากชี้ทางให้กับเธอ แต่เธอกลับไม่ฟัง งั้นก็สมน้ำหน้าเธอที่ต้องมีชีวิตยากจนแบบนี้ไปตลอดชีวิตแล้วล่ะ!” จางเถียนไห่ พูดด้วยน้ำเสียงสะใจขึ้น

พูดจบ จางเถียนไห่ รู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ เลยหันหน้ามอง หลินอิ่ง ด้วยสีหน้าหยอกล้อ

“หลินอิ่ง คนไร้ค่าอย่างนายทำไมถึงมีหน้ามาเข้าร่วมงานแต่งงานของ พี่หนิง ด้วย?” จางเถียนไห่ พูดประชดประชันขึ้น “อ๋อ จริงสิ ได้ยินมาว่าโรงงานของพ่อตานายขาดทุนแล้วหรอ ไม่เห็นมีเงินเดือนออกมาด้วย คงใกล้ล้มละลายแล้วสิ พวกเธอคงมาประจบสอพลอขอยืมเงินคุณลุงเพื่อช่วยเหลือให้พวกเธอผ่านอุปสรรคนี้แน่เลยใช่ไหม?”

หลินอิ่ง เอาแต่จ้องมอง จางเถียนไห่ โดยไม่พูดอะไร

จางซิ่วเฟิง พ่อของ จางฉีโม่ ในตอนนั้นถูกพ่อของ จางเถียนไห่ และน้องคนที่สาม จางหงจูน เตะออกจากจางซื่อกรุ๊ป

แถมการประสบอุปสรรคที่ยากลำบากครั้งนี้ของโรงงานก็เป็นฝีมือของ จางหงจูน ที่อยู่เบื้องหลังด้วย

จางฉีโม่ สูบลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อพยายามอดกลั้นความโกรธ จากนั้นก็พูดกับ หลินอิ่ง ว่า “อดทนไว้ ไม่ต้องไปสนใจเขา วันนี้พวกเรามาทำธุระสำคัญ”

หลินอิ่ง พยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นทั้งสองคนก็หันหลังเดินเข้าห้องโถงในคฤหาสน์

“เออ ฉันจะคอยดูว่าไอ้ขยะไร้ค่าอย่างแกจะสามารถอดทนได้นานเท่าไหร่” จางเถียนไห่ จ้องมองร่างเงาของ หลินอิ่ง แล้วยิ้มมุมปากประชดเล็กน้อย

ภายในห้องโถงมีพื้นกว้างมาก ซึ่งก่อสร้างตามแบบฉบับตะวันตก และประดับตกแต่งอย่างหรูหรา อีกทั้งยังปูพรมสีแดงชั้นหนึ่งด้วย

แขกผู้มีเกียรติของตระกูลจาง ต่างพากันเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้ว

จางฉีโม่ เดินถือกล่องของขวัญที่ประณีตไปเบื้องหน้าเจ้าสาว พร้อมยิ้มแย้มและพูดว่า “พี่หนิง ขอให้พี่มีความสุขกับการแต่งงานนะค่ะ และรักกันจนแก่เฒ่าด้วยนะค่ะ”

จางจี้หนิง เป็นคนมีหน้าตาสะสวย ผิวพรรณขาวนวลเนียน และดูสง่าสูงส่ง แต่หากเปรียบเทียบกับ จางฉีโม่ แล้ว ยังบกพร่องอยู่มาก

เธอเหลือบมอง จางฉีโม่ อย่างเย็นชาแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เอาของขวัญของเธอไว้ตรงนั้นเถอะ”

“พี่หนิง เดียวฉันเดินเป็นเพื่อนพี่ให้นะค่ะ” จางฉีโม่ ยิ้มและพูดขึ้น

“ไม่ต้องหรอก ไม่ต้องมาทำดีกับฉันหรอก ฉันรู้ว่าเธอมีเป้าหมายอะไร เรื่องของพ่อเธอ เราไม่ช่วยหรอก” จางจี้หนิง พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา พร้อมเผยสีหน้าไร้อารมณ์ขึ้น

จางฉีโม่ เริ่มยิ้มอย่างแข็งทื่อ พร้อมเผยสีหน้าน้อยใจจนไม่สามารถกลบเกลื่อนได้ขึ้น

เธอกำหมัดไว้อย่างแน่น จนตัวสั่นเทาเล็กน้อย

ก่อนที่เธอจะแต่งงานกับ หลินอิ่ง เธอได้รับความเมตตาและเอ็นดูจากคุณท่านมาก เธอเปรียบดั่งไข่มุกของตระกูลจาง เพราะมีแต่คนรักและเอ็นดูเธอ แม้กระทั่ง พี่จี้หนิง ก็เหมือนกัน แต่ตอนนี้ทำไมถึงเมินเฉยขนาดนี้ด้วย…..

พี่จี้หนิง แต่งงานกับตระกูลที่สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองชิงหยูนนั้นคือลูกชายคนโตของตระกูลซูน ดังนั้นเลยจัดงานแต่งงานอย่างใหญ่โต แถมยังมีคนของตระกูลจาง มาร่วมแสดงความยินดีถ้วนหน้าด้วย

ส่วนเธอ….

จางฉีโม่ นิ่งเงียบอยู่สักพัก และนึกถึงปัญหาที่ยากลำบากของพ่อตัวเองในตอนนี้ จากนั้นเธอห็ฝืนยิ้มขึ้นมา แล้วเดินตาม จางจี้หนิง จากไป…….

เมื่อ หลินอิ่ง ที่นั่งอยู่เห็นฉากนี้ก็รู้สึกพูดอะไรไม่ออก…

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท